ตอนที่ 81 ห้องวิจัยของเคธี่
โรงเรียนนี้มีตึกวิจัยที่ขนาดใหญ่พอๆกับตึกบรรยายอยู่
โดยห้องวิจัยของเคธี่อยู่ตรงชั้น 2
พอฮิคารุไปถึง ผู้ช่วยนักวิจัยที่น่าจะเป็นคนของโคโทบี้ก็ให้ผ่านเข้าไป
ถึงห้องวิจัยจะกว้าง แต่มีพวกโต๊ะช่างหรือชั้นหนังสือ รวมไปถึงอุปกรณ์เวทมนตร์มากมายเรียงอยู่ทำให้รู้สึกได้ถึงความอึดอัด ขานกที่แห้งกรัง, ดอกไม้สีฟ้า, คริสตัลที่ไม่รู้ว่าคืออะไร, วงอาคมที่เขียนไว้บนกระดาษ—-เป็นความไร้ระเบียบที่นึกไม่ถึงสำหรับเคธี่ที่แต่งกายเนี๊ยบขนาดนั้นเลย
“อ้า โทษทีนะที่ให้มาถึงนี่ ทุกคนช่วยออกไปข้างนอกที”
พอเคธี่บอกอย่างนั้น เหล่าผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ—-และคิดว่าตัวเองจะได้เข้าร่วมฟังด้วย—-ก็แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา
แล้วก็มองฮิคารุด้วยความสงสัย
“อาจารย์ แต่พวกผมเป็นผู้ช่วย คิดว่าควรได้ฟังสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยด้วยครับ”
“ที่จะคุยกับฮิคารุไม่เกี่ยวกับการวิจัย แต่เป็นเรื่องส่วนตัว ดังนั้นช่วยออกไปรอข้างนอกที”
เหล่าผู้ช่วยวิจัยพอได้ยินว่าเรื่องส่วนตัวก็แสดงความประหลาดใจออกมา แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ้องฮิคารุแล้วออกไปจากห้อง
“ไม่เป็นไรแน่เหรอครับ?”
ฮิคารุถามออกมาตอนทุกคนออกไปจากห้อง
“อือ ต้องขอโทษสำหรับคนที่เสียมารยาทด้วย อย่ารู้สึกไม่ดีไปเลย เป็นผู้ช่วยที่ค่อนข้างกระตือรือร้นในการวิจัย แต่บางทีอาจจะกระตือรือร้นเกินไปก็ได้น่ะ”
แต่จากสภาพอารมณ์อย่างนี้ แทนที่จะบอกว่ากระตือรือในการวิจัย
(ต้องบอกว่าสนใจอาจารย์คนนี้มากกว่าไม่ใช่เหรอ?)
ฮิคารุคิดอย่างนั้นขึ้นมา
“จะว่าไป—-ไม่เป็นไรแน่เหรอ พวกเขาเอาหูแนบกับประตูข้างนอกอยู่นะ?”
จาก ”ตรวจจับพลังเวท” ของฮิคารุทำให้รู้ว่าเหล่าผู้ช่วยแนบตัวติดกับกำแพง
เคธี่ขมวดคิ้วพร้อมกับครางออกมา
“จะว่าไปน่าจะอยู่แถวนี้—-เจอแล้ว”
เธอหยิบเชือกที่มีอัญมณีติดอยู่ตรงปลายทั้งสองข้างออกมาจากแถวโต๊ะช่าง
“จับข้างนี้ไว้”
“นี่มันอะไรเหรอครับ?”
“อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้ปิดกั้นเสียงไง เสียงจะไม่เล็ดลอดออกไปข้างนอก แต่ก็ทำให้ไม่ได้ยินเสียงจากข้างนอกเหมือนกัน”
“โห……”
ฮิคารุรู้สึกประทับใจที่มีอุปกรณ์เวทมนตร์อะไรอย่างนี้ด้วยก่อนจะจับปลายด้านหนึ่งเอาไว้
แล้วก็มีความรู้สึกแปลกๆเหมือนบริเวณรอบๆมีม่านกางเอาไว้
“เอาละฮิคารุ เธอเป็นนักเรียนของที่นี่ใช่ไหม? ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”
“เพิ่งเข้าเรียนเมื่อ 1 เดือนก่อนเองครับ”
“ตั้งใจจะเป็นช่างอุปกรณ์เวทมนตร์งั้นเหรอ?”
“เปล่าครับ……แค่อยากจะมาถามอะไรกับอาจารย์นิดหน่อย”
“เรื่องเคลเบ็ก พี่ชายของฉันเหรอ?”
“เอ๊ะ……พี่?”
“อะไรกัน ไม่รู้เหรอว่าเขาเป็นพี่ของฉัน?”
เคลเบ็ก—-“หัวหน้ากิลด์โจร” เป็นพี่น้องกับอาจารย์ของโรงเรียน?
“ไม่รู้มาก่อนเลย แค่คิดว่าบรรยากาศมันคล้ายกันเฉยๆ”
“—-หรือว่า เธอเคยพบพี่งั้นเหรอ?”
“ครับ ถ้าให้พูดตามตรงไม่รู้ภูมิหลังของคุณเคลเบ็กเลยสักนิด”
“งั้นเหรอ……พอจะบอกเรื่องของพี่ให้ฟังทีได้ไหม?”
“ก็ได้อยู่หรอก กลับกันอยากจะให้ช่วยบอกสิ่งที่ผมถามทีได้ไหมครับ”
“อยากถามเกี่ยวกับอะไรเหรอ”
“เกี่ยวกับ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ ครับ”
เคธี่ถึงกับคิ้วกระตุก
“ก็ได้”
แล้วฮิคารุก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเคลเบ็กทั้งหมดให้ฟัง
เคลเบ็กอาศัยอยู่ใต้ดินของเมืองพอนด์ ซึ่งไม่ได้หลบซ่อนอะไร—-แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยตัวสักเท่าไร—-เลยเล่าทุกอย่างให้ฟัง
เคธี่ไม่รู้ว่าเคลเบ็กอยู่ที่ราชอาณาจักรพอนโซเนีย
“งั้นเหรอ……’กิลด์โจร’ สินะ สมกับเป็นพี่อยู่หรอก”
“ทำไมคุณเคลเบ็กถึงออกมาจากสหพันธรัฐฟอเรสเทียเหรอครับ?”
“มีเรื่องการต่อสู้ภายในที่ยุ่งยากน่ะ”
เคลเบ็กมีชื่อเสียงโด่งดังมากในฐานะช่างอุปกรณ์เวทมนตร์ของโคโทบี้ เป็นปกติอยู่แล้วที่จะมีคนอิจฉาพรสวรรค์นั้น
จากการขัดแข้งขัดขาอย่างต่อเนื่อง—-และเผลอหน้ากับความเกลียดชังทั้งหลาย เคลเบ็กเลยออกจากโคโทบี้
“แต่ พอได้ยินเรื่องที่เธอพูดค่อยเบาใจขึ้นหน่อย ถ้าเป็นพี่อยู่ที่ไหนก็เป็นไปได้ด้วยดีทั้งนั้นแหละ”
“ถึงจะทำเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายอยู่ก็ตามที”
“พัฒนาอุปกรณ์เวทมนตร์ที่การใช้งานไม่รู้แน่ชัด ราวกับจะบอกอ้อมๆว่าเป็นของตัวเอง แล้วชอบโอ้อวดด้วยการใช้ให้เห็น—-ถึงการทำงานที่เหนือความคาดหมายกับโครงสร้างที่ซับซ้อน นั่นเป็นวิธีการโปรโมตตัวเองให้คนอื่นรู้ในแบบของพี่ไง”
“……นิสัยดีนะเนี่ย”
“ฮึๆ เป็นผู้ชายที่น่าสนใจใช่ไหมล่ะ?”
ถึงเคธี่จะค่อนข้างเรื่อยๆ แต่ตอนที่ยิ้มก็แสดงสีหน้าของผู้หญิงที่สมกับวัยออกมาอยู่
(มองไม่เหมือนน้องสาวของเคลเบ็กที่เข้มงวดคนนั้นเลย……แต่ก็คล้ายๆกันอยู่)
“ขอบคุณมากที่เล่าเรื่องของพี่ให้ฟัง เอาละต่อไปถึงเรื่องที่เธออยากรู้บ้างแล้ว ทำไมถึงสนใจ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ เหรอ? ถ้าไม่รังเกียจช่วยบอกหน่อยได้ไหม”
“แค่บอกว่าเป็นความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ นี่ไม่ได้ใช่ไหมครับ?”
“คนที่รู้เกี่ยวกับ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ มีไม่มากนักหรอก เดิมทีเขาบอกกันว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ หรือ ‘เป็นเรื่องแต่งขึ้น’ ด้วยซ้ำ? คนที่วิจัยเกี่ยวกับ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ มีแค่พวกฉันเท่านั้น ซึ่งมีอยู่เยอะที่หัวเราะเยาะถึงความไร้สาระนี้”
“แต่โบราณวัตถุที่ขุดได้จากซูบร้ามีร่องรอยของ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ ไม่ใช่เหรอ?”
“แทบที่จะบอกว่ามี ต้องบอกว่าเจอคำอธิบายตรงกำแพงที่เขียนเกี่ยวกับการใช้ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ ของโบราณวัตถุอยู่ อาวุธต่างๆที่ตอนนี้ยังหลงเหลือพลังก็มอบให้กับการเข้าร่วมสหพันธรัฐและถูกดูแลอย่างเข้มงวด”
“อาจารย์ไม่ได้วิจัยอาวุธของจริงพวกนั้นอยู่เหรอครับ”
“นักวิชาการทั่วไปไม่สามารถแตะต้องได้ แน่นอนว่าไม่มีใครแตะมันได้ เมื่อกี้ฉันบอกว่า ‘ดูแล’ แต่ถ้าให้พูดมันใกล้เคียงกับคำว่า ‘ปิดผนึก’ มากกว่า วันที่จะปลดผนึกมันคงเป็นตอนที่บุกโจมตีพอนโซเนียนั่นแหละ”
“อะไรกัน”
จากการที่วิทยาการและความรู้หายสาบสูญไป ทำให้ตอนนี้ “มานาศักดิ์สิทธิ์” กลายเป็นของที่ไม่มีจริงบนโลกนี้แล้ว
ฮิคารุคิดขึ้นมา
(คิดว่าคนคนนี้น่าจะเชื่อใจได้ ไหนจะบอกกับผมที่เพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรกอย่างตรงไปตรงมาด้วยสิ ถึงจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่—-แต่ถ้าไม่ให้เห็นของสิ่งนี้คงไม่ยอมให้ข้อมูลมาแน่ๆ)
ตัดสินใจได้แล้ว
คนคนนี้น่าจะไว้ใจได้ และ
“……อาจารย์ อย่าบอกคนอื่นได้ไหมครับ”
“หือ อะไรเหรอ?”
“จริงๆแล้ว ผมมีอาวุธที่ใช้ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ อยู่ครับ”
“ว่าไงนะ?”
คำว่า “ว่าไงนะ?” นั้นมันให้ความหมายใกล้เคียงกับว่า “ยังไงก็คงเข้าใจผิดอยู่แล้ว” เลย
เอาเถอะ แล้วฮิคารุก็พูดต่อ
“นี่ครับ”
ฮิคารุหยิบปืนลูกโม่ออกมาวางบนโต๊ะช่างจนเคธี่ถึงกับเลิกคิ้วขึ้น
“ปืนลูกโม่ที่สามารถยิงเวทมนตร์ออกไปได้ด้วยการเหนี่ยวไก กระสุนมี 6 นัด โดยมีธาตุไฟ, ลม, น้ำ, ดิน แล้วก็ แสง, กับมาร ครับ อ้อเกี่ยวกับมาร ทางนี้คาดเดาไว้ว่าถึงจะปล่อยเวทมนตร์ที่รุนแรงออกมาได้ แต่คงไม่ได้ใช้ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ ครับ”
“ดะ เดี๋ยวก่อน……ฮิคารุ ไปได้สิ่งนี้มาจากไหน?”
“‘เมืองทวยเทพโบราณใต้พิภพ’ ดันเจี้ยนของพอนโซเนียครับ”
“นั้นมันดันเจี้ยนระดับสูงไม่ใช่เหรอ! นี่มันอาวุธที่ใช้ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ จริงๆงั้นเหรอ!?”
“ก็บอกไปแล้วนี่ครับ”
“————”
ดูเหมือนจะเชื่อแล้ว เพราะถึงกับอ้าปากค้างตอนมองดูปืนลูกโม่ ก่อนจะหันมามองฮิคารุ
“ฮิคารุ……”
เคธี่พูดออกมาด้วยเสี่ยงแหบพร่า
“คนที่รู้เกี่ยวกับอาวุธนี้ล่ะ?”
“ผม กับคู่หูของผมเท่านั้นครับ”
“ห้ามหลุดไปถึงคนอื่นโดยเด็ดขาดนะ”
“ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วไงครับว่าห้ามบอกคนอื่น—–”
“อ้อๆ นั่นสินะ! เธอบอกไว้จริงด้วย! โทษที—-ฉันเกี่ยวข้องกับของที่ใช้ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ มามาก แต่มันเป็นของปลอมทั้งหมดเลย”
“ทั้งหมดเลยเหรอครับ?”
“ทุกอย่างเลย ไม่สิ ยกเว้นอย่างเดียว มันเป็นของที่เพิ่งจะได้เห็นในวันนี้ไง”
“ถ้าตรวจสอบแล้วบางทีอาจะไม่เกี่ยวข้องกับ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ ก็ได้ พอจะช่วยตรวจสอบอาวุธนี้ให้หน่อยได้ไหมครับ?”
“แน่นอน! แต่ให้ฉันทำนี่จะดีเหรอ?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแทบจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์เวทมนตร์เลย—-แต่ถ้าความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ก็พอมีอยู่ครับ”
“อุปกรณ์เวทมนตร์กับเวทมนตร์จริงๆแล้วมันแทบจะเหมือนกันเลย”
“อย่างนั้นเหรอครับ? แต่คิดว่าความรู้ก็มีอคติกันได้”
ความรู้นั้นเป็นความรู้ของโรแลนด์ที่หลงเหลืออยู่ภายในฮิคารุ และถูกพัฒนาขึ้นด้วยวิทยาการที่ข้ามโลกมา
“อาจารย์ แล้วก็มีเงื่อนไข 2 อย่างครับ”
“……นั่นสินะ อาวุธที่หายากขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะให้ดูฟรีๆอยู่แล้ว”
“อ้อ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ อย่างแรกคือ ห้ามเผยแพร่ผลการวิจัย ส่วนการเปิดเผยสู่สาธารณะ จะทำได้ก็ต่อเมื่อผม คู่หูของผม—-ที่ชื่อลาเวีย—-และอาจารย์เห็นพ้องต้องกันทั้ง 3 คนครับ”
“อืม……ดูเหมือนเธอไม่อยากจะให้เผยแพร่งานวิจัยเลย”
“เพราะอาจจะมีอันตรายอยู่ก็ได้ครับ”
ภายในใจฮิคารุยังรู้สึกคาใจกับการล่มสลายของราชวงศ์โพเอลซิเนีย
คนยักษ์ที่ถูกส่งมายังเมืองหลวงใต้ดิน
ไปแตะเกล็ดมังกรของใครกันแน่
จนกว่าจะรู้เรื่องนั้น เลยคิดว่าปิดเรื่อง “มานาศักดิ์สิทธิ์” ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์นั้นเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
“เข้าใจแล้ว ฉันไม่ว่าอะไรหรอก แล้วอีกเงื่อนไขล่ะ?”
“อยากจะให้ทำการวิจัยอีกอย่างเกี่ยวกับกระสุนของปืนลูกโม่ครับ ปืนลูกโม่กับกระสุนมันเป็นของคู่กันตั้งแต่แรก ในอีกความหมายอาจจะมีไว้เพื่อป้องกันการโดนขโมยด้วย ก็ไม่ได้สงสัยอาจารย์อยู่หรอก—-”
“แน่นอน! มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ฉันเองก็อยากจะทำการวิจัยภายใต้การดูแลของเธออยู่แล้วด้วย”
“ไม่หรอก……อย่างนั้นมันยุ่งยากเกินไป”
การวิจัยน่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน ในระหว่างนั้น ถ้าต้องคอยดูอยู่ใกล้ๆตลอด มันจะสิ้นเปลืองเวลาไปเปล่าๆ
“ก่อนอื่นจะมอบกระสุนให้ โดยกระสุน 6 นัดนี้ ยิงไปแล้ว 5 นัดทำให้ข้างในมันว่างเปล่า—-”
“เดี๋ยวก่อน! ยิงไปแล้ว!? ยิงออกไปแล้วงั้นเหรอ!?”
“ครับ”
“เพราอะไร……น่าเสียดายมาก!”
“มันเทียบกับชีวิตไม่ได้หรอกครับ”
เคธี่ที่กำลังตื่นเต้น พอได้ยินคำพูดของฮิคารุก็สงบลง
“นั่น……สินะ เธอเป็นนักผจญภัยนี่”
“อือ”
“นักวิจัยอย่างพวกฉันที่การวิจัยคืบหน้าเพราะสิ่งที่ได้มาจากนักผจญภัย ทั้งการขุดโบราณวัตถุ หรือจะเป็นตัวเร่ง แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีชีวิตรอด ขอโทษด้วยนะที่พูดอะไรเสียมารยาทออกไป”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษหรอกครับ ปลอกกระสุนที่ว่างเปล่ามันดูเหมือนกันหมด ดังนั้นเลยว่าจะมอบให้ 2 อันครับ”
“ขอบคุณมาก”
เคธี่รับมันด้วยมือทั้งสองข้างอย่างนิ่มนวลราวกับอัญมณี
“……เอาละ ฮิคารุ ก่อนจะทำการวิจัยช่วยบอกอะไรอีกหลายอย่างที อยากจะรู้ว่ามันเป็นเวทมนตร์อย่างไร รูปร่างและขนาดตอนที่ยิงออกไปหน่อย”
แววตาของเคธี่ที่หยิบปากกาและกระดาษส่องประกายออกมา
ฮิคารุได้แต่ยิ้มเจื่อนๆให้กับคนที่เป็นนักวิจัยจนถึงแก่นอย่างนี้
“เวทมนตร์……อาจจะเอาไปใช้อ้างอิงได้อยู่หรอก แต่คิดว่าควรจะเล่าเรื่องตอนที่พบปืนลูกโม่มากกว่าครับ”
“โห มีเรื่องน่าสนุกงั้นเหรอ?”
“ข้างๆปืนลูกโม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ก้อนมานาศักดิ์สิทธิ์’ อยู่ ดูเหมือนสิ่งนั้นจะเป็นกลุ่มก้อนพลังงานบริสุทธิ์ครับ”
“…………”
เคธี่นิ่งเงียบไปประมาณ 10 วินาที
“เธอค้นพบ ‘มานาศักดิ์สิทธิ์’ แล้วงั้นเหรอ!?
เธอตะโกนออกมาอย่างดัง
โชคดีที่มีอุปกรณ์เวทมนตร์ปิดกั้นเสียงทำให้ข้างนอกไม่ได้ยินเสียงนั้น