บทที่ 50 – วังวนลวงหลอก
pภายใต้ความหวาดกลัวของหน่วยอีกาดำ ทุกคนทุกทีมที่อยู่ในชั้นสามต่างหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง
แน่นอนว่ามันสร้างความลำบากให้กับมิวไม่น้อยเพราะถ้าจะต้องไล่อีกคน ก็จะทำให้อีกคนออกนอกระยะการรับรู้ของมิวได้
เพราะทุกคนก็ไม่ใช่ว่าจะเคลื่อนที่ช้า หน่วยอีกาดำนี้มีเรื่องความเร็วที่โดดเด่นเลยกว่าได้ มิวเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถอย่างการโทรจิต
เพราะนับตั้งแต่ที่มิวจัดการคนชุดดำไปได้คนหนึ่ง ชายชุดดำอื่นๆ ก็เหมือนจะกระจัดกระจายไปทั่ว ทำให้มิวรับรู้ว่าพวกมันน่าจะเป็นพวกเดียวได้
และยังสามารถติดต่อกันผ่านโทรจิตได้ด้วย.. ดังนั้นมันจึงกลายเป็นงานที่ค่อนข้างลำบากในการตามหาคนในระยะหนึ่งร้อยกิโลกว่าร้อยคน
แน่นอนว่ามิวได้ใช้อัญเชิญอัตลักษณ์อย่างผู้กล้าเอริเนียออกมาเพื่อให้เธอช่วยตามหา และสัตว์ประหลาดอื่นๆ ก็จริง
แต่ทว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นไม่ได้มีทักษะในการค้นหาคนเหมือนเธอ อย่างมากพอตามได้คนหนึ่งแล้วก็ต้องได้รับคำสั่งจากมิว
โชคยังดีที่เอริเนียพอจะตามได้มากกว่าหนึ่งคนอยู่.. แม้มิวจะไม่อยากใช้อัตลักษณ์อัญเชิญเท่าไหร่
เพราะว่าอัตลักษณ์ที่อัญเชิญออกมาส่วนใหญ่มันอาจจะฆ่าคนโดยไม่จำเป็นได้ แต่ตอนนี้มิวไม่มีทางเลือก
และไม่รู้ว่าเพราะเธอได้รับอิทธิพลจากการกลายเป็นมังกรมาได้พักใหญ่ๆ แล้วหรือเปล่า เธอเริ่มคิดขึ้นมาว่า
พวกคนแบบนี้ตายไปจะมีปัญหาอะไรมากล่ะ…?การล่าของมิวใช้เวลาไปสิบกว่าชั่วโมงเลยก็ว่าได้ และคนที่ถูกมิวจับมาได้ก็มีมากกว่าสิบคน
ส่วนที่เหลืออีกร้อยกว่าคนก็ตายหมด.. แม้อาจจะบอกว่าใช้เวลาค่อนข้างนานก็จริง แต่เพราะการล่าของมิวนั้นเริ่มขึ้นจากภูเขากางซากปรักหักพัง
แต่ทว่าตอนนี้มิวมาทะลุอีกฝั่งของซากปรักหักพังเลย.. เอาเข้าจริงมันน่าจะเกินหนึ่งพันกิโลเมตรเห็นจะได้
การล่าตลอดสิบกว่าชั่วโมงนี้สร้างความหวาดกลัวให้คนจากหน่วยอีกาดำอย่างแท้จริง.. คนที่ตายไปส่วนใหญ่ตายเพราะผู้กล้าเอริเนียกับอัตลักษณ์อัญเชิญอื่นที่มิวเรียกออกมา
ส่วนคนที่มิวตามเจอได้ มิวเลือกที่จะไม่ฆ่าแต่ก็ยังจับมันไปกับตัวเองพร้อมคอยรีดเค้นข้อมูล
แน่นอนว่าสำหรับเทรต้าที่ตามมิวอยู่ข้างๆ เธอก็ประหลาดใจกับมิวมาก เพราะเธอคนนี้ไม่ได้ฆ่าคนเลยสักครั้งเดียว
ซึ่งแน่นอนว่าเทรต้าเองก็เคยเจอคนมาเยอะ มนุษย์สำหรับเธอแล้วก็เหมือนสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งดีและชั่วได้ในตัวคนเดียวกัน
แน่นอนว่าเธอที่อยู่กับมิวย่อมรู้ว่าคนพวกนี้คือคนชั่ว แต่มิวยังเลือกที่จะไม่ฆ่า เอาเข้าจริงเธอถึงแปลกใจด้วยซ้ำ ในโลกที่เป็นแบบนี้ยังมีคนแบบนี้เหลืออีกเหรอ
แน่นอนว่าเพราะอยู่ข้างๆ มิว.. เทรต้าเองก็รับรู้เหมือนกันว่ามิวนั้นร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ เพราะการหายตัวไปของเพื่อนตัวน้อยเธอจะเกินครึ่งวันแล้ว
ซึ่งมันเป็นเวลาที่นานเกินไปแล้วจริงๆ เทรต้าที่เห็นความทุ่มเทของมิวเองก็ช่วยอย่างเต็มที่ แม้เธอจะไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่เหมือนกันก็ตาม
อันที่จริง.. ที่มิวไม่ร้อนรนจนกลายเป็นหงุดหงิดก็เพราะมีเทรต้าชวนคุยระหว่างตามหาเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าที่ชวนคุยหมายถึงช่วยคิดว่าศัตรูจะทำยังไง และเดาว่าจะทำแบบไหนอยู่.. เอาเข้าจริงตอนนี้มันเหมือนเป็นสงครามประสาทไปแล้วมากกว่า
มิวในตอนนี้แทบจะรู้หลายที่ในซากปรักหักพังนี้… แต่ก็ยังหาอีกฝ่ายไม่เจอนั่นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเองก็อาจจะเดาการเคลื่อนไหวของมิวได้
“มีความเป็นไปได้สูงเลยล่ะว่าอีกฝ่ายจะรู้ความสามารถของเธอแล้วก็เตรียมแผนรับมือเอาไว้ด้วย”
เทรต้าเสนอความคิดเห็นให้กับมิวระหว่างเดินทางหาชายชุดดำคนอื่นต่ออยู่ แน่นอนว่าข้อสันนิษฐานนี้พวกเธอตั้งไว้แต่แรกแล้ว
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังตามหาเจ้าคนที่ลักพาตัวเอริเนียไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้ความสามารถของมิว
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น.. มันคงตามฉันกับเอริเนียตั้งนานแล้วล่ะ”
มิวตอบก่อนจะขมวดคิ้วคิดในใจว่า
“พวกมันเล็งเอริเนียไว้แต่แรก และตามดูฉันมาตั้งแต่แรก.. ถ้าเป็นแบบนี้แสดงว่าพวกมันน่าจะเป็นพวกคนที่คาเอะกลัว.. พวกองค์กรบอร์เดอร์ไลน์”
“ถ้างั้นก็หมายความว่าพวกองค์กรนั้นรู้ตัวแล้วเหรอว่ามีคนแบบเอริเนียอยู่ คนที่สามารถใช้อารยธรรมจากมิติที่สูงกว่าได้น่ะ”
“แทนที่จะจ้างคนมาตามจับแบบนี้.. ทำไมถึงไม่ใช้ฐานะบีบเอาจากคาเอะเลยล่ะ…”
นี่แหละคือเรื่องที่มิวสงสัย แต่ว่ามันไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้เพราะมิวเป็นห่วงเอริเนียมากกว่า เธอกำหมัดแน่นขึ้นด้วยความหงุดหงิดตัวเอง
หากเธอไม่ทิ้งเอริเนียไว้แต่แรกเรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น.. ไม่สิ ถ้าหากเธอระมัดระวังกว่านี้ละก็..
มิวส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ
“นี่ไม่ใช่เวลามาจิตตก สิ่งที่ต้องคิดในตอนนี้คือต้องทำยังไงดีต่างหาก”
มิวมองไปที่เทรต้าที่ตามเธออยู่ข้างๆ ยังดีที่มิวสามารถรักษาความสัมพันธ์กับเทรต้าไว้ได้ เควสที่เข้าได้รับมาจึงไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้
หากให้มิวคิดค่าความสนิทสนมละก็.. มิวคิดว่าตัวเองสนิทกับเทรต้าขึ้นพอสมควรเลย ถึงจะไม่ได้สนิทขนาดนั้นก็เถอะนะ
การตามหาเอริเนียยังคงดำเนินต่อไป—
………..
…….
แสงสว่างตรงหน้าของเธอมันไม่ใช่แสงสีขาว.. แต่เป็นแสงสีแดงฉานทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าเธอมันคือสีแดงของไฟที่ร้อนแรงยิ่งกว่าอะไร
ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่การพังทลายของทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งก่อสร้าง สิ่งมีชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลง
มันราวกับเป็นภาพจากห้วงนรกที่มีแต่ความเจ็บปวด เสียงกรีดร้องเสียงแห่งความสิ้นหวัง เธอที่เห็นภาพทุกอย่างนี้กลับรู้สึกอะไรไม่ได้อีกแล้ว
สายตาของเธอจ้องมองไปบนท้องฟ้าที่ควรจะมีท้องฟ้าสีคราม.. ในตอนนี้กลับมีท้องฟ้าเป็นสีแดง.. เมฆเป็นสีเงิน
หยาดฝนที่ตกลงมาไม่ใช่น้ำฝน.. แต่เป็นลูกไฟจำนวนมาก
เธอขยับไม่ได้ หลบไม่ได้.. เพราะเธอถูกบางอย่างทับขาดสองข้างอยู่ เธอไม่สามารถรู้สึกถึงขาสองข้างตัวเองได้ด้วยซ้ำ
แขนเช่นกัน ถ้าเธอมองเห็นห่างออกไปอีกสักประมาณสิบเมตรจะเห็นแขนของเธอที่ขาดวางอยู่ตรงนั้น
เธอยังเป็นแค่เด็กอายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ เธอได้แต่เหม่อมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่ไร้ซึ่งแสง ราวกับวันแห่งจุดจบได้มาเยือนเธอ
นี่คือความตาย…
เด็กน้อยอายุ 9 ปี.. ได้สัมผัสถึงขอบเหวแห่งความตายและได้มองไปยังมันเป็นครั้งแรก ดวงตาของเธอค่อยๆ มอดดับลง
แสงสว่างแห่งชีวิตค่อยๆ จางหายไปทว่า เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างโสตประสาทของเธอ
“ขอโทษนะ…..”
ดวงตาของเธอเบิกขึ้นอย่างว่องไว ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอคือในห้องที่มืดมนและไม่ค่อยมีคน แต่เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็ยังมีโครงสร้างของบ้านเรือนอยู่ไม่น้อย
เอาเข้าจริงที่นี่ไม่เหมือนในชั้นสามด้วยซ้ำ.. เอริเนียตื่นขึ้นมาในสภาพที่ถูกมัดติดไว้กับเก้าอี้ในสถานที่แปลกประหลาด
ปากของงเธอถูกรัดไว้ไม่ให้ส่งเสียง.. เธอเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ว่าตัวเองถูกลักพาตัวมา แต่แน่นอนว่าเอริเนียไม่ได้โหวกเหวกโวยวายอย่างไร
กลับกันเธอกลับได้ยินเสียงโวยวายมาจากด้านนอก
“ห้ะ ไอ้บ้านันโจมันไม่คิดจะช่วยฉันจริงๆ เหรอห้ะ แกไม่รู้เหรอวะว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันแย่ขนาดไหน ลูกน้องหน่วยฉันถูกฆ่าตายจนหมดแล้วนะเว้ย”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ คุณอาโก้.. คือว่า…”
“บัดซบเอ้ย.. ต่อให้เป็นที่นี่อีกไม่นานเจ้าปีศาจนั่นก็ตามหาเจอแน่.. พวกเราทุกคนจะตายกันหมดนะเว้ย”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ คือว่าคุณนันโจในตอนนี้ก็มีปัญหาเหมือนกันนิดหน่อยน่ะครับ”
“ปัญหาอะไรวะ ตอนนี้ฉันได้ตัวของสำคัญของบอสมาแล้วนะ รีบให้ฉันใช้อารยธรรมส่งของเดลิเวอรี่ของตลาดมืดได้แล้วเว้ย ตอนนี้หนีออกไปเมืองลอยน้ำก็ไม่ปลอดภัยแล้ว ต้องส่งไปให้บอสโดยด่วนเลย”
อาจจะเพราะลูกน้องของเขาถูกฆ่าตายจนเกือบหมด ความหวาดกลัวที่มีต่อมิวจึงพุ่งทะลุหลอก เขาเองก็เกือบไม่รอด
ยังดีที่ ‘ตลาดมืด’ แห่งนี้คือสถานที่ที่สร้างจากอารยธรรมพิเศษของนันโจ.. ซึ่งเป็นอารยธรรมที่มีชื่อว่า ‘วังวนลวงหลอก’
เป็นอารยธรรมที่สามารถสร้างอาณาเขตหลอกศัตรูได้ ซึ่งว่ากันว่ามันเป็นอาณาเขตที่ไม่มีทางหา ‘เจอ’ โดยเด็ดขาด
ตราบใดที่ไม่ได้รับอนุญาต
ว่ากันบางระดับ อารยธรรมนี้เป็นอัตลักษณ์รูปแบบหนึ่งและมันทรงพลังยิ่งกว่าชินคิโรของมิวด้วยซ้ำ ในกรณีชินคิโรของมิวยังมีจุดอ่อนหากไม่ใช่สถานที่ที่มีแต่ภาพแบบเดียวซ้ำๆ กัน
หรือแบบถ้ามองอยู่ตลอดก็จะหลบชินคิโรได้.. ทว่าวังวนลวงหลอกนี้ต่างออกไป เพราะมันไม่มีจุดอ่อนแบบนั้นเลย
ถ้าจะพูดถึงจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวละก็.. ก็คงจะเป็นการสร้างมันใช้พลังมหาศาล สถานที่แค่หนึ่งกิโลก็ใช้เวลาเกินหนึ่งเดือนในการสร้าง
พูดง่ายๆ ต้องใช้อัตลักษณ์ติดต่อกันเป็นเวลาเดือนกว่านั่นเอง…
และใช่..
ที่นี่คือที่ตั้งตลาดมืดของผู้ใช้อารยธรรมด้านชั่วร้าย
ผู้คนที่รู้จักมันต่างเรียกมันว่า
‘เมืองแห่งวังวน’
มีขนาดกว้างราวสิบกิโลเลยก็ว่าได้ หนึ่งในตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก