บทที่ 98 – กิ่งก้านแห่งความตาย
หลังจากมิวกับเรย์น่ากลับขึ้นมายังเกาะลอยฟ้าหรือโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์.. ซึ่งใช้เวลาไม่นานเพราะไม่ได้แวะว้ายแวะขวาเหมือนตอนแรก
ทำให้เรย์น่าสามารถกลับไปได้ทันเวลาแบบฉิวเฉียด แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะไม่โดนดุแต่อย่างไร
เพราะสเตลหรือสเตทีลน่านั้นก่อนยืนรออยู่ด้านหน้าห้องของเรย์น่า เหมือนกับรู้ว่าเรย์น่าแอบออกไปเล่นบ่อยๆ
มิวเองก็ได้พบกับคุณสเตลเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่มิวจินตนาการไว้ คุณสเตลมีท่าทางเหมือนนักบวชระดับสูงที่สวมชุดสีขาว
เอาเข้าจริงบรรยากาศของเธอเหมือนกับผู้เผยแผ่ศาสนาอะไรทำนองนั้นเลย ถึงเรย์น่าจะบอกว่าน่ากลัว
แต่เธอก็ไม่ได้ด่าแบบใช้อารมณ์แต่อย่างใด เธอแค่ตักเตือนและพูดสอนกับเรย์น่าอย่างมีมารยาท ซึ่งคำพูดของเธอแม้จะไม่ได้มีคำหยาบ
แต่ก็เป็นคำพูดที่ค่อนข้างมีน้ำหนักเลยทำให้เรย์น่ารู้สึกเจ็บแปล๊บอย่างง่ายดาย หลังจากบ่นให้กับเรย์น่าจนเธอหูชาแล้วก็ให้เธอไปทำกิจยามเย็นตามเดิม
เรย์น่าที่ร่าเริงก็หงอยลงทันที ถึงแม้พออยู่บนนี้เธอจะสำรวมกว่าตอนอยู่ด้านล่าง แต่พอเห็นเธอหงอยก็รู้ชัดเจนว่าเจ้าตัวรู้สึกผิดขนาดไหน
คำพูดของคุณสเตทีลน่านั้นค่อนข้างมีน้ำหนัก.. แต่แน่นอนว่ามิวอาจจะไม่รู้ แต่เรย์น่าถูกบ่นแบบนี้อยู่บ่อยครั้งและรู้สึกผิดอยู่บ่อยครั้ง
แต่ก็ยังแอบไปเที่ยวเล่นอยู่ดีน่ะนะ
“เฮ้อ.. เด็กคนนี้นี่”
สเตทีลน่าถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับเดินมาหามิวที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกับกล่าวขอโทษเบาๆ ว่า
“ต้องขอโทษแทนเด็กคนนี้ด้วยนะคะ ท่านมิว”
“ท่านคงถูกพาไปนั่น พาไปนี่จนเหนื่อยเลยล่ะสิ ข้าจะพาท่านกลับไปที่ห้องพักเอง”
เธอกล่าวด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย พร้อมกับเดินนำทางมิวด้วยกิริยาที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ มิวเองที่ถูกปฏิบัติแบบนี้ใส่ก็ไม่รู้จะวางตัวยังไงเหมือนกัน
ยังไงซะเธอก็ไม่มีประสบการณ์แบบนี้ อย่างมากก็แค่โดนคนนั้นคนนี้เรียก ‘ท่าน’ บ้าง.. ‘พี่’ บ้าง ทั้งที่เธอก็ไม่ได้อายุเยอะขนาดนั้น
แต่การวางตัวของสเตทีลน่านั้นค่อนข้างให้อารมณ์แบบเหมือนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งราวกับอยู่ต่อหน้าราชินีอะไรแบบนั้นเลย
“เอ่อ…”
“เด็กคนนั้นเธอไม่มีเพื่อนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วน่ะค่ะ นับตั้งแต่ตอนนั้นมาเจ้าตัวก็มักจะอยู่คนเดียวตลอดเวลา”
“ตอนนั้น?”
“ค่ะ.. เหตุการณ์ที่ท่านมิวมาช่วยเมืองพวกเราเอาไว้น่ะค่ะ เด็กคนนั้นไม่มีทั้งเพื่อนหรือคนที่สามารถคุยด้วยได้ แต่พอข้าลองแนะนำให้ไปเล่นด้านล่างดูเจ้าตัวก็เหมือนจะติดใจด้านล่างจนแอบออกไปเล่นแทบจะทุกวัน”
“..ไปเล่นทุกวันเหรอ”
มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็อดที่จะคิ้วกระตุกไม่ได้ อันที่จริงเธอก็พอจะเดาได้จากการพาทัวร์ที่เหมือนรู้ทางของเรย์น่าอยู่แล้วแหละ
มิวได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมาโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม ทางด้านสเตทีลน่าจึงกล่าวต่อว่า
“อาจจะเป็นเพราะท่านคือเป้าหมายของเด็กคนนั้น พอท่านมาที่แห่งนี้อีกครั้งเลยทำให้เด็กคนนั้นร่าเริงเป็นพิเศษ ต้องขอโทษและก็ขอขอบคุณท่านจริงๆ นะคะ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็หยุดเดิมพร้อมกับก้มหัวขอบคุณและขอโทษมิวอย่างมีมารยาท มิวที่โดนก้มหัวให้ก็รีบพูดขึ้น
“เอ่อ.. ไม่ต้องก้มหัวขนาดนั้นหรอก ฉันเองก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือไม่ชอบอะไรอยู่แล้ว”
“นั่นสินะคะ”
เธอค่อยๆ หันกลับไปเดินต่อ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและรู้สึกผิด
“แต่ไม่นับเรื่องของเรย์น่า ก็ยังมีเรื่องที่ทางโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เราปฏิบัติต่อท่านอีก การที่ท่านตอบรับคำขอของพวกเรามาเพื่อสอนวิชาให้กับเรย์น่า…”
“อะ…อืม”
มิวตอบออกไปพร้อมเหงื่อไหล เป็นคนประเภทที่มิวรับมือด้วยยากที่สุดแล้ว มิวรู้เลยว่าจะตอบกลับยังไง
เหมือนอยู่กันคนละโลกแต่ต้องมาคุยกันนั่นแหละ มิวได้แต่ตอบกลับด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ไปจนแม้แต่มิวยังรู้สึกแย่
ส่วนทางฝั่งนั้นก็ไม่สามารถสัมผัสถึงความลำบากใจของมิวได้ แต่ต่อให้สัมผัสได้ทางนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
เพราะสเตทีลน่าเธอเป็นคนแบบนี้แต่แรกอยู่แล้ว..
“อย่างที่ท่านรู้ว่าเรย์น่านั้นเป็นเพียงคนเดียวที่จัดการกับ ‘กิ่งก้านแห่งความตาย’ ได้.. นี่ไม่ใช่ทำเพียงเพราะโบสถ์เราอย่างเดียวแต่รวมถึงโลกนี้ด้วย”
“ดังนั้น..”
เธอหยุดเดินอีกรอบพร้อมกับหันหน้ามาก้มหัวให้กับมิว
“ช่วย.. สอนทุกอย่างให้กับเด็กคนนั้นโดยไม่ตั้งอคติได้หรือเปล่าคะ มันอาจจะดูเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวจากคนที่เคยประกาศไล่ล่าท่าน แต่ว่านี่เป็นทางเดียว..”
มิวรีบยื่นมือไปจับไหล่อีกฝ่ายไว้แทบจะทันทีก่อนจะตอบว่า
“เข้าใจแล้วๆ ก่อนอื่นเลิกก้มหัวให้ฉันก่อนจะได้ไหม”
มิวอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ไอ้คนที่มีบรรยากาศเหมือนราชินีของประเทศไหนสักประเทศมาก้มหัวให้แบบนี้
จิตใจของพนักงานเงินเดือนแบบเธอไม่สามารถทนรับแรงกดดันแบบนั้นไหว เธอแทบอยากจะกราบขอขมาช่วยทำตัวเป็นกันเองเหมือนยัยองค์หญิงเทรต้าที
“แล้วก็ ‘กิ่งก้านแห่งความตาย’ ที่ว่า…”
มิวหยั่งเชิงดู.. ท่าทางจากคำพูดของสเตทีลน่าดูจะไม่รู้เรื่องที่ว่ามิวความทรงจำเสื่อมจากเรย์น่า และสิ่งที่เธอพูดมาก็มีบางคำที่เรย์น่าไม่ได้อธิบายด้วย
ดังนั้นหากมิวถามออกไปตรงๆ มันอาจจะแปลกที่คนระดับมิวจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่ถ้าหากเป็นความรู้ที่คนส่วนน้อยที่รู้มิวก็อาจจะสามารถรีดข้อมูลจากคำพูดของเธอได้นั่นเอง
ดังนั้นมิวจึงใช้คำแบบนี้.. พอสเตทีลน่าฟังน้ำเสียงกำกวมของมิวนั้น เธอเหมือนจะเข้าใจว่ามิวไม่รู้จักสิ่งนี้
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร.. แต่ที่เธอแปลกใจก็คือ
“เรย์น่าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับท่านงั้นเหรอคะ?”
“หือ.. หมายถึงเรื่อง?”
“เรื่อง ‘กิ่งก้านแห่งความตาย’ น่ะ..”
“ไม่ได้บอกนะ?”
เมื่อมิวได้ยินแบบนั้นเธอก็มั่นใจแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวเธอจะถามข้อมูลก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร จึงตอบออกไปตามตรง
ทางฝั่งของสเตทีลน่ากลับรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เพราะเรื่องสำคัญขนาดนี้ เธอกำชับเรย์น่านัก เรย์น่าหนาว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ควรจะบอกเรื่องนี้กับท่านมิวก่อน.. แต่เจ้าตัวยังไม่บอกเนี่ย หมายความว่าไงกันแน่?
“งั้น.. ข้าจะเป็นคนอธิบายแทนเด็กคนนั้นเอง ‘กิ่งก้านแห่งความตาย’ เจ้าสิ่งนี้ถูกค้นพบเมื่อประมาณเดือนก่อนจากทีมสำรวจของผู้ศรัทธาทางเราค่ะ ท่านมิวจะไม่รู้จักก็ไม่แปลกเพราะมันพึ่งมีการค้นพบ”
“จากการศึกษาทางเราได้มั่นใจว่าเจ้ากิ่งก้านแห่งความตายนี้คือส่วนหนึ่งของปีศาจจิตมรณะ”
“ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ.. มันคือต้นกำเนิดของปีศาจจิตมรณะค่ะ”
เธอเริ่มอธิบายถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่แท้จริงให้กับมิวได้ฟัง ซึ่งสิ่งที่สเตทีลน่าเล่ามานั้นค่อนข้างเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก
ร้ายแรงระดับภายในอีกไม่น่าจะเกินเดือน เมืองแห่งนี้ก็จะล่มสลายเลย.. กิ่งก้านแห่งความตายนั้นก็คือกิ่งก้านปริศนาที่ค้นพบในที่ห่างออกไปจากบ้านเมือง
กิ่งก้านดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกิ่งไม้แห้งสีฟ้าแปลกประหลาด ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วย จิตสำนึก ของผู้คนจำนวนมาก
จากการวิเคราะห์และคาดเดา บางทีกิ่งก้านนี้คงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปีศาจจิตมรณะปรากฏขึ้นเพื่อดึงดูด ‘จิตสำนึก’ ของผู้คนไปกักเก็บไว้ในกิ่งก้าน
เมื่อมนุษย์นั้นไร้จิตสำนึก แต่ไม่ได้แปลว่าจิตใจจะหายไป.. เมื่อไม่มีจิตสำนึกมาบงการร่างกายจิตใจ.. มันจึงเกิดสภาวะที่ร่างกายเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ
และผลกระทบจากการกลืนกินจิตสำนึกของผู้คนจากกิ่งก้านจึงกระตุ้นให้สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตดิ้นรน
จึงกลายเป็นการคลุ้มคลั่งและวิ่งเข้าหาแสงแห่งจิตสำนึกอื่น.. เหมือนกับว่าต้องการที่จะกลืนกินจิตสำนึกเหล่านั้น
และนั่น.. ก็คือสัตว์ประหลาดที่ชื่อ ‘ปีศาจจิตมรณะ’
“และเหนือสิ่งอื่นใด.. กิ่งก้านดังกล่าวมันเหมือนกำลังเพาะเลี้ยงบางอย่างอยู่ค่ะ.. โดยใช้จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตเป็นสารอาหาร”
“และหากทางเราคาดเดาไม่ผิด สิ่งมีชีวิตที่จะออกมาจากกิ่งก้านนั้นคงเป็นสัตว์ประหลาดที่สามารถ..ควบคุมปีศาจจิตมรณะได้ค่ะ”
“เดิมทีปีศาจจิตมรณะจะจู่โจมแค่สิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึก แต่พวกเราที่นับถือเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นจะได้รับการคุ้มครองจากพลังเทพี พวกทันจึงไม่จู่โจมเข้ามา”
“แต่ถ้ามีคนควบคุมพวกมันได้… นั่นก็เป็นอีกเรื่องใช่ไหมคะ จากสัตว์ประหลาดที่มีแต่ความบ้าคลั่งก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่บุกทำลายอย่างมีเป้าหมาย”
“อีกไม่นาน.. ที่แห่งนี้จะถูกจู่โจมโดยปีศาจจิตมรณะและสิ่งมีชีวิตลึกลับที่กำลังจะเกิดขึ้นมาค่ะ”