บทที่ 11 – แบบแผน
“ถึงจะบอกให้ร่วมมือก็เถอะนะ.. แต่ฉันไม่เห็นจะเข้าใจสิ่งที่เธอหมายถึงเลยนะ ‘กิลด์นักผจญภัย’ เหรอ..”
มิวพูดด้วยความสับสนเล็กน้อย ในยุที่ก่อนยุคใหม่แบบนี้จะมาถึงนั้นต่างมีนวนิยายหลากหลายแบบที่ได้รับความนิยม
เป็นยุคของวงการสื่อบันเทิงอย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือแนวแฟนตาซีต่างโลก
และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในนิยายแนวนั้นก็คือ ‘กิลด์นักผจญภัย’ ที่ให้เหล่านักผจญภัยมารับคำร้องขอจากสถานที่ต่างๆ
นั่นแหละคือ ‘กิลด์นักผจญภัย’ แน่นอนว่ามิวรู้จักและเข้าใจมันดี แต่สิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้ามิวพูดอยู่คือเหมือนจะอยากสร้างมันขึ้นมา
ซึ่งมิวเองก็ไม่แน่ใจเรื่องว่ามันต้องเป็นยังไงมาในรูปแบบไหนนั่นเอง.. เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นคาเอะก็ไม่ได้เมินเฉยเธอเริ่มอธิบาย
“แน่นอนว่าก็ตามที่ว่าเลยค่ะ กิลด์นักผจญภัยก็คือสถานที่ที่ดึงดูดผู้คนมากมายหลากสังกัดเข้ามาเพื่อสร้าง ‘คำขอ’ มอบให้พวกเขาทำเมื่อทำสำเร็จก็จะได้รับผลตอบแทนนั่นเองค่ะ”
“แต่แทนที่จะเรียกว่ากิลด์นักผจญภัย ต้องบอกว่ากิลด์ผู้ใช้อารยธรรมซะมากกว่าสินะคะ”
แน่นอนว่าสิ่งที่เธออธิบายออกมาเป็นเรื่องที่มิวรู้และเข้าใน แต่สิ่งที่เธออยากรู้ก็คือมันจะทำให้เป็นรูปร่างขึ้นมายังไงกันแน่?
เพราะโลกนี้ไม่ใช่โลกแฟนตาซีสักหน่อย อันที่จริงมันเป็นโงกที่แฟนตาซีที่มีความไฮเทคทะลุโลก
มิวจึงจินตนาการถึงระบบหรือระเบียบของไอ้สิ่งที่เรียกว่ากิลด์นักผจญภัยเท่าไหร่ แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายถึงกิลด์แบบที่มีในนิยายเกาหลีเช่นกัน
เพราะกิลด์แบบในนิยายเกาหลีเหมือนกลุ่มก้อนคนแบบพวกกิลด์ในเกมอะไรทำนองนั้น แต่กิลด์ที่เห็นในโลกแฟนตาซีเหมือนจะเป็นสาขาขนาดใหญ่
ที่ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยได้นั่นเอง แน่นอนว่าพอเห็นมิวขมวดคิ้วครุ่นคิดคาเอะเองก็เริ่มอธิบายลงลึก
“งั้นฉันจะขอเข้ารายละเอียดเบื้องลึกเลยนะคะ.. อันที่จริงพี่อาจจะรู้ไปแล้วว่าหมู่นี้น่ะมีการตั้งกลุ่มของตัวเองในการปีนป่ายหอคอยขึ้นมา.. ให้อารมณ์แบบแก๊งมาเฟียเลยล่ะ”
“อย่างที่รู้ว่าระบบการทำงานของหอคอยนั้นค่อนข้างซับซ้อน เหมือนตัวหอคอยจะมีแนวคิดของการเข้าหอคอยแบบทีมหรือแบบเดี่ยวด้วย”
“และอย่างที่พี่รู้ หอคอยถ้ามีใครสักคนผ่านหอคอยชั้นที่ไม่เคยไปถึงมาก่อนคนอื่นจะสามารถผ่านขึ้นไปชั้นนั้นได้ง่ายขึ้นประมาณ 30%”
“แต่หากร่วมมือกับคนที่เคยผ่านไปแล้ว ความง่ายจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 50% ซึ่งก็คือง่ายลงกว่าเดิมถึงครึ่งต่อครึ่ง”
“แน่นอนว่าไอ้กลุ่มไอ้แก๊งพวกนี้เนี่ย มันเป็นปัญหาตรงที่ว่ามันรับจ้างแบบผิดกฎหมายที่ว่า ‘ห้ามรับเงินจากผู้อื่นผ่านการไต่หอคอย’ เพราะหอคอยถือเป็นของทุกคน เป็นสมบัติของชาติทุกคนต่างมีสิทธิ์เข้าถึงได้”
“แต่พวกแก๊งที่คล้ายแก๊งมาเฟียนี่กับเก็บเงินเกินความจริงเพื่อรับจ้างพาไต่หอคอย และแม้มันจะแพงมากแค่ไหนก็มีคนจ้างพวกมันเพื่อผลตอบแทนระยะยาวในชั้นที่สูงกว่า”
“เพราะขอแค่ผ่านครั้งแรกได้แล้ว ครั้งต่อไปจะสามารถขึ้นไปชั้นนั้นได้ง่ายขึ้นเกือบ 80% เลยทีเดียว”
“และถึงแม้จะบอกว่าผิดกฎหมายแต่มันก็เหมือนช่องโหว่ของกฎหมาย เพราะที่พวกนี้ทำไม่ใช่การเก็บค่าผ่านทาง แต่เป็นการพาขึ้นไปต่างหาก”
“ดังนั้นจึงไม่สามารถตัดการกับคนเหล่านั้นได้อย่างอยู่หมัด.. นอกจากนี้ปัญหาที่ตามมาก็คือ คนที่ขึ้นไปแล้วนั้นมีความสามารถไม่มากพอในระดับชั้นนั้นๆ ค่ะ”
“อย่างไรซะที่ขึ้นไปได้ก็เพราะมีทีมที่จ้างวานมาช่วย.. และแน่นอนผลลัพธ์ของการทำแบบนั้นคือ ‘ตาย’ ในหอคอยนั่นเองค่ะ”
“และปัญหานี้มันเริ่มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา คนที่ตายเพราะไปอยู่บนหอคอยชั้นที่ไม่เหมาะกับตัวเองมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
มิวที่ฟังก็พยักหน้าเข้าใจ เรื่องพวกนี้ไม่มีเขียนในข่าว.. แต่เรื่องหอคอยเธอพออ่านเจออยู่บ้าง โดยหอคอยนั้นจะแบ่งการเข้าหอคอยออกเป็นสามประเภท
แม้ไม่มีคำเรียกที่ชัดเจนแต่ผู้คนเรียกการเข้าหอคอยสามแบบนี้ว่า
Tower solo – ไต่หอคอยคนเดียวผลตอบแทนในชั้นแต่ละชั้นจะเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับรางวัลเฉลี่ยต่อบุคคล ในกรณีที่ไม่เคยขึ้นไปมาก่อนแต่เคยมีคนผ่านไปแล้วจะง่ายขึ้นประมาณ 30% แต่ถ้าหากเคยผ่านมาถึงชั้นนี้แล้วชั้นที่ต่ำกว่าจะง่ายขึ้นประมาณ 80%
Tower party – ไต่หอคอยแบบทีมปาร์ตี้ ผลตอบแทนในแต่ละชั้นจะเยอะมากกว่าแบบเดี่ยว แต่ถ้าเทียบกับรางวัลเฉลี่ยโดยบุคคลกับแบบเดี่ยว.. แบบเดี่ยวจะได้มากกว่าประมาณ 20% ในกรณีที่ไม่มีใครในปาร์ตี้เคยขึ้นไปมาก่อนแต่เคยมีคนผ่านไปแล้วจะง่ายขึ้นประมาณ 30% และหากมีใครสักคนในปาร์ตี้ไม่เคยมาถึงชั้นนี้จะง่ายขึ้น 50% หรือถ้าเคยผ่านมาถึงชั้นนี้แล้วทุกคน ชั้นที่ต่ำกว่าจะง่ายขึ้นประมาณ 80% (ศัตรูในหอคอยเยอะขึ้นทุกเท่าตัวตามจำนวนคนในปาร์ตี้)
Tower guild – นี่ไม่เหมือนการไต่หอคอยแต่เป็นเหมือนการเก็บทรัพยากรในโลกภายในหอคอยเสียมากกว่า ทว่าหอคอยก็ไม่คิดเช่นนั้น เพราะศัตรูในหอคอยจะปรากฏขึ้นทุกเท่าตัวจากแบบลงเดี่ยวตามจำนวนผู้ที่เข้าร่วม และผลตอบแทนโดนเฉลี่ยต่อบุคคลจะน้อยกว่าแบบเดี่ยวประมาณ 50-60% เลย.. ดังนั้นการลงแบบนี้ส่วนใหญ่จะลงในชั้นที่ต่ำประมาณชั้น 1-3 เท่านั้น แถมคนที่เข้าร่วมส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่มีอารยธรรมแต่มีแร่พิเศษในร่างเฉยๆ ด้วย
“แล้ว.. เรื่องที่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับกิลด์นักผจญภัยที่จะสร้างนี้ล่ะ?”
มิวฟังทุกอย่างมาแต่ก็ยังเหมือนจับจุดของเรื่องราวไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แน่นอนว่าคาเอะเองก็รู้ตัวว่าตัวเองเล่ายาวเวิ่นเว้อไปไกล
แต่นี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องบอกคนที่ตนเองจะร่วมมือด้วย
“การตลาดสมัยนี้ จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ตลาดหอคอย’ กระจายรอรับซื้อของจากผู้ใช้อารยธรรมใช่ไหมล่ะคะ.. แต่เพราะเหตุการณ์ที่ว่านี้เลยทำให้กิจการตลาดซบเซาลงเนื่องจากคนตาย เพราะงั้นทางองค์กรบอร์เดอร์ไลน์ที่เป็นคนดูแลเองก็คิดว่าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่”
“แทนที่จะรอรับซื้อเปลี่ยนเป็น ‘ช่วยให้พวกเขาเลือกจะเอาอะไรมาขายเลย’ จะดีกว่าหรือเปล่าล่ะ นั่นคือความคิดของพวกเขาค่ะ”
“พูดง่ายๆ ก็คือ.. เราจะสร้างภารกิจตามของในสถานที่ต่างๆ ในหอคอยเพื่อให้ผู้ใช้อารยธรรมมีเป้าหมายที่ชัดเจนน่ะ”
“นอกจากนี้ถ้าทำแบบนี้เรายังจะสามารถจำกัดระดับความสามารถของผู้รับภารกิจให้ไม่ขึ้นไปชั้นสูงเกินตัวของตัวเองได้อีกด้วย”
พอฟังมาถึงจุด นี้มิวก็ขมวดคิ้ว พร้อมพูด
“หือ แต่ถ้าแบบนั้นไม่ใช่ว่ามันผิดกฎหมายที่บอกว่าทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วมอย่างอิสระเหรอ?”
“ไม่หรอกค่ะ… เราจำกัดแค่คนที่รับ ‘งานจากเรา’ หรือก็คือเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเราเท่านั้นค่ะ พูดง่ายๆ คือคุณจะไปไต่หอคอยแบบไม่รับภารกิจขึ้นหอคอยเกินตัวก็ได้นั่นเอง”
“เอ้ะ แต่แบบนั้นก็ไม่น่าจะช่วยอะไรเรื่องที่ว่ามีคนตายเพราะความสามารถไม่ถึง แต่ยังดึงดันขึ้นหอคอยชั้นสูงๆ อยู่ดีสิ?”
“ไม่หรอกค่ะ คนที่เลือกปีนหอคอยชั้นสูงกว่าความสามารถตัวเองส่วนใหญ่จะเป็นพวกสติไม่ดีก็.. จนปัญญาเรื่องการหาเงินจริงๆ ใช่ไหมล่ะ?”
“อืมม.. แล้ว?”
“พูดง่ายๆ ก็คือถ้ามีกิลด์นักผจญภัยหรือ ‘องค์กร’ รับสมัครคนเข้าทำงานที่มีผลตอบแทนชัดเจนตั้งแต่แรกว่าควรทำอะไรยังไงกับชีวิตดี พวกเขาจะรู้สึกว่าสามารถฝากฝังชีวิตตัวเองไว้ได้น่ะ และพอมีงานก็ต้องมีเงิน แค่นี้คนก็ไม่บ้ามุทะลุหาเงินอีกแล้ว”
เธอพูดถึงจุดนี้ก็เงียบลงสักพัก
“นั่นสินะ สมมุติว่าพี่อยู่ในหอคอย พี่เดินผ่านหญ้าต้นหนึ่งเพราะไปล่าศัตรูในหอคอย เพื่อเอามาขาย แต่ถ้ามีกิลด์อยู่พี่ก็เห็นคำร้องขอให้เก็บหญ้าไปด้วย รับภารกิจล่าศัตรูไปด้วย พี่จะไม่ต้องเดินผ่านต้นหญ้าแต่ก้มเก็บมาด้วยนั่นเอง”
“สิ่งมีชีวิตน่ะจะมีเป้าหมายบางอย่างเพื่อยึดมั่นเสมอนั่นแหละ”
มิวพยักหน้า ก็คือแทนที่จะมัวแต่วิ่งไล่ฟัดกับศัตรูจนไม่รู้ว่าหญ้าข้างเท้านั่นเองก็ทำเงินได้สินะ อีกอย่างไม่ใช่ทุกคนจะมีความรู้รอบด้านว่าหญ้าชนิดไหนขายได้ไม่ได้
แน่นอนไม่ใช่แค่เรื่องหญ้า แต่ทั้งแร่หรือทุกอย่างในหอคอย.. เมื่อมีกิลด์เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาสามารถมีทางเลือกได้มากกว่าหนึ่งในการอยู่แต่ละชั้นนั่นเอง
เอาง่ายๆ.. กิลด์นักผจญภัยที่กำลังจะสร้างก็คือป้ายบอกทางนั่นเอง!
“นอกจากนี้.. ถ้าเป็นแบบนี้เนี่ย จะเกิดอาชีพใหม่เหมือนในนิยายเลยนั่นก็คือการสร้างกลุ่มทีมเพราะเมื่อเลือกเป้าหมายอะไรได้เสร็จสรรพแล้วพวกเขาตะเลือกคนที่เหมาะสมที่จะเดินทางเข้าในหอคอยได้อย่างถูกต้องนั่นเอง”
“ซึ่งหน้าที่ในการจัดตั้งทีมก็จะเป็นทางกิลด์นักผจญภัยของเรา เพื่อความปลอดภัยก็มีการลงนามต่างๆ ให้ด้วย”
“และถ้าทุกอย่างเป็นตามที่ฉันพูดไป.. ไอ้พวกกลุ่มแก๊งมาเฟียที่รวมตัวกันพาขึ้นชั้นสูงกว่าแบบผิดกฎหมายก็จะทยอยหายไปเองแบบธรรมชาตินั่นเอง”
“และต่อให้ฝืนเปิด เพราะยังไงก็คงมีคนไต่หอคอยแบบปกติ แต่ร้านรับซื้อของจากหอคอยเองก็คงทยอยหายไป เพราะยังไงพวกที่รับซื้อของพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มีเงินกันอยู่แล้ว”
“ไม่นานหลังจากร้านปิดไปพวกเขาคงจะเปิดกิจการใหม่ในชื่อกิลด์นักผจญภัยเช่นเดียวกันนั่นเอง.. เพราะการเปิดกิลด์แบบนี้มันก็เหมือนบอกชัดเจนว่า ‘ช่วงนี้ตัวเองต้องการอะไร’ น่ะ”
“อีกอย่างกิลด์นักผจญภัยนี้องค์กรบอร์เดอร์ไลน์ก็เป็นคนสนับสนุนมันขึ้นมาเองด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ.. แม้คนสร้างกิลด์จะคนละคนแต่ก็คงแชร์ทุกอย่างร่วมกันผ่านตัวกลางอย่างองค์กรบอร์เดอร์ไลน์ที่เป็นผู้สนับสนุนนั่นเอง”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ทุกอย่างก็เกี่ยวข้องกันแม้แต่คนธรรมดาแบบมิวยังเข้าใจได้.. นี่มันวิธีบดขยี้พวกคนจากเบื้องหลังแบบเงียบๆ ในระยะยาว
สำหรับมิวที่ได้ฟังแผนการนี้ของพวกคนใหญ่คนโตก็ยอมรับว่า.. เก่งกันจริงๆ