บทที่ 14 – สิ่งมีชีวิต 4 มิติ
เมื่อได้ยินศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้มิวถึงกับขมวดคิ้วมองไปที่คาเอะพร้อมกับพูดซ้ำ
“ควีน.. เหรอ มันคืออะไร?”
แน่นอนว่าคำถามของมิวนั้นเป็นเรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นอยู่แล้วเพราะสิ่งนี้ไม่มีเขียนในอินเทอร์เน็ต
อันที่จริงในหมู่องค์กรบอร์เดอร์ไลน์ยังมีคนรู้จักอยู่จำนวนน้อยนิดเท่านั้นด้วยซ้ำเพราะในความจริงแล้ว ‘ผู้สืบทอดราชบัลลังก์’ ยังเป็นเหมือนแค่ปุยเมฆที่ไม่สามารถแตะต้องได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘คิง’ หรือ ‘ควีน’ เลย… อย่างไรก็ตามข่าลือที่ว่านี้ก็เผยแพร่ไปในกลุ่มคนน้อยๆ ขององค์กรบอร์เดอร์ไลน์ว่าอาจจะมีอยู่จริง
โดยทั่วไปแล้วความเข้ากันได้ของแร่ จะแบ่งออกเป็นระดับที่ 1 ถึง 9 โดยจะแบ่งเหมือนชนชั้นทุกๆ สามระดับ
โดยจะแบ่งเป็น 1-3 เป็นความเข้ากันได้ระดับธรรมดา.. คนธรรมดาจะอยู่ในระดับนี้และต้องฝึกให้ขึ้นไประดับ 4-6 ถึงเรียกว่า
ความเข้ากันได้ระดับพิเศษ ‘ถึงจะทำให้ร่างกายสามารถรองรับอารยธรรม’ ได้นั่นเอง ยิ่งค่านี้มีเยอะจะยิ่งทำให้ความสามารถในการใช้อารยธรรมได้มากขึ้น
อ้ะ นอกจากนี้ยังมีความเข้ากันได้ที่ฝึก กับความเข้ากันได้ที่มีแต่กำเนิดด้วยนะ ความเข้ากันได้ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดในระดับ 4-6 จะแข็งแกร่งกว่าคนที่มีความเข้ากันได้ตั้งแต่ 1-3 ที่ฝึกขึ้นมา 4-6 นั่นเอง
อารยธรรมแต่ละแห่งจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ค่าความจริง’ อยู่.. โดยเจ้าค่านี้จะใช้วัดจากบรรทัดฐานของโลกปัจจุบันเป็น ‘ความจริงหลัก’
ส่วนโลกภายในประตูบอร์เดอร์จะเป็นโลกที่เราต้องไปเอาอารยธรรมของพวกเขามาใช้ ซึ่งโดยจะอ้างอิงจากความจริงหลักว่า ‘อารยธรรม’ ในโลกนี้มันห่างไกลจากความจริงขนาดไหน
นั่นสินะ ถ้าให้ยกตัวอย่างแบบเห็นภาพเลยก็สมมุติว่าโลกปัจจุบันเราเป็นโลกที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้ามาก แต่โลกที่ต้องการใช้อารยธรรมจากที่แห่งนั้น
‘ยิ่งโลกใบนั้นเป็นโลกอนาคตมากขนาดไหน’ ก็จะยิ่งทำให้ต้องการ ‘ค่าความเข้ากันได้กับแร่พิเศษ’ ที่สูงมากขึ้นนั่นเอง
สรุปคือยิ่งวิทยาการไปไกลกว่าปัจจุบันมากเท่าไหร่ยิ่งต้องการค่าความเข้ากันได้สูง แน่นอนว่ามีในทางกลับกันอยากเวทมนตร์ด้วย
และที่กล่าวไปก็เป็นแค่คำยกตัวอย่าง ในความเป็นจริงแล้วพลังที่ต้องการหยิบมาใช้ในแต่ละโลกล้วนมีระดับเช่นกัน
และมันก็สามารถนำมาคำนวณหักลบออกไปได้แม้มันจะต่างจากโลกปัจจุบันมากๆ แต่ทว่าพลังมันไม่ได้แข็งแกร่งเกินบรรทัดฐานปัจจุบันขนาดนั้น
แบบเดียวกับคาเอะแม้เธอจะมีเนตรสุดแฟนตาซีอยู่กับตัว ซึ่งดูแล้วมันห่างไกลจากความจริงหลักเรามาก แต่ความเข้ากันได้ของแร่มีแค่ 4 เท่านั้น
แน่นอนว่าเป็นความเข้ากันได้ที่มีมาแต่กำเนิดนั่นแหละ
ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเนตรของเธอมันไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้นนั่นเอง
กลับมาเรื่องหลักก็คือความเข้ากันได้ของแร่ในระดับที่สูงที่สุดตอนนี้ซึ่ง ไม่สามารถใช้เกณฑ์ก่อนหน้านี้วัดได้
หรือจะให้พูดแบบง่ายกว่านั้นก็คือ ‘ไม่สามารถฝึกเพื่อไปถึงได้’ นั่นคือความเข้ากันได้ระดับเหนือธรรมชาติ 7-9
ระดับ 7 สามารถใช้อารยธรรมที่ทรงพลังมากพอจะบิดเบือนความจริงหลักได้เลย
ระดับ 8 ว่ากันว่าไม่มีอารยธรรมไหนที่พวกเขาไม่สามารถใช้ได้ พวกเขาคือคนที่เหมาะสมกับทุกๆ อารยธรรม
ระดับ 9 สามารถใช้อารยธรรมเพียงหนึ่งเดียวที่พิเศษที่สุดได้ด้วย ซึ่งปกติในโลกไม่สามารถมีใครทำได้
ระดับเหล่านี้คือระดับของพวกองค์หญิงหรือองค์ชายโดยเฉลี่ยนั่นเอง.. และหากใช้ตรรกะที่ว่าจะแบ่งชนชั้นทุกๆ 3 ระดับ หมายความว่า 9 ควรจะเป็นระดับที่สูงที่สุด
“แต่ถ้าหากไม่ใช่ล่ะ?”
นั่นคือคำพูดที่คาเอะพูดกับมิวหลังจากนั่งคุยกันเรื่องความสำคัญเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของแร่ซึ่งไม่มีอธิบายในอินเทอร์เน็ต
“หรือก็คือ…”
“ใช่ ถ้ายังมีระดับที่สูงกว่า 9 ซึ่งเป็นชนชั้นสุดท้ายและมีเพียงหนึ่งเดียวอย่างระดับที่ 10 พี่คิดว่า.. ระดับนี้มันจะรองรับอารยธรรมอะไรได้ล่ะ?”
“นั่นก็คือ..?”
“พี่รู้จัก ‘มิติ’ หรือเปล่า”
“หือ.. ก็พอรู้จักอยู่ทำไมเหรอ?”
มิติคือคำนิยามที่ไว้ใช้เรียก ‘โครงสร้าง’ ของวัตถุเช่น มิติที่สามหมายถึงรูปทรง ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนถูกจำแนกด้วยรูปทรงสามมิติ
แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่นั้น มิติที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้มีทั้งสิ้นสี่มิติ
มิติที่ 0 คือจุด, มิติที่ 1 คือเส้น, มิติที่ 2 คือความกว้าง, มิติที่ 3 คือความยาวหรือรูปทรงที่พึ่งกล่าวไป มิติที่ 4 ก็คือกาลเวลา
และจักรวาลก็รวมกันเป็นจักรวาล 4 มิติที่เราอยู่ในตอนนี้ หรือถ้าในเชิงคณิตศาสตร์ก็คงเป็นการใช้เพื่อระบุพื้นที่เชิงพิกัด
ความรู้พวกนี้เป็นความรู้พื้นฐานฟิสิกส์สมัยมัธยมของเธอ เป็นเรื่องธรรมดาจะจำได้
“งั้นก็อย่างที่พี่รู้ พี่รู้ใช่ไหมว่าจักรวาลของเราคือจักรวาลสี่มิติ ส่วนพวกเรานั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิต 3+1 มิติเท่านั้น แม้จะรับรู้ถึงมิติของเวลาได้ แต่กลับไม่สามารถบิดเบือนหรือแก้ไขอะไรมันได้”
มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า
“ถ้าสมมุติในการ์ตูนคือโลก 2 มิติ.. แล้วเรากำลังอยู่ในโลก 4 มิติก็จริงแต่ทว่าตัวตนของเราเป็นแค่ 3+1 .. ถ้าอย่างนั้นแล้วพี่สงสัยไหมว่า…”
“มันจะมีสิ่งมีชีวิต 4 มิติ.. ที่อยู่ด้านนอกนั้นอีกที หรือจะต้องให้พูดแบบนี้ดีล่ะพี่… พี่ว่าโลกสี่มิติที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแบบเราแต่เป็นสิ่งมีชีวิต 4 มิติจริงๆ มันมีอยู่จริงหรือไม่?!”
เมื่ออีกฝ่ายพูดคำนี้มิวถึงกับเลิกคิ้ว ถ้าหากจินตนาการว่าการ์ตูนคือโลกสองมิติที่เราสามารถจัดการทุกอย่างในโลกนั้นได้
ถ้างั้นแล้วไม่ใช่ว่าพวกสี่มิติถ้ามีอยู่จริง ก็จะสามารถทำแบบเดียวกับเราได้เหมือนที่เราทำกับการ์ตูนได้หรอกเหรอ?
แบบนั้นมันก็หมายความว่า.. ทุกคนบนโลกนี้ต่างถูกใครสักคนมองอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ ถ้างั้น…
“ที่เธอจะบอกคืออะไรกันแน่?”
มิวขมวดคิ้วถาม
“อันที่จริงนะพี่.. นี่เป็นความลับที่มีเพียงหยิบมือในองค์กรบอร์เดอร์ไลน์ที่รู้.. ที่ฉันรู้มาก็เพราะบังเอิญไปใช้พลังคุยกับคนรู้จักคนหนึ่ง ซึ่งทำให้รู้มาได้..”
“เหมือนว่า ‘ประตูบอร์เดอร์’ จะมีคุณลักษณะพิเศษหนึ่งที่ไม่เหมือนบางอย่างที่อยู่ในโลกของเรา”
“นั่นก็คือ… ถ้าหากพี่ลองนึกย้อนดีๆ โดยไม่ตั้งคำถามว่ามันคือ ‘ประตูบอร์เดอร์’ พี่จะรู้สึกเหมือนกับ ….”
มิวเองก็นึกตามคำพูดที่อีกฝ่ายพูดทันที และวินาทีเดียวกันนั้นประตูบอร์เดอร์ก็ยืดออกไปในความทรงจำของมิวอย่างน่าประหลาด
วินาทีที่มิวไม่ตั้งคำถามว่าประตูบอร์เดอร์คืออะไร ประตูบอร์เดอร์มาจากไหนประตูบอร์เดอร์โผล่ขึ้นแล้วทำลายมนุษย์ไปมากเพียงใด
คำถามเหล่านั้นที่มิวลบมันออกไปจากจิตใต้สำนึกของเธอ วินาทีเดียวประตูบอร์เดอร์มัน… มันราวกับว่า..
มันอยู่มาตลอด อยู่มาตั้งแต่แรก อยู่มาเสมอ และตัวมันก็คือของบางอย่างที่อยู่เหนือแนวคิดของ ‘เวลา’ ราวกับว่าตัวมันสามารถมองข้าม ‘โลกคู่ขนาน’ ทั้งหมดได้
สร้างสะพานเชื่อมต่อมาตามใจตนเอง.. ราวกับว่ามันคือของแปลกปลอมที่ไม่ควรอยู่ในโลกใบนี้ ความคิดของมิวราวกับถูกฉุดลงไปในห้วงแห่งประวัติศาสตร์
ในยุคสมัยต่างๆ ต่างมีบอร์เดอร์ตั้งอยู่ตรงนั้น. แม้แต่หมื่นล้านปีก่อน! เอริเนียที่ยืนถือดาบชี้มาที่เธอ ด้านหลังของเอริเนียนั้นยังมี..
ประตูบอร์เดอร์บานหนึ่งตั้งอยู่ตรงนั้น!
ราวกับว่ามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว!ไม่ใช่เพราะถูกเปลี่ยนหรือบิดเบือนแต่มันควรจะเป็นแบบนี้แต่แรกแล้ว
“พี่! ประตูบอร์เดอร์มันปรากฏขึ้นเมื่อปี 2015!”
ทันทีที่คาเอะพูดแบบนั้น ความจริงทั้งหมดของมิวที่พึ่งรับรู้ก็แ ตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ พร้อมดึงเธอกลับมาแทบจะทันที
“…นั่นมัน..”
มิวแสดงสีหน้าตกใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่คนที่ตกใจกว่าเหมือนจะเป็นคาเอะ เธอบ่นในใจว่า
“แค่ครั้งเดียวก็รับรู้ถึงความผิดปกติจากมิติที่ ‘4’ ที่แท้จริงได้ นี่พี่เป็นปีศาจหรือไง”
เดิมทีแล้วการบิดเบือนการรับรู้ที่มิวพึ่งสัมผัสไปนั้นมันมีน้อยคนที่จะสัมผัสได้ อย่างน้อยคาเอะก็ไม่เคยเห็นคนที่สัมผัสมันได้มาก่อน
แม้แต่คนที่เธอไปปล้นความลับมายังไม่มีความสามารถนี้..
เพราะหากสิ่งมีชีวิตสี่มิติมีอยู่จริง
และหากเป็นเช่นนั้นประตูบอร์เดอร์คงมาจากคนพวกนั้น
นั่นหมายความว่า สิ่งมีชีวิตคล้าย ‘พระเจ้า’ ต้องการให้พวกเธอรับรู้ว่าประตูนั้นปรากฏขึ้นในปี ‘2015’
ทั้งที่ในความจริงแล้วมันสามารถเป็นได้มากกว่านั้นหรืออะไรยังไงก็ตาม.. แต่การที่มีคนฝืนการรับรู้ที่ตัวตนที่เหมือนพระเจ้ากำหนดมาให้ต้องรู้ยังไงได้นี่มัน…
ออกจะแฟนตาซียิ่งกว่าโลกนี้เกินไปหน่อย