กี ควินแบรนด์ เมืองหลวงของจักรวรรดิควินแบรนด์ มีขนาดเล็กกว่าเมืองหลวงของพอนโซเนียราวๆเท่าตัว
กี พอนโซเนียเป็นเมืองหลวงที่ต้องรับอะไรหลายๆอย่างเข้ามา ส่วนกี ควินแบรนด์เป็นเมืองใหญ่ที่มีการจัดระเบียบอย่างดี
สองประเทศนี้มีระบบพื้นฐานอย่างระบบขุนนาง, ระบบข้าราชการ และระบบกฎหมายที่ค่อนข้างคล้ายกัน แต่จักรวรรดิควินแบรนด์ก่อตั้งขึ้นมาทีหลังทำให้มีขนาดโดยรวมที่เล็กกว่า แต่ในทางกลับกันทำให้มีการจัดการที่ดีกว่า เพราะตอนก่อตั้งประเทศได้ทำการวิจัยจากพอนโซเนียทำให้คิดว่าน่าจะก่อตั้งได้
“ยังไม่มีการติดต่อจากอุลเค็นอีกหรือ?”
“ฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอกครับ เพิ่งติดต่อท่านอุลเค็นไปไม่กี่วันเท่านั้นเอง ความจงรักภักดีของท่านอุลเค็นนั้นเป็นของจริง น่าจะนำข่าวดีกลับมาให้อยู่แล้วครับ”
“……ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่ ‘เค็นเซย์’ ที่ป่าเถื่อนคนโน้น สามารถถล่มกองทัพของพวกเราได้ง่ายๆเลยไม่ใช่หรือ พอนโซเนียที่สามารถเอาชนะสงครามได้ทำไมถึงถอยกลับไป……เจ้าไม่อยากรู้หรือ”
ภายในห้องประชุมที่กว้างขวาง ถึงจะอยู่ในช่วงกลางดึกแต่ยังจุดไฟเอาไว้ และมีคนอยู่ภายในห้องนั้นแค่ 4 คน
คนแรกคือนายกรัฐมนตรีผู้ดูแลเรื่องภายในจักรวรรดิ
อีกคนหนึ่งคือจอมพลผู้ดูแลกองกำลังทหารของจักรวรรดิ แต่ตัวเขาเองไม่ใช่ทหารกล้า
อีกคนหนึ่งคือหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง
และ—-คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทองคำที่ดูสูงค่า คือจักรพรรดิควินแบรนด์ผู้ปกครองประเทศนี้
“คำถามของข้ามันเป็นอะไรที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว”
ส่วนสูงที่ไม่ถึง 150 เซนติเมตร ทำให้มงกุฎตรงศีรษะมันดูใหญ่ไม่สมส่วน แต่ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิคนนั้น “เป็นเด็ก” หรืออย่างไร ตัวเขาอายุ 72 ปีแล้ว แต่ใบหน้านั้นยังดูอ่อนเยาว์เหมือนกับเด็กมหาวิทยาลัยหรือพนักงานบริษัททั่วไป
การที่อายุขนาดนี้แต่ยังหนุ่ม แถมมีส่วนสูงที่ค่อนข้างเตี้ย เพราะว่าจักรพรรดิเป็นเผ่าแมนโนม
ความจริงเรื่องนี้ไม่ถูกแพร่กระจายไปมากสักเท่าไร เพราะว่า—-บัลซาร์ดที่ถูกแต่ละประเทศรวมไปถึงประเทศของตัวเองขนามนามว่า “จักรพรรดิชั่ว” ก็เป็นแมนโนมเช่นกัน
จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน คากุไร กี ควินแบรนด์เองก็เป็นแมนโนม
“พอจะเข้าใจความรู้สึกของฝ่าบาทอยู่ครับ……หน่วยข่าวกรอกว่ายังไงบ้าง?”
“ครับ ติดต่อท่านอุลเค็นสำเร็จแล้ว ส่วนการเคลื่อนไหวหลังจากนั้นไม่ทราบเลยครับ”
“การที่ไม่รู้เนี่ยมันไม่แย่ไปหน่อยเหรอ”
พอนายกรัฐมนตรีคุยกับหัวหน้าฝ่ายข่าวกรอง จอมพลเลยทำการติเตียน ซึ่งเขามีคิดอยากจะให้ยกหน้าที่อันนั้นจากหน่วยข่าวกรองที่อยู่สังกัดการปกครองภายในประเทศมาเป็นหน้าที่ของกองทัพแทน
“ครับ ท่านอุลเค็นเป็นบุคคลในตำนานที่ถูกขนานนามว่า ‘นักฆ่าแห่งสายหมอก’ กับ ‘ฝีเท้าไร้เสียง’ ไม่มีทางที่พวกเราจะหาตัวเจอได้หรอกครับ”
“เรื่องนั้นรู้ดีอยู่แล้ว แต่คนที่ต้องตามเรื่องคือพวกเจ้าไม่ใช่เหรอ? หรือเพราะคิดว่าสังกัดอยู่กระทรวงภายในเลยไม่ต้องทำอะไรอย่างนี้ก็ได้งั้นเหรอ ว่าอย่างไรบ้างครับฝ่าบาท?”
“จอมพลพอได้แล้ว การที่ให้ท่านอุลเค็นที่เหมือนกับสมบัติประจำตระกูลออกโรงอย่างนี้เป็นการตัดสินใจของข้า ระหว่างนั้นจะยังไงก็ได้ ตราบเท่าที่มีข้อมูลมาให้……”
“ครับ”
“ฝ่าบาททรงใจกว้างอะไรเช่นนี้”
หน่วยข่าวกรองแสดงความรับทราบ ส่วนจอมพลได้แต่ถูมือไปมา
(……ในช่วงเวลาผิดปกติเช่นนี้ กลับไม่คิดจะขยายอำนาจของตัวเองเนี่ย—-ช่างเป็นชายที่โง่เขลาจริงๆ)
นายกรัฐมนตรีชำเลืองมองจอมพล
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี, หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองและจอมพลทุกคนเป็นเผ่ามนุษย์
(แต่ว่ามันเป็นคำขอที่มีความหมายจริงเหรอ? ชายที่ชื่ออุลเค็นเป็นแมนโนมที่อายุเกิน 200 ปีไปแล้ว……เป็นมือขวาที่ฝ่าบาทสมัยทรงพระเยาว์เคยขอร้องให้ช่วยกำจัดจักรพรรดิองค์ก่อนที่เป็นบิดาแท้ๆของตน)
เรื่องที่นายกรัฐมนตรีรู้เป็นเรื่องเมื่อ 50 ปีก่อน จักรวรรดิควินแบรนด์ที่ “เกือบจะล่มสลาย” ประชาชนเหนื่อยล้ากับภาษีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร แต่จักรพรรดิบัลซาร์ดก็ยังไม่หยุดขยายอำนาจ
ถึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะยึดราชอาณาจักรพอนโซเนียได้ แต่หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร? พอนโซเนียเองก็เหนื่อยล้าจากการที่ต้องคอยป้องกันตัวเอง ต่อให้บุกยึดได้ก็ใช่ว่าจะฟื้นฟูประเทศได้เร็วสักเท่าไร
ถ้าถึงตอนนั้นหลายๆประเทศที่ต่อต้านควินแบรนด์คงจับมือกันแล้วมาโจมตีควินแบรนด์ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วประเทศนี้คงถึงคราวจบสิ้น ทำให้ประเทศอื่นไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือราชอาณาจักรพอนโซเนีย
(แต่ปัญหาภายในเผ่าแมนโนมก็ได้รับการแก้ไข……ฝ่าบาทคากุไรที่อายุ 20 ปีของร้องท่านอุลเค็น ซึ่งท่านอุลเค็นได้สังหารจักรพรรดิองค์ก่อนได้สำเร็จ)
ข้อมูลนี้ถือเป็นความลับสุดยอด คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่นายกรัฐมนตรีกับจักรพรรดิแค่ 2 คนเท่านั้น หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองกับจอมพลเองรู้เรื่องของอุลเค็นแค่ว่า “ญาติของจักรพรรดิผู้มีความสามารถในการลาดตระเวนเป็นเลิศ” เท่านั้น
เรื่องที่สังหารบิดาแล้วแย่งตำแหน่งมา ความเห็นของพวกนักกฎหมาย—-เห็นว่ามันขัดต่อหลักการสืบทอดบัลลังก์ เพราะอย่างนั้นเลยให้บัลซาร์ด “เสียชีวิตด้วยอาการเจ็บป่วย” ส่วนความจริงที่โดนลอบสังหารมีรู้ภายในหมู่ขุนนางไม่กี่คน แต่ก็บอกไปว่าเป็นฝีมือของประเทศที่สามอย่างพอนโซเนีย
หลังจากนั้นคากุไรก็ขึ้นเป็นจักรพรรดิ และหยุดสงคราม ก่อนจะทำสัญญาหยุดการรุกรานกับทางพอนโซเนียถึง 30 ปี เพื่อฟื้นฟูประเทศ
ช่วงเวลา 30 ปี สำหรับแมนโนมที่อายุยืนกว่ามนุษย์มากนั้น ถือเป็นอนาคตที่ไม่ได้ห่างไกลสักเท่าไร เลยลงความคิดเห็นว่าต้องเตรียมกองกำลังในอาณาจักรควินแบรนด์เผื่อหลังจากนี้ 30 ปี พอนโซเนียโกรธแค้นแล้วรุกรานกลับมา
ที่คำนวณพลาดไปเพียงอย่างเดียวคือสัตว์ประหลาดในคราบของมนุษย์ที่ถูกเรียกว่า “เค็นเซย์” ในราชอาณาจักรพอนโซเนีย
(……ฝ่าบาททรงดูแลประเทศนี้มาอย่างยากลำบาก ตั้งใจทรงานเพื่อจักรวรรดิก่อนที่ฉันจะได้รับตำแหน่งราชการเสียอีก การตัดสินใจในครั้งนี้ มันจะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่ๆ……)
นายกรัฐมนตรีตัดสินใจสนับสนุนความคิดของคากุไรที่บอกว่า “ขอร้องให้อุลเค็น” ไปตรวจสอบความผิดปกติที่พอนโซเนียถอนตัว
และออกคำสั่งกับหัวหน้าหน่วยข่าวกรองให้ความสำคัญในการตามหาอุลเค็นเป็นอันดับแรก และเน้นย้ำจอมพลว่าอย่าทำอะไรที่เกินความจำเป็น
* *
“ญาติห่างๆคนนั้น ขอร้องให้ฆ่าพ่อของตัวเองที่เป็นจักรพรรดิ? แล้ว เด็กคนนั้นตอนนี้เป็นจักรพรรดิ เหรอ……”
ฮิคารุที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด พูดพึมพำออกมา ส่วนอุลเค็นพยักหน้าเสริมคำพูดนั้น
“แทบจะไม่มีใครรู้ถึงความจริงเรื่องนี้ ถ้าหากความจริงนี้แพร่กระจายออกไปเหล่าขุนนางอาจจะทำการต่อต้านก็ได้”
“ฮึ”
“มีความคิดเห็นแค่นั้นเองเหรอ?”
“ก็ ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อยนี่”
อุลเค็นถอนหายใจออกมายาวๆ ต่อฮิคารุที่พูดออกมาอย่างจริงจัง
“เจ้านี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศูนย์กลางของประเทศหนึ่งเลยนะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตของผมเหรอ?”
“เกี่ยวสิ”
“ยังไง”
“ทำไมถึงคิกว่าข้าถึงเล่าเรื่องสำคัญอย่างนี้ให้ฟังล่ะ? เพราะแค่ฟังก็ต้องเข้ามาพัวพันไปแล้วไง”
“……เดี๋ยวสิๆ ไม่เลยๆ ผมอยากจะรีบกลับบ้านก่อนที่จะเข้าสู่หน้าหนาว”
ฮิคารุพูดอย่างนั้นออกมา ใจจริงอยากกลับเร็วๆ เพราะเป็นห่วงงานสถาปนาชาติของสหพันธรัฐ
“แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? อาศัยอยู่ที่พอนด์ก็ดีแล้วนี่? นี่ถึงกับทิ้งชีวิตเพื่อญาติเลยเหรอ?”
“……แมนโนมก็เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างนี้แหละ กับญาติจะใจดีและเข้มงวด ทุกสิ่งอย่างจะหมุนรอบตัวญาติ ข้าเองก็อยากจะหนีจากสิ่งนั้น……แต่ก็หนีจากสายเลือดไม่ได้”
“สายเลือด สินะ……”
ฮิคารุคิดในใจ
ตัวเองในตอนนี้ ถึงร่างกายจะเป็นของโรแลนด์แต่จิตวิญญาณนั้นไม่ใช่ ถึงจะเป็นคนละจิตวิญญาณแต่ก็แก้แค้นให้กับโรแลนด์จนสำเร็จ สิ่งนั้นอาจจะเพราะเขาฝืนดึงเข้ามาในร่างนี้หรือเปล่านะ?
(ไม่ใช่ สิ่งที่ฆ่าเคานต์มอร์คสแตทคือความตั้งใจของผม ไม่ใช่สิ่งที่คลุมเครือเหมือนอย่างสายเลือด)
ในทางกลับกันแมนโนมเป็นเผ่าพันธ์ที่อายุยืนยาว อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการออกก็ได้
“……อยากให้ผมทำอะไรให้เหรอ?”
“โห จะให้ความช่วยเหลือเหรอ ผิดคาดนะเนี่ย คิดไว้ตั้ง 90 เปอร์เซ็นต์ว่าจะกลับไปทั้งอย่างนั้นซะอีก”
“ผมเองก็อยากตอบแทนคืนบ้างไง แต่อย่าให้นานนักล่ะ”
“ฮึๆ ตอบแทนเรื่องที่สอนการชำแหละเหรอ มันต่างกับที่พูดเมื่อกี้เลยไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นกลับเลยก็แล้วกัน?”
“ล้อเล่นน่า เจ้าเนี่ยเป็นชายที่แปลกจริงๆ—-ไหนจะรู้จักคำโบราณอย่างเฝ้าตอรอกระต่ายอีก”
สิ่งนั้นเป็นคำพูดที่ฮิคารุเคยพูดออกไป การที่อุลเค็นรู้ถือว่าเหนือความคาดหมาย แต่ก็เป็นการบอกให้ฮิคารุว่ามีผู้กลับชาติมาเกิดอยู่—-เอาเถอะเซริก้าแห่งจตุรดาราแห่งบูรพาเองก็เป็นผู้กลับชาติมาเกิดอยู่ เลยไม่สงสัยในเรื่องนี้แล้ว
“แล้วอยากให้ผมทำอะไรให้?”
“ไปส่งจดหมายให้ที”
“จดหมาย?”
“ส่งให้กับฝ่าบาทคากุไร ซึ่งอยู่ที่เมืองหลวงกี ควินแบรนด์ แห่งจักรวรรดิ ควินแบรนด์
“……ไม่ให้ลูกน้องทำล่ะ?”
“ระดับหน่วยข่าวกรองของจักรวรรดิมันต่ำเกินไป แถมจดหมายของข้าจะให้คนอื่นนอกจากฝ่าบาทดูไม่ได้เป็นอันขาด ดีไม่ดีหน่วยข่าวกรองอาจจะยึดข้อมูลไว้คนเดียวก็ได้”
ฮิคารุคิดขึ้นมา กี ควินแบรนด์มันอยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล ถึงจะไม่มีปัญหาในการข้ามพรมแดนแล้วเข้าไปในปราสาทของจักรพรรดิก็เถอะ
“อย่าให้มีเรื่องไปเยอะกว่านี้นะ คิดว่ามันต้องใช้เวลาเท่าไรกันเชียว? บอกไปแล้วนี่ว่าอยากกลับก่อนหน้าหนาว”
“ไม่รู้นี่ว่าบ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน”
“สหพันธรัฐฟอเรสเทีย”
“โห? ตอบมาตามตรงเลยเหรอ งั้นเหรอ—-ฟอเรสเทียสินะ ถึงที่นู้นจะไม่มั่นคงเหมือนกัน แต่อย่างน้อยคงดีกว่าราชอาณาจักรหรือจักรวรรดิก็ได้—-ถ้ามันเป็นไปได้ด้วยดี คงได้กลับฟอเรสซาร์ดก่อนถึงหน้าหนาวอยู่หรอก”
“……เข้าใจแล้ว ถ้างั้นเอาจดหมายมา”
“โทษทีนะ”
“จริงๆเลย ค่าสอนการชำแหละทำไมมันแพงขนาดนี้เนี่ย”
อุลเค็นยิ้มพร้อมกับหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเริ่มเขียนมัน
สำหรับฮิคารุแล้วไม่ได้สนใจแก่นแท้การต่อสู้ระหว่างจักรวรรดิกับราชอาณาจักรเลยสักนิด ที่ฮิคารุตามอลิซมาเพราะว่าสนใจโครงสร้างโซลบอร์ดอาจารย์ของเธอเท่านั้น เอาเถอะ ถึงจะรู้ระหว่างทางว่าเป็นอุลเค็นก็ตาม แต่ก็เปลี่ยนความสนใจว่าอุลเค็นมาทำอะไรที่นี่แทน
ถึงกระนั้น ทำไมมันถึงต้องมาทำงานที่ยุ่งยากด้วยเนี่ย
(ตาแก่นี่……คิดจะไปตายงั้นเหรอ)
ไม่รู้ว่าอุลเค็นเขียนอะไรในจดหมายบ้าง แต่ฮิคารุรู้สึกได้เลยว่าอุลเค็นไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา
ถึงจะบอกว่าอายุยืน แต่อาจจะรู้ก็ได้ว่าสังขารนี้น่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน หรือไม่ก็เพื่อแสดงความจงรักภักดีในหน้าที่ต่อองค์จักรพรรดิ หรืออาจจะเพราะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธ์—-ซึ่งฮิคารุไม่มีทางรู้ได้เลย แต่ที่คาดเดาเอาไว้ก็คือ
(จะไปลอบสังหารราชาของพอนโซเนีย)
มันแตกต่างกับการลอบสังหารจักรพรรดิบัลซาร์ดที่ทำในประเทศของตัวเองและได้รับคำสั่งมาจากจักรพรรดิองค์ถัดไป ต้องลอบเข้าไปในปราสาทที่ไม่รู้จักและลอบสังหารราชาอย่างจริงจัง ซึ่งต้องเตรียมตัวใจที่จะตายเอาไว้แล้ว
ต่อให้ตายอุลเค็นคงถูกเปิดเผยในฐานะ “หัวหน้ากิลด์นักผจญภัยของพอนด์” เท่านั้น ที่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้ากิลด์เพื่อที่จะได้ไม่เกิดเรื่องยุ่งยากในภายหลังก็เป็นได้
(……ควรจะบอกเรื่องที่หัวหน้ากลุ่มอัศวินจะพาองค์หญิงออกมาดีหรือเปล่านะ?)
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ฮิคารุก็ปฏิเสธออกมาในใจ บอกมันแล้วจะได้อะไรขึ้นมา บางทีอุลเค็นอาจจะเต็มใจในการสังหารราชาก็ได้ ถ้าราชาโดนลอบสังหารหัวหน้ากลุ่มอัศวินคงสนับสนุนองค์หญิงในการขึ้นครองราชแทนที่จะเกิดการปฏิวัติก็ได้
สถานการณ์ตอนนี้มันเกินการควบคุมของฮิคารุไปแล้ว
“เอาละ เสร็จแล้ว”
เขามอบซองจดหมายมาให้ และทำการปิดผนึกเรียบร้อยทำให้ไม่รู้เนื้อหาข้างใน ฮิคารุรับจดหมายนั้นใส่ในกระเป๋า
“……ฝากด้วยนะ”
“อือ”
ใบหน้าของอุลเค็นเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูภายนอกแล้วเป็นตาแก่ที่ชอบจู้จี้
แต่ตอนนี้—-กลับยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ฮิคารุเอ๋ย จงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ หากเจ้ามีพรสวรรค์ระดับนี้โลกไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ๆ ไม่ว่าเจ้าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม”
“……เข้าใจแล้ว”
ฮิคารุรับคำนั้นไว้โดยไม่โต้เถียงหรือปฏิเสธ รู้สึกได้เลยว่ามันเป็นของขวัญลาจากชิ้นสุดท้ายจากอุลเค็นที่มอบให้กับตัวเอง
ร่างของอุลเค็นหายไป ฮิคารุก็เช่นกัน โดยไม่มีการร่ำลาใดๆ