บทที่ 724 ตกลงไม่ได้ ทั้งหมดต้องอยู่อย่างเจี๋ยมเจี้ยม!
ผู้อาวุโสสามผงะ ฉงนกับสิ่งที่เริ่นลู่กล่าวนิดหน่อย
หมายความอย่างไรที่ว่า ขาของเขาทั้งตรงทั้งยอดเยี่ยม ไม่มีทางกะเผลกหรือหักแน่นอน?
ทว่าต่อมา เขาเริ่มครุ่นคิด
เริ่นลู่เอ่ยอยู่ตลอดว่าปากนกปากกาเป็น ‘พรสวรรค์’ บางอย่าง แล้วมาใช้วาจาเช่นนี้กับเขา
เห็นได้ชัดว่าตั้งใจควบคุมเขาผ่าน ‘พรสวรรค์’ ปากนกปากกาของตน ทำให้ขาของเขากะเผลกหรือหัก
คนบ้าอะไร สมองไม่พอใช้แล้วหรือ ถึงได้มองปากนกปากกาเป็นความสามารถ แล้วยังคิดจะควบคุมเขาอีก?!
เขาเดือดดาลขึ้นมาในบัดดล ฟาดฝ่ามือใส่ทางเริ่นลู่!
คนกำลังอัดอั้นตันใจไม่มีที่ระบายโทสะ!
เริ่นลู่ลำพองใจเป็นหนักหนา ไม่ยี่หระต่อฝ่ามือของผู้อาวุโสที่ฟาดเข้ามาสักนิด ‘พรสวรรค์’ ของเขาควบคุมได้แม้แต่เหล่าบรรพจารย์ นับประสาอะไรกับผู้อาวุโสสาม!
ผลสุดท้าย เขาก็ต้องอึ้งงันไป ดูเหมือนว่า…การควบคุมย้อนกลับของเขาไม่ได้ผลเท่าไหร่ ผู้อาวุโสไม่เป็นอันใดเลยสักนิด ฝ่ามือนั้นกระแทกโดนตัวเขาจัง ๆ!
เสียงดังพรวด ร่างของเขาถูกอัดจนแหลกลาญกลายเป็นหมอกเลือด ยังดีที่ผู้อาวุโสสามมิได้ลงมือถึงตาย มิฉะนั้น เขาคงสิ้นชีพไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
สุดท้าย เขาต้องหลอมร่างขึ้นใหม่ด้วยความยากเย็น
“เวลา! ต้องเป็นปัญหาของเวลาแน่นอน!”
เขาร้องตะโกน ไม่เชื่อว่า ‘พรสวรรค์’ ของเขาจะมีปัญหา ต้องเพราะยังไม่ทันได้แผลงฤทธิ์แน่นอน
“ยังดื้อด้านอยู่อีกหรือ!”
ผู้อาวุโสสามแค่นเสียงเย็น ฟาดฝ่ามือเข้าไปอีกครั้ง จนร่างใหม่ที่เริ่นลู่เพิ่งหลอมขึ้นมาระเบิดแหลกลาญอีกครั้ง
คราวนี้ เริ่นลู่ใช้เวลาหลอมร่างใหม่นานขึ้นกว่าเดิม
เขาไม่กล้าทะเล่อทะล่าเอ่ยคำใดออกไปอีก แต่เขาเชื่อใน ‘พรสวรรค์’ ของตน ขาของผู้อาวุโสจะต้องกะเผลกหรือหักไปแน่นอน เขารอช่วงเวลาที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอยู่!
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
แม้เริ่นลู่จะไม่ได้เอ่ยวาจา แต่สายตาคู่นั้นยังคงจ้องเขม็งไปที่ขาของผู้อาวุโสสาม ผู้อาวุโสสามไฉนเลยจะไม่รู้ว่าเริ่นลู่คิดอันใดอยู่ เขาฟาดฝ่ามือเข้าไปอีกครั้ง
เสียงดังพรวด ร่างของเริ่นลู่ก็ถูกอัดจนแหลกลาญไปอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาไม่อาจหลอมร่างขึ้นใหม่ได้อีก ต้องใช้เวลาเนิ่นนานจึงจะทำได้
“คอยดูเถิด ‘พรสวรรค์’ ของข้าไม่มีทางผิดพลาด!”
เขาเอ่ยในใจอย่างเคียดแค้น
“สหาย ตกลงว่าเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ ช่วยอธิบายให้เราฟังทีได้หรือไม่”
บรรพจารย์ท่านหนึ่งแห่งตระกูลเริ่นเอ่ยถามประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงเสียงเข้ม
จนบัดนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเกิดอันใดขึ้น สับสนมึนงงเป็นที่สุด จู่ ๆ ก็มีคนบุกมาหาพวกเขา บอกว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ได้อยู่ในอาณาจักรนี้ต่อ จากนั้น พวกเขาก็โดนขับไล่เสียอย่างนั้น
คนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก ใช้วิชาตาเดินหมากล้อมบางอย่างที่บรรพจารย์อย่างพวกเขาร่วมมือกันยังสู้มิได้ ถูกโยนออกมากันหมด
ใช่แล้ว คนผู้นั้นก็คือตงฟางเวิ่น
ยามที่ยอดฝีมือทั้งหลายจากแดนเซียนและแดนมรณาบุกเข้ามาในอาณาจักรนี้ ผู้เฒ่าเมิ่งจีก็สัมผัสถึงการมาเยือนนี้ได้ผ่านพลังคุ้มกันในอาณาจักร แล้วจึงรีบติดต่อตงฟางเวิ่น เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา
ตงฟางเวิ่นในเวลานี้ทรงพลังกล้าแกร่ง เขาได้รับคัมภีร์กลยุทธ์หมากล้อมที่คุณชายบันทึกข้อคิดเอาไว้ กอปรกับเขาไปหาต้นหลิวบ่อย ๆ
ต้นหลิวนั้นดีกับตงฟางเวิ่นไม่น้อย ทุกครั้งที่ตงฟางเวิ่นเข้าไปหา ต้นหลิวมักให้คำชี้แนะสอนสั่งแก่ตงฟางเวิ่น กระทั่งเรื่องที่ต้นหลิวหวดตงฟางเวิ่นด้วยก้านหลิวไม่หยุดก็เป็นการเคี่ยวกรำตงฟางเวิ่น
ในสถานการณ์เช่นนี้ ตงฟางเวิ่นก้าวหน้าได้รวดเร็วเหลือเชื่อ เดิมทีขอบเขตพลังของเขานั้นสูงส่งอยู่แล้ว ขอบเขตในตอนนี้ยิ่งสูงขึ้นไปอีก บัดนี้เป็นถึงจ้าวแห่งเซียนตนหนึ่งแล้ว!
แม้ว่าตระกูลเริ่นนั้นเป็นหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งแห่งแดนเซียน กระนั้นแดนเซียนก็ไม่อาจเทียบได้กับภพเซียน เพดานถูกจำกัดไว้แล้ว ผู้ที่ขอบเขตสูงที่สุดในแดนเซียนก็เป็นแค่เซียนจวินเท่านั้น ไม่มีตัวตนระดับจักรพรรดิเซียนดำรงอยู่
แม้แต่ว่าที่จักรพรรดิเซียนก็ไม่มี
นอกจากนี้ สสารฝึกฝนและกฎระเบียบในแดนเซียนไม่อาจเทียบกับภพเซียนได้เลย สิ่งปนเปื้อนเยอะเกินไป เมื่อตงฟางเวิ่นสำแดงคัมภีร์กลยุทธ์หมากล้อมที่คุณชายประทานให้ ก็สามารถกำราบสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจากแดนเซียนได้ง่ายดาย
ว่ากันตามตรง แดนมรณาเป็นภัยกว่าแดนเซียน ฝ่ายพวกเขาให้ความสำคัญกับแดนมรณาอย่างยิ่งยวด พวกเขารู้ว่าแดนมรณานั้นอยู่เบื้องหลังอาณาจักรเทียนหยวน
ทว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจักรพรรดินีเคยบุกไปยังแดนมรณา และไม่รู้ว่าคุณชายเคยปรากฏตัวที่แดนมรณา
เมื่อคราวแดนมรณาบุกเข้ามา พวกเขาระแวดระวังประหนึ่งเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ คิดว่าแดนมรณาจะต้องทำการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตที่นี่อย่างเอิกเกริก จำต้องรีบจัดการในทันที
ส่วนสิ่งมีชีวิตและกองกำลังจากแดนเซียน พวกเขาไม่ทันได้สนใจ
และขณะที่พวกเขาทุ่มเทกายใจเพื่อต่อกรกับแดนมรณา พวกเขาได้พบกับจักรพรรดินีและหยวนอี
จักรพรรดินีและหยวนอีกำลังจะไปยังแดนมรณาเช่นกัน
พวกเขาถึงทราบจากจักรพรรดินีว่า คุณชายเคยไปยังแดนมรณา และเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาณาจักรเทียนหยวนและแดนมรณาที่เคยเกรียงไกรถึงดับไฟไปเสียเฉย ๆ เงียบสนิทไร้ข่าวคราว
จักรพรรดินีเอ่ยว่าปล่อยพวกนางไปที่แดนมรณาก็พอ ให้พวกเขาดูแลสถานการณ์ของแดนเซียน
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงถึงได้ออกมานอกอาณาจักร
เดิมพวกเขาก็ตั้งใจจะติดตามไปที่แดนมรณาด้วย
“สมาชิกของพวกเจ้าสองตระกูลใจคอโหดเหี้ยม กระทำความชั่ว เป็นเหตุให้พวกเจ้าเสียสิทธิ์!”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าว
“เพราะเหตุนี้หรือ?”
บรรพจารย์ตระกูลเริ่นในที่นี้ผงะกันหมด เหล่าบรรพจารย์ในตระกูลอวี๋ก็ผงะเช่นกัน พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้!
เพราะพฤติกรรมของสมาชิกทั้งสองคน พวกเขาถึงต้องเสียสิทธิ์เช่นนี้ไปอย่างนั้นหรือ?!
ทำเกินไปแล้ว!
“ตกลงกันไม่ได้เลยหรือ”
บรรพจารย์ตระกูลเริ่นเอ่ย “อย่างเช่นพวกเรายอมขอโทษอย่างจริงใจ และประหารสมาชิกที่กระทำความชั่วเพื่อชดใช้ความผิด!”
“ใช่แล้ว ตระกูลของเราก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน!”
บรรพจารย์ตนหนึ่งแห่งตระกูลอวี๋กล่าว
แดนบรรพโกลาหลกำลังจะปรากฏในอาณาจักรนี้ หากเข้าไปในอาณาจักรนี้ไม่ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะสูญเสียโอกาสเข้าไปในแดนบรรพโกลาหลด้วย
โอกาสเช่นนี้เลอค่าเหลือแสน ล้านปีกว่าจะเกิดขึ้นสักครา หากต้องฆ่าสมาชิกคนสองคนเพื่อการนี้มิใช่ปัญหาแต่อย่างใด
หลังอวี๋ฮวนและเริ่นลู่ได้ยินคำกล่าวของเหล่าบรรพจารย์ ก็กลัวแทบบ้า
โดยเฉพาะเริ่นลู่ ยิ่งต้องภาวนาให้ ‘พรสวรรค์’ ของเขาสำแดงฤทธิ์เดช เช่นนี้เขาจะมีพลังพอให้เอาตัวรอด มีชีวิตอยู่ต่อไป
อนิจจา ไม่ว่าเขาควบคุมขาของผู้อาวุโสสามในใจอย่างไร ขาของผู้อาวุโสสามก็ไม่เป็นอันใดเลยสักนิด
“ตกลงไม่ได้!”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนตอบเสียงเด็ดขาด
เขาทำเช่นนี้มิได้มุ่งเป้าไปที่ตระกูลเริ่นและตระกูลอวี๋เท่านั้น หากแต่เพื่อข่มขวัญกองกำลังอื่นจากแดนเซียนด้วย รวมถึงกองกำลังที่ยังมาไม่ถึง
มีเพียงทำเช่นนี้ กองกำลังอื่น ๆ จากแดนเซียนรวมถึงที่ยังมาไม่ถึงจึงจะมีความยำเกรง กวดขันสมาชิกในตระกูลของตนได้เข้มงวดยิ่งขึ้น
ช่วยไม่ได้ พลังโดยรวมของอาณาจักรนี้อ่อนแอเกินไป อ่อนแอยิ่งกว่าอาณาจักรไหน ๆ หากไม่ใช้วิธีการเด็ดขาดข่มขวัญสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรอื่น สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้จะต้องตกเป็นเหยื่อให้สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรอื่นแล่เนื้อได้ตามต้องการ
“สหายอย่าตัดทางกันเด็ดขาดเกินไปจะดีกว่า! ไม่ว่าเรื่องใดที่เด็ดขาดเกินไป มักไม่เป็นการดีนัก!”
บรรพจารย์ตระกูลเริ่นเอ่ย “อย่างเช่นครั้งนี้ หากสหายยอมปล่อยให้เรื่องจบ สถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้นมาก หากปล่อยให้เรื่องจบมิได้ พวกสหายก็คงได้เห็นดีเหมือนกัน!”
“เจ้ากำลังขู่เราอยู่หรือ”
สือเฟิงมองบรรพจารย์ตระกูลเริ่นด้วยสายตาเยียบเย็น ในช่วงเวลาเช่นนี้ บรรพจารย์ตระกูลเริ่นยังริอ่านวางท่าเช่นนี้อยู่อีก หากว่าครั้งนี้พวกเขายอมปล่อยไปจริง ๆ เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำมาจะต้องเสียเปล่า ไม่มีทางมีผลอันใด
“ไม่ถึงกับขู่ ข้าเพียงแต่สาธยายความจริงให้ฟังเท่านั้น พวกสหายดูเหมือนจัดการแค่พวกเราสองตระกูล ทว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือ”
บรรพจารย์ตระกูลเริ่นกล่าว “ไม่ว่าเรื่องใดอย่ามองเพียงด้านเดียวดีกว่า ควรต้องมองให้ไกล มองให้ลึก!”
เขามิได้ใช้ถ้อยคำเถรตรง กระนั้นก็สื่อความหมายชัดเจนแล้ว เขาเชื่อว่าสือเฟิงและประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเข้าใจความหมายในคำกล่าวของเขาได้ดี
ใช่แล้ว เป็นดั่งที่เขาว่า ภายนอกดูเหมือนเป็นการจัดการเพียงเขาและตระกูลอวี๋แค่สองตระกูลเท่านั้น ทว่าความจริงมิใช่เช่นนั้นแน่นอน
เขารู้ดีว่า กองกำลังและยอดฝีมืออื่น ๆ ในแดนเซียนต่างจับตามองสถานการณ์ด้านนี้อยู่!
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงเป็นสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นที่แข็งกร้าวเกินไป มิใช่เรื่องดีสำหรับกองกำลังและยอดฝีมืออื่น ๆ จากแดนเซียนแน่นอน
กองกำลังและยอดฝีมืออื่น ๆ จากแดนเซียนไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่
หากว่าสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงยอมเลิกราง่าย ๆ เพียงเท่านี้ เรื่องนี้ก็จะจบ กองกำลังและยอดฝีมืออื่น ๆ จากแดนเซียนก็จะไม่มีการลงมือ
ถึงอย่างไร หากเป็นเช่นนั้นก็บ่งบอกว่าสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมิได้เจ้าหลักการมากนัก ไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเขาเท่าใด
แต่หากว่า สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนยืนกรานว่าจะเอาเรื่องถึงที่สุด กองกำลังและยอดฝีมืออื่น ๆ จากแดนเซียนก็ไม่มีทางรามือง่าย ๆ
เพราะถึงแม้ตอนนี้เป็นเพียงตระกูลของเขาและตระกูลอวี๋ ทว่าต่อไป อาจเป็นกองกำลังและยอดฝีมืออื่น ๆ จากแดนเซียนก็ได้!
“เจ้ายังมีหน้าว่าพวกเราอีก…”
สือเฟิงปรายตามองบรรพจารย์ตระกูลเริ่น เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “เหตุใดเจ้าถึงไม่มองให้ไกล มองให้ลึกบ้าง เจ้าไม่ตงิดบ้างหรือว่าพวกเราต้องการจัดการเพียงพวกเจ้าสองตระกูลหรือ?”
เมื่อได้ยินวาจาของสือเฟิง บรรพจารย์ตระกูลเริ่นหรี่ตาลงในทันใด
หมายความว่าอย่างไร?
สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกสือเฟิงคิดจะเป็นปรปักษ์กับทั้งแดนเซียนเลยหรืออย่างไร คิดจะข่มขู่แดนเซียนทั้งปวงเลยรึ
บ้าไปแล้วหรือไร?!
เขายอมรับว่าสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกสือเฟิงมีฝีมืออยู่บ้าง ทว่าครั้นคิดจะเป็นปรปักษ์กับแดนเซียนทั้งปวง สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกสือเฟิงยังไม่มีสิทธิ์ มีความสามารถไม่พอ!
หากกองกำลังและยอดฝีมือทั้งหมดในแดนเซียนผนึกกำลังด้วยกัน มิใช่ระดับที่สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกสือเฟิงจะต้านไหว!
“ความคิดเช่นนี้ของเจ้าอันตรายมาก เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าพวกเจ้าจะทำได้”
บรรพจารย์ตระกูลเริ่นหัวเราะเย็น ๆ
“ไยจึงไม่ได้”
สือเฟิงปริปาก “อย่าคิดว่าพวกเจ้านั้นสูงส่งเสียเต็มประดา เมื่อมาอยู่บนแดนดินของอาณาจักรเรา พวกเจ้าก็ต้องอยู่อย่างเจี๋ยมเจี้ยม อย่าคิดจะทำตัวโอหังกำเริบสืบสาน!”
“พูดจาได้แข็งกร้าวยิ่งนัก!”
“พยัคฆ์ไม่แผลงฤทธิ์ สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกเจ้าก็เห็นเราอ่อนด้อยฝีมือจริง ๆ หรือ?!”
“แค่มีวาสนาได้เปรียบกว่าเรานิดหน่อย สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกเจ้าก็จองหองพองขนปานนี้เชียวหรือ”
“เดิมทีข้าคร้านจะแยแสสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกเจ้า บัดนี้พวกเจ้าทำให้พวกเราบันดาลโทสะแล้ว!”
เสียงตวาดเย็น ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ยอดฝีมือทั้งหลายจากแดนเซียนออกมาอยู่นอกอาณาจักรกันหมด
พวกเขามีสีหน้าเย็นชา ไม่คิดจะนิ่งดูดายอีกต่อไป ปัญหาจากสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างพวกสือเฟิงจำต้องจัดการ
มิฉะนั้น พวกเขาคงอยู่ไม่สงบในอาณาจักรนี้แน่!