ตอนที่ 12 แฟร์รี่
แฟร์รี่ เป็นสิ่งมีชีวิตที่กำเนิดจากพลังเวทย์บริสุทธิ์จึงไม่มีกายหยาบ
มันอาจฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ พวกแฟร์รี่เหล่านี้กำเนิดมาพร้อมกับตัวตนและองค์ความรู้ที่สมบูรณ์
นอกจากนี้ พวกแฟร์รี่เหล่านั้น ไม่ได้กำเนิดจากครรภ์มารดา แต่กำเนิดจากพลังเวทย์ของโลกใบนี้ หรือก็คือการคุมครองของราชินีแฟร์รี่ โดยพวกเขากำเนิดจากสิ่งที่คล้ายกับดอกไม้ตูม
หากเป็นในชีวิตจริง คงจะประมาณว่า นกกระสาคาบเด็กมาส่ง หรือ เด็กที่มาจากสวนกะหล่ำ
มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจนกว่าจะเห็นด้วยตาตัวเอง
แฟร์รี่สามารถสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่เพราะพวกเขาไม่มีกายหยาบ จึงไม่มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดแบบสัตว์
สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากพลังเวทย์ ที่ไม่มีความต้องการพื้นฐาน อันได้แก่ การนอน อาหารและความต้องการทางเพศ
ในกรณีของแฟร์รี่ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถนอนเพื่อพักจิตได้ และเมื่อไม่จำต้องกินอาหารก็ย่อมไม่จำต้องขับถ่ายเช่นกัน อาหารจึงไม่มีความจำเป็นโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ พวกเขาไม่มีผู้ชาย พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่างคล้ายกับเหล่าไอดอลในอุดมคติจริง ๆ
แฟร์รี่ทุกตัวเกิดมาเป็นผู้หญิง และจะอยู่อย่างนั้นจนกว่าพวกเขาหายไป
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้หญิง เหตุผลที่พวกเขายังไม่สูญพันธ์ เพราะ ไม่มีความจำเป็นในการสืบพันธ์
และพวกเขาไม่แก่ เพราะพวกเขาไม่มีกายหยาบ
สิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิตของแฟร์รี่ คือ สภาพแวดล้อมแบบเดียวกับแฟร์รี่การ์เด้น ซึ่งอุดมไปด้วยพลังเวทย์ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถฟื้นฟูพลังได้ แฟร์รี่ก็จะมีชีวิตต่อไปได้
แม้ว่าแฟร์รี่จะมีสติปัญญาระดับเดียวกับมนุษย์ แต่เพราะว่า ไม่มีความต้องการเหมือนมนุษย์ และ ไม่มีวัฒนธรรมหรือระบบจารีต ทำให้ไม่มีความขัดแย้งภายในกลุ่ม พวกเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่เผ่าที่ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงเหมือนดังเช่นอดีต
พวกเขาไม่มีความต้องการพื้นฐาน และไม่ต้องทำงาน พวกใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นและพูดคุย
ตั้งแต่แรกเริ่ม แฟร์รี่เป็นเผ่าที่รักอิสระ และชอบพูดคุยคล้ายกับเด็กๆ
แม้ว่าจะไม่มีความจำเป็น แต่พวกเขาชอบนอนภายใต้แสงอาทิตย์ และกินอาหารอร่อยๆ เพื่อความสุข
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงหิ้วผลไม้คล้ายแอปเปิ้ล และ กิน นอน เล่น เป็นกิจวัตรในทุกๆวัน
จากที่ฟังดู ผมเองก็อยากเป็นแฟร์รี่เหมือนกัน แต่พวกเขาเป็นเผ่าที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร พวกเขาตะโกนไล่ผมอย่างบ้าคลั่ง
และดูเหมือนว่า ครึ่งแฟร์รี่ครึ่งมนุษย์ ลิลลี่ จะได้รับผลกระทบเหมือนกับผม แม้ว่าเธอจะเกิดมาเป็นแฟร์รี่แต่เธอก็ถูกขับไล่ออกจากกลุ่มมา
“เข้าใจแล้วมันต้องลำบากมากเลย แม่งเอ้ย ผมรู้สึกว่าเหมือนกำลังร้องไห้อยู่”
“อย่าร้องไปเลย คุโรโนะ”
ผมฟังเรื่องราวของลิลลี่ในขณะที่เรากินผลไม้นั่น ผมจะเรียกมันว่าแอปเปิ้ล แม้ว่ามันจะไม่ใช่แอปเปิ้ลก็ตาม มันเป็นเรื่องราวที่สะเทือนใจจริงๆ
ผมรู้สึกผูกพันกับลิลลี่ และลิลลี่เองก็เรียกผมแบบคนทั่วไป เราไม่ใช่แค่คนรู้จักอีกต่อไป
ใช่แล้ว เราเป็นเพื่อนกันเรียบร้อยแล้ว มันคงจะเป็นแบบนั้น มันคงจะดีถ้าเป็นแบบนั้น
มันไม่สำคัญว่าเราจะเป็นเพื่อนกันหรือเปล่า ผมกำลังพูดถึงลิลลี่
“ต้องโดดเดี่ยวตั้งแต่วินาทีที่เกิดมา มันหดหู่เกินไป…………”
เพราะลิลลี่ มีร่างกายจริง เธอมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดอยู่ หมายความว่า เธอต้องกินเพื่ออยู่ ต้องนอนเพื่อฟื้นฟูจากความเหนื่อย พูดง่ายๆ คือ เธอต้องหาอาหารและที่อยู่เพื่อใช้เป็นที่นอน ภายในป่าแห่งนี้ด้วยตัวเธอคนเดียว
“ไม่เป็นหรอก ฉันมีบ้านแล้ว”
บ้านที่เธอพูดถึงกระท่อมตรงหน้าเราในขณะนี้
มันดูเก่ามาก เหมือนว่าเป็นบ้านไม้ของจอมเวทย์เมื่อนานมาแล้ว เมื่อจอมเวทย์ตายลง ร่างของเขาก็ถูกย้ายไปฝังที่สุสานโดยชาวบ้าน แต่บ้านหลังนี้ก็ถูกทิ้งไว้
เมื่อลิลลี่เกิดมา เธอถูกไล่ออกจากน้ำพุแห่งแสง ดังนั้นเธอจึงอาศัยในกระท่อมนี้ที่อยู่ใกล้ป่า
“เธอหาอาหารยังไง”
“ฉันเก็บผลไม้และเห็ด บางครั้งฉันก็ไปซื้อขนมปังในหมู่บ้าน”
“หืม? เธอซื้อของด้วยหรอ แล้วเงินล่ะ”
“ฉันเก็บสมุนไพรและทำยาจากสมุนไพรพวกนั้น”
“และเธอขายมันในหมู่บ้านเพื่อหาเงิน?”
“ใช่ เป็นครั้งคราวเท่านั้นแหละ”
“สุดยอด! นั่นมันสุดยอดไปเลย!”
เธอสามารถหาเงินใช้เองได้ แม้ว่าเธอจะตัวเล็กนิดเดียว เทียบกับเด็กสมัยใหม่อย่างผมที่ไม่ต้องทำอะไรนอกจากไปโรงเรียน เธอถือว่า สุดยอดมาก
“อุฮิฮิฮิ…..”
บางทีเธออาจจะรู้สึกเขินอายจากคำชม เธอบิดตัวไปมาพร้อมก้มหน้าลง
เธอควรภูมิใจในตัวเองมากกว่านี้
“ถ้าเธออยู่คนเดียว ทำไมไม่ออกจากป่า แล้วเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านแทนล่ะ?”
“ไม่…..แฟร์รี่อยู่ได้แค่ในที่ ๆ เราได้รับการปกป้องจากราชินีแฟร์รี่เท่านั้น”
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นกฎหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่า ลิลลี่จะยังไม่อยากออกจากป่าแห่งนี่ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่แฟร์รี่เต็มตัวก็ตาม
แม่ว่าจะไม่มีกฎ ที่นี่ก็เป็นบ้านเกิดของเธอ ผมเองก็พอจะเข้าใจว่าทำไมถึงไม่อยากออกจากที่นี่
“แต่ ไม่ใช่ว่าเธอถูกบังคับให้ทำสิ่งอันตรายต่าง ๆ เช่นสู้กับมอนสเตอร์ โดย แฟร์รี่ พวกนั้นหรอ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันทำมันมานานแล้ว มันเป็นสิ่งเดียวที่ลิลลี่จะทำให้พวกเขาได้”
“ลิลลี่ต้องการจะปกป้องน้ำแห่งแสงแม้ว่าเธอจะถูกไล่ออกมาจากที่นั้นอย่างนั้นหรอ”
“ใช่”
ไม่มีทางที่เธอจะตอบมันโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดได้ แต่เธอก็ตอบมันอย่างหนักแน่น ผมไม่ควรจะถามหรือ เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งนี้อีก
“อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่หยุดเธอ แต่ครั้งนี้ผมจะทำการกวาดล้างก็อบลินแทน”
“หืม!! ไม่นะ! มันอันตรายเกินไป”
ลิลลี่รู้ว่ามันอันตรายสำหรับมนุษย์ที่จะต่อสู้กับมอนสเตอร์ แม้จะเป็นมอนสเตอร์ชนชั้นล่างก็ตาม
แต่แย่หน่อยนะ หรือผมควรเรียกว่าดีหน่อยนะ ดีล่ะ ว่าผมน่ะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
“ไม่เป็นไรหรอก เห็นแบบนี้ แต่ฉันก็เป็นจอมเวทย์นะ”
“จอมเวทย์งั้นหรอ”
ลิลลี่จ้องผมด้วยความประหลาดใจ ผมมองเห็นตัวเองในตาดวงใหญ่ของเธอและนึกได้ว่า
“ขอโทษนะลิลี่ แต่มีอะไรที่ผมใส่ได้ไหม และบอกผมหน่อยว่า มีแม่น้ำใกล้ ๆ ไหม ผมจะไปล้างตัว”
ชุดที่ผมใส่เป็นเสื้อสีขาวที่ใส่ในห้องทดลองนั้น นอกจากจะเก่าแล้วมันยังเป็นรูถึง 8 รูจากการต่อสู้กับ ซาเรียล รวมถึงหลังจากที่หลบหนี ผมข้ามหุบเขามา 3 วัน โดยชุดตัวนี้ มันเลอะเทอะและเสียหาย
ผมเองก็ไม่ได้ล้างตัวมาหลายวันแล้ว ผมอาจจะไม่ได้สังเกต แต่ตัวผมคงเหม็นมากแน่ ๆ
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด ผมก็ดูเหมือนกับคนเร่ร่อนมากกว่าจอมเวทย์
“อ่า…..แม่น้ำอยู่ทางนั้น ส่วนเสื้อผ้า….”
“นายจะไปเลยเหรอ”
“ใช่ ผมจะทำความสะอาดชุดหลังจากกลับมาแล้ว ทีนี้ ลิลลี่ นำทางผมที่ถ้ำก็อบลินนั้นที”
“ด…ได้”
บางทีเธอจะยังรู้สึกกังวลผ่านสีหน้าของเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมจัดการได้ ถ้ามันแย่จริง ๆ ผมจะวิ่ง ผมมั่นใจว่าผมหนีได้สบาย ๆ”
เพราะผมหนีออกมาจากห้องทดลองนั่น และจากหญิงสาวผู้มีพลังระดับมอนสเตอร์ การปิดล้อมของก็อบลินไม่เป็นปัญหาสำหรับผม
“อ่า ตามฉันมา”
ด้วยความกระตือรือร้นของผม(?) ลิลลี่เริ่มนำทางผมไป
เอาล่ะ ผมจะแสดงจุดแข็งของผมกับคนที่แสดงความเมตตาต่อผม
ผมเตรียมตัวและเริ่มเดินตามลิลลี่ไป