บทที่ 4 ราชอาณาจักรร่ายรำ
บีโรเวลก้าเมืองต่างจังหวัดในราชอาณาจักรพอนโซเนีย ถึงจะบอกว่าเป็นเมืองต่างจังหวัดแต่ก็เป็นศูนย์กลางการเดินทาง แม้จะเป็นตอนกลางคืนก็ยังมีผู้คนเข้าออกมากมาย
คืนนี้เป็นคืนที่พระจันทร์ขึ้นสูง
มีคนคนหนึ่งเดินอยู่ภายในเมือง
ผมบลอนด์สั้น คอที่ท้วมหนาจนแทบจะไม่เห็นแส้นแบ่งระหว่างใบหน้าและลำคอ ต่อให้ไม่ได้สวมชุดเกราะแต่เขาก็คิดว่ากล้ามเนื้อที่ฝึกฝนมาอย่างดีนี้สามารถสะท้อนคมดาบได้
หัวหน้ากลุ่มอัศวินของราชอาณาจักรพอนโซเนีย ลอวเรนซ์ ดี ฟาลคอน
เสียงดังแกร๊งๆ ทุกครั้งที่เดิน สิ่งที่เขาสวมอยู่คือเกราะมันถักมาจากโซ่เส้นใหญ่ราวๆกับเล็บหัวแม่มือ แต่ก็เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างสะดวกไม่เกะกะ และสามารถป้องกันการฟันหรือแทงเบาได้ด้วย
ข้อเสียคือมันส่งเสียงดังแกร๊งๆออกมา กับถึงจะเป็นโซ่แต่ก็ทำมาจากโลหะทำให้ค่อนข้างหนัก แต่พลังกายระดับลอวเรนซ์คงไม่ต้องสนใจเรื่องนี้สักเท่าไร
เหนือเกราะโซ่สวมชุดของกลุ่มอัศวินทับเอาไว้ ทำให้ร่างกายดูพองโต แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น
วันนั้น—-ตั้งแต่วันที่มีผู้บุกรุกเข้ามาในพระราชวัง ลอวเรนซ์ได้สั่งให้ทำเครื่องป้องกันที่สามารถสวมใส่ได้แม้จะไม่ได้อยู่ในสนามรบ ซึ่งสิ่งที่คนแคระที่สนิทกับกลุ่มอัศวินทำขึ้นมาให้คือเกราะโซ่อันนี้
มีคำกล่าวที่ว่า “ทุกที่คือสนามรบ”—-ให้เตรียมใจไว้ว่าทุกที่สามารถเป็นสนามรบได้ เด็กหนุ่มคนนั้นทำให้ลอวเรนซ์รู้สึกเช่นนี้ เขาคิดว่าถ้าการต่อสู้นั้นเขาสวมเกราะโซ่ที่ป้องกันคอไว้แล้วละก็ การโจมตีของเด็กหนุ่มนั่นคงไม่มีผลกับตัวเองเป็นแน่
เกราะโซ่นี่ไม่ได้สวมแค่ลอวเรนซ์ แต่ให้ทุกคนในกลุ่มอัศวินสวมใส่ด้วย ทำให้มีขุนนางบางคนคิดว่า “สมกับเป็นกลุ่มอัศวินพึ่งพาได้จริงๆ” แต่ก็มีบ้างที่ไม่พอใจและคิดว่า “หนวกหู” หรือไม่ก็ “สร้างภาพว่าตั้งใจทำงาน” อยู่
ปลายทางที่ลอวเรนซ์มุ่งหน้าไป คือเส้นทางที่ใช้เดินตรวจตรารอบเมือง ถ้าเป็นเวรตรวจตราของเขาจะเดินด้วยตัวเองไม่ให้คนอื่นทำ
ตอนที่ลอวเรนซ์โดนเรียกตัวด่วนกลับระหว่างการต่อสู้กับจักรวรรดิควินแบรนด์—-ก็โดนสั่งให้เดินตรวจตราความปลอดภัยภายในเมืองหลวง
ในขณะที่รับ “ให้รอคำสั่ง” ที่ใช้ชื่อว่า “รักษาความปลอดภัย” ไปได้สักพัก พอ “การประชุมสภา” ที่ราชาจัดขึ้นสิ้นสุดลง ก็โดนเรียกตัวมาและให้คำสั่งใหม่—-นั่นคือการไปปราบปรามมาร์ควิสกล็อกชลูท
เป็นเหตุผลที่ทำให้ตอนนี้เขาอยู่ที่บีโรเวลก้า ด้วยคำสั่งของราชากลุ่มอัศวินเลยเคลื่อนทัพออกจากเมืองหลวงกีพอนโซเนียมายังเมืองต่างจังหวัดที่อยู่ใกล้กับดินแดนของมาร์ควิสกล็อกชลูท
“กลับมาแล้ว”
“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ!”
พอกลับมายังคฤหาสน์ที่ยืมใช้เป็นที่พักชั่วคราวสำหรับกลุ่มอัศวิน พวกอัศวินที่ยืนรออยู่ก็ทำความเคารพ
“เมืองเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“เป็นเมืองที่ดีค่อนข้างมีชีวิตชีวา ความปลอดภัยก็ไม่เลว มีคนเมาอยู่บ้าง หลังจากนี้ค่อยให้พวกทหารยามไปดูก็ได้”
“ครับ”
“ทางนี้เป็นไงบ้าง”
“……มีการติดต่อเข้ามาแล้วครับ”
“เข้าใจแล้ว ไปอีกห้องกัน”
ลอวเรนซ์พาหัวหน้าหน่วยไปยังอีกห้อง ผ่านมาแล้ว 3 วันหลังจากมาถึงบีโรเวลก้า ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนของต่างประเทศ—-คงเคลื่อนทัพทันทีเพื่อไปต่อสู้แล้วสักครั้ง
แต่อีกฝ่ายเป็นคนของประเทศเดียวกัน แถมยังเป็นมาร์ควิสกล็อกชลูทที่ค่อนข้างหัวแข็งด้วย
ได้รับคำสั่งจากเจ้าหญิงอันดับหนึ่งคูจัสเทรีย กี พอนโซเนียก่อนออกจากเมืองหลวง ซึ่งต่อให้ไม่ได้บอกลอวเรนซ์ก็ว่าจะติดต่อกับกล็อกชลูทอยู่แล้ว
ภารกิจในครั้งนี้มันแปลกๆ
ในระหว่างที่ต่อสู้กับประเทศอื่นแล้วเกิดจราจลภายในอย่างนี้มันอันตราย แต่มาร์ควิสกลับไม่ได้เรียกรวมพล แค่บอกว่า—–“สืบสายเลือดโดยตรงจากเชื้อพระวงศ์” เท่านั้น
แน่นอนว่าการกระทำอย่างนั้นเท่ากับ “โทษก่อกบฏ” แต่มันใช่เรื่องที่ต้องส่งกลุ่มอัศวินมาเลยหรือ? เรื่องที่ส่งกลุ่มอัศวินออกไปอย่างนี้รู้กันทั่วราชอาณาจักร ทำให้บรรยากาศจากสงครามระหว่างประเทศกลายมาเป็นเกิดจราจลภายในแทน แถมศัตรูเป็นคนในทำให้บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด
“นี่เป็นจดหมายจากจากมาร์ควิสครับ”
ลอวเรนซ์อ่านจดหมายที่หัวหน้าหน่วยมอบมาให้รวดเดียว ก่อนจะอ่านทวนอีกครั้ง และอีกครั้ง
“……หัวหน้า มาร์ควิสว่าอย่างไรบ้างครับ?”
ลอวเรนซ์นั่งลงบนเก้าอี้—-ที่เล็กมากถ้าเทียบกับขนาดตัวของเขา จนมันส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด—-ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน
“มาพบกันซะ มาร์ควิสไม่มีข้อกังขาเกี่ยวกับการสืบทอดราชบัลลังก์ ถ้ามาจะบอกทุกอย่างให้ฟังเกี่ยวกับ ‘ความจงรักภักดีที่แท้จริง’ และ ‘ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่แท้จริง’……”
คงอยากจะบอกว่า ถ้าความจงรักภักดีของลอวเรนซ์เป็นของจริงแล้วละก็ ความคิดเกี่ยวกับลำดับการสืบสายเลือดไม่ถือเป็นการลบหลู่ ถ้าหากปฏิเสธแม้แต่ความสงสัยแล้วละก็ ความจงรักภักดีของลอวเรนซ์ก็ไม่ต่างอะไรกับ “ความจงรักภักดีของสุนัข”—-
“จะทำอย่างไรหรือครับ”
“……ยากนะเนี่ย สิ่งที่มาร์ควิสพูดก็มีเหตุผล แต่ถ้าเข้าหามาร์ควิสโดยไม่ปะดาบสักครั้ง ฝ่าบาทจะสงสัยพวกเรา”
เค็นเซย์ลอวเรนซ์ถึงกับครวญครางอยู่ในห้องมืด
* * *
ขณะเดียวกัน ที่พอนด์เมืองในอาณาเขตปกครองของเมืองหลวงกีพอนโซเนีย
กิลด์นักผจญภัยของที่นั่นยังเปิดไฟสว่างอยู่แม้จะอยู่ในช่วงเวลากลางดึก
“อ้าว? ยังมีใครอยู่ในกิลด์อีกเหรอ?”
พนักงานต้อนรับสาวจิลที่ดื่มเหล้าไปมากเพิ่งออกจากร้านอาหาร
“คุณออโรร่าคิดว่ายังไงบ้าง?”
“……อุ๊บ”
ออโรร่าเป็นพนักงานสาวต้อนรับเหมือนกัน ซึ่งเธอไปดื่มเป็นเพื่อนกับจิล
“ฉะ ฉะ ฉัน……ขะ ขอ ตัวก่อน นะ……”
เธอเดินโงนเงนกลับไป ดูเหมือนจะให้ดื่มหนักไปหน่อย
“กะปริมาณผิดไปงั้นเหรอ……แย่เลยๆ คราวหน้าคงต้องให้ดื่มน้อยกว่านี้แล้ว—-แต่รู้สึกคาใจกับกิลด์ยังไงไม่รู้สิ เดินไปดูสักหน่อยดีกว่า”
จิลเดินโงนเงนไปทางกิลด์นักผจญภัย มันอยู่ห่างไปแค่ราวๆ 100 เมตร เป็นระยะที่เหมาะจะเดินรับลมยามดึกสำหรับคนเมาอยู่
แต่ก่อนที่จิลจะเดินไปถึงกิลด์ ก็มีใครสักคนเดินออกมา
“หือ?”
คนที่แต่งตัวค่อนข้างดูดี ซึ่งจิลไม่เคยพบเขามาก่อน แล้วอุนเค็นก็เดินออกมาส่งคนคนนั้น พออีกฝ่ายเดินจากไป อุนเค็นก็ทำสีหน้าปั้นยากแล้วเดินกลับเข้าไปในกิลด์
“คุณอุนเค็น”
“!”
สีหน้าของอุนเค็นที่หันกลับมา—-มันบึ้งตึงมาก จนทำให้จิลถึงกับสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว
“มะ มีอะไรหรือคะ? เมื่อครู่นี่ใครหรือคะ?”
“……เธอไม่รู้จะดีกว่า แล้วดึกๆดื่นๆอย่างนี้มาทำอะไรเหรอ”
“อ้อ แบบว่าดื่มกับคุณออโรร่าหนักไปหน่อย—-เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ ต้องบอกว่าบรรยากาศรอบตัวคุณอุนเค็นมันแปลกไปค่ะ”
“ก็บอกไปแล้วนี่ว่าไม่ต้องรู้หรอก……กลับไปได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเธอ”
“…………”
จิลที่โดนพูดถึงขนาดนั้น เลยทักทายก่อนจะเดินกลับบ้าน
แต่ การที่จิลเดินกลับไปในทันทีทำให้เธอต้องรู้สึกเสียใจภายหลัง
จริงอยู่ที่มันไม่เกี่ยวข้องกับจิล แต่สำหรับอุนเค็นแล้วมันเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก
วันรุ่งขึ้น จิลมาที่กิลด์นักผจญภัยทั้งที่ยังเมาค้างอยู่—-แล้วกลอเรียก็แสดงสีหน้าที่เคร่งเครียดไม่เหมือนทุกที
“จิลจังทางนี้”
โดนเรียกให้ไปหา
“—-ดูเหมือนหัวหน้ากิลด์จะถูกเปลี่ยนเป็นจากคุณอุนเค็นเป็นคนอื่นน่ะ”
“เอ๊ะ?”
อุนเค็น ได้ออกจากเมืองนี้ไปแล้ว