ควรจะอธิบายถึงสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้อย่างไรดี
อาจจะเพราะ “ความกดดัน” ของพ่อบ้านที่รออยู่ตรงมุมห้อง
หรือเพราะคำพูดของเหล่าเมดที่รออยู่ตรงทางเดินเพื่อเสิร์ฟน้ำชาเหมือนอย่างทุกที—-ที่บอกว่า ทั้งที่อยู่หน้าร้อนแต่กลับเสียวสันหลัง
รีกที่ยืนอยู่กลางห้องยังทำสีหน้าสบายๆเหมือนเดิม
แต่ถ้าสังเกตดูดีๆจะเห็นว่าปลายนิ้วของเขาที่ยื่นไปหาแก้วชาสั่นอยู่เล็กน้อย
ดวงตาสีเขียวที่มองคนที่นั่งอยู่ด่านหน้าก็ส่ายไปมา
“ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยนะ”
เสียงที่หนักอึ้งราวกับก้อนหิน
คนที่โดนอาทิตย์ย้อนแสงสาดส่อง—-คือพ่อของรีก เจ้าบ้านตระกูลเรียวกิที่อยู่จุดสูงสุดของลูมาเนีย บิริออน เรียวกิ ลูมาเนีย พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่าย
ที่เหมือนกับรีกคงมีแค่สีของดวงตากับเส้นผมที่เป็นสีเขียวเท่านั้น
ร่างกายกำยำ สีหน้าโหดเหี้ยม ดูแตกต่างกับรีกโดยสิ้นเชิง
“เลิกเรียนได้แล้วมั้ง?”
“ท่านพ่อ เรื่องนั้น……”
“รู้แล้วๆ สัญญาที่ให้ไว้ตอนเข้าเรียนสินะ ว่าขอเวลาเรียน 2 ปี แต่—-นี่ก็ผ่านมาหนึ่งไตรมาส ยังไม่เห็นผลอะไรสักอย่างเลย”
“การเรียนรู้ไม่มีทางลัดหรอกครับ”
“ข้าไม่ชอบเรื่องงี่เง่าอะไรอย่างนั้น เอาเถอะรีก พวกเราคือเผ่าเรียวกิต้องคอยค้ำจุนและแบกรับลูมาเนียเอาไว้ ถือเป็นภาระอันหนักอึ้งของเผ่าเรียวกิที่สืบสายเลือดมาจากโอโทริของลูมาเนีย”
สิ่งที่บิริออนพูดคือตำนานที่พูดต่อกันมาในลูมาเนีย
เผ่า “โอโทริ” พวกเขาเป็นผู้ก่อตั้งประเทศลูมาเนียขึ้นมา
ถึงพวกเขาจะพ่ายแพ้ในสงคราม แต่ “เรียวกิ” ก็ยังดำรงสืบทอดลูมาเนียต่อมาเรื่อยๆ—-
เรื่องเล่าที่ฟังจนเบื่อ
ตอนจบของเรื่องเป็นดังนี้
—-สำหรับเผ่าเรียวกิที่สืบสายเลือดสูงศักดิ์มา จะต้องอยู่บนจุดสูงสุดของลูมาเนีย
“ท่านพ่อเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วครับ ผมก็ยึดถือสิ่งนั้นจนมาถึงตรงนี้ครับ พอสิ้นสุดฤดูหนาวปีหน้าจะกลับมาที่นี่อย่างแน่นอนครับ หลังจากนั้นจะร่วมทำงานกับท่านพ่อครับ”
“ฤดูหนาวมันยาวนาน และสำหรับพวกเราฤดูหนาวเป็นอะไรที่สำคัญมาก”
ฤดูหนาวที่ยาวนานของสหพันธรัฐฟอเรสเทียเป็น “ฤดูการเมือง”
โดยเรื่องสำคัญจะถูกตัดสินใจในช่วงหน้าหนาวนี้
“กลับมาก่อนถึงฤดูหนาวซะ”
“ท่านพ่อ!”
“หน้าหนาวในเมืองอย่างนั้นจะไปทำอะไรได้?”
“แต่ว่าเรื่องสัญญา—-”
“ตัดสินใจแล้ว ถ้าไม่ชอบจะย้ายมาตั้งแต่วันนี้เลยก็ได้”
“…………เข้าใจแล้วครับ”
เขากัดฟันพูด
ถึงรีกจะได้รับการสั่งสอนจากพ่อตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ได้รับการสอนเรื่องของโลกอีกด้านโดยครูสอนพิเศษ
ไม่ใช่โลกที่พ่อพร่ำบอกว่า “ลูมาเนียจะต้องเป็นผู้นำของสหพันธรัฐ” —-
—-ไม่คิดบ้างหรือ ถ้าหากทั้ง 7 ประเทศร่วมมือกันแล้วละก็ มันจะเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้
การกระทำของรีกในตอนนี้มาจากความคิดนั้น
ความสัมพันธ์ที่ลืมเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งในอดีต แล้วร่วมมือกันเพื่ออนาคต
ถ้าหากสร้างสิ่งนี้ได้แล้วละก็—-อาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างก็ได้
มหาประเทศอย่างราชอาณาจักรพอนโซเนียกับจักรวรรดิควินแบรนด์จะมารุกรานทางนี้เมื่อไรก็ไม่รู้
อาจารย์สอนพิเศษ จริงๆแล้วเป็นคนของโคโทบี้ แต่ปลอมแปลงว่าเป็นคนของลูมาเนีย ซึ่งเรื่องนั้นความแตกและโดนไล่ออกทันที แต่คำสอนของเขายังคงอยู่ในใจของรีกจนมาถึงตอนนี้
การจะทำตามความคิดนี้ ยังไงก็ต้องออกห่างจากพ่อ
โดยยื่นเงื่อนไขผ่อนผันไปว่า ขอไปโรงเรียน 2 ปี “หลังจาก2 ปีนั้นจะกลับมาสืบทอดตระกูลต่อจากพ่อ”
พ่อเองก็ยินดีกับลูกชายที่ไม่สำนึกสักทีว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลเรียวกิ พร้อมกับบอกว่า “ในที่สุดก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”
(อีกแค่ 2 ปี……ไม่สิ ถ้าไม่นับฤดูหนาวก็เหลืออีกแค่ 1 ปีครึ่ง……ด้วยเวลาแค่นี้จะทำได้หรือเปล่า? แล้วจะเพิ่มพรรคพวกที่อยู่ต่างประเทศได้แค่ไหนกัน?)
เขาเริ่มร้อนใจ
ที่จริงแล้วก็ไม่มีเวลาว่างพอจะพาสาวๆลูมาเนียไปที่ร้านคาเฟ่หรอก แต่พวกเธอเป็น “ผู้จับตามอง” ที่พวกของพ่อส่งมา
ยังไงก็ต้องตอบรับตามเหมาะสมเพื่อตบตา
ทั้งที่ไม่มีเวลาแท้ๆ
“จะว่าไป เจ้าได้ยินเรื่องการต่อสู้ระหว่างพอนโซเนียกับควินแบรนด์หรือเปล่า?”
บิริออนที่กำลังยินดีเพราะลดเวลาผ่อนผันไปได้พูดออกมา
“……ครับ ได้ยินมาว่าพอนโซเนียมีกำลังที่เหนือกว่า”
“ใช่แล้ว หัวหน้ากลุ่มอัศวิน ‘เคนเซย์’ ลอวเรนซ์ออกมาแนวหน้าแล้ว ดูเหมือนทหารม้าที่ควินแบรนด์ภาคภูมิใจจะโดนกวาดเรียบเลย เอาเถอะ ถึงจะบอกว่า ‘เคนเซย์’ แต่หัวหน้ากลุ่มอัศวินของพวกเราน่าจะแข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว”
ที่บอกว่าของเรานั้นไม่ใช่ “ของสหพันธรัฐ” แต่เป็น “ของลูมาเนีย”
หัวหน้ากลุ่มอัศวินที่ว่าคือตำแหน่งของตั้งแต่เมื่อ 100 ปีก่อน โดยเป็นหัวหน้ากลุ่มเป็น “ทหารส่วนตัว” ที่รวบรวมอย่างเปิดเผยโดยบิริออน
“เคนเซย์” ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงประเทศอื่นอย่างลอวเรนซ์ กับหัวหน้ากลุ่มอัศวินส่วนตัวของลูมาเนียระดับมันต่างกัน……ถึงรีกจะคิดอย่างนั้น แต่ไม่ได้พูดกับพ่อที่กำลังอารมณ์ดี
จากประสบการณ์ ถึงบอกไปคงโดนตอกกลับมาว่า “อย่างแกจะไปรู้อะไร” แล้วบอกต่อว่า “ถึงเจ้าไม่อยากแต่คงต้องให้รับรู้ถึงงานที่ข้าต้องทำซะแล้ว”
“แต่พอนโซเนียนั้น กลับถอนกำลังทหารทั้งที่กำลังจะยึดเมืองส่วนนอกได้แล้วแท้ๆ”
“เอ๊ะ?”
สิ่งนั้นเป็นข้อมูลที่เหนือความคาดหมาย
ที่รีกคาดการณ์เอาไว้คือพอนโซเนียจะบุกยึดต่อทั้งอย่างนั้น แล้วควินแบรนด์จะเจรจาสัญญาสงบศึก แล้วความสงบจะอยู่ต่อไปหลายปี—ระหว่างนั้นก็รอให้สหพันธรัฐยุคต่อไปของพวกตัวเองมาถึงอยู่
“ควินแบรนด์ทำอะไรลงไปอย่างนั้นหรือครับ?”
“ไม่รู้สิ เกี่ยวกับเรื่องนี้แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย……”
“หรือว่าเลขานุการเอกแวน โฮลเทนซ์?”
“นังจิ้งจอกสาวคนนั้นยืนกรานว่า ‘ไม่รู้อะไรเลย’ มันจะไม่รู้ได้ยังไง มันน่าสงสัยตั้งแต่พวกลูกน้องของข้าโดนจัดการไปแล้ว……”
“ลูกน้อง—-หรือว่ากลุ่มผู้ใกลชิดทั้ง 7”
ที่รีกพูดออกมาคือ เหล่าตัวแทน “ที่ปรึกษาบริหารประเทศ” ของแต่ละประเทศที่อยู่ข้างกายราชินีมัลเกโด้
“ไม่ใช่ สปายต่างหาก”
“……หา? สปาย?”
“ยังไม่ได้บอกเจ้าสินะ แต่เพื่อที่จะรวบรวมข้อมูลของราชินีเลยส่งสปายเข้าไป”
“อะไรกัน”
รีกคิดว่ามันเป็นการกระทำที่เหมือนกับการหักหลังอยู่ แต่ก็ดึงสติและความเยือกเย็นกลับมาได้ในทันที
“ฮึๆ……อยากได้ความใจเย็นอย่างนี้ของเจ้านั่นแหละ”
บิริออนยิ้มเยาะออกมา
ใช่แล้ว พ่อกำลังทดสอบตัวเราอยู่ คงคิดว่าถ้าหวั่นไหวกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้คงไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำตระกูล
มันก็เป็นอย่างนี้
ถ้าเป็นพ่อที่คิดว่า “ลูมาเนียต้องอยู่จุดสูงสุด”, “ลูมาเนียต้องเป็นผู้นำของสหพันธรัฐ” แล้วละก็ การจะส่งสปายไปหาราชินีที่เกิดในคิรีฮาลก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ตั้งใจเรียนเข้าซะ”
บิริออนยืนขึ้นและเดินจากไปราวกับจะบอกว่าจบการพุดคุยแต่เพียงเท่านี้
—————————————–
ป.ล. ช่วงนี้งานยุ่งมาก คงอัพช้าหน่อย