บทที่ 139 – การสื่อสารแรกจากเทพธิดา?
ก็อย่างที่ผู้กล้าเอริเนียได้คาดการณ์เอาไว้ เพราะข้อมูลในนั้นผู้กล้าเอริเนียได้เอาไปให้ฝั่งองค์กรหมดแล้ว
มิวจึงเหมือนได้เข้าร่วมการประชุมไปแล้วหนึ่งครั้งนั่นเอง ก็นะเพราะมันไม่ใช่เงินที่ได้จากการขายข้อมูล ทันทีที่มิวเข้าร่วมการประชุม
มิวก็ควรจะได้เงินทันทีเหมือนกันนั่นแหละนะ แถมอันที่จริงเงินที่มิวได้จากองค์กรก็ไม่ใช่เงินขององค์กรจริงๆ หรอก
มันเป็นเงินจากทั่วโลก ว่าง่ายๆ คือภาษีประชาชนคนธรรมดา เนื่องจากคนระดับองค์หญิงหรือองค์ชายนั้นมีความสำคัญมาก
แค่การมีอยู่ของพวกเขาก็ทำโลกปลอดภัยจากประตูบอร์เดอร์ไลน์ การจะให้เงินเดือนพวกเขามันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่
แต่เพราะการบริหารภายในมองว่าไม่ควรแบ่งให้พวกเขาเฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลย แบบนั้นจะเป็นการผลาญภาษีประชาชนเสียเปล่าๆ
ดังนั้นเขาจึงกำหนดว่าให้องค์หญิงและองค์ชายเข้าร่วมการประชุมเพื่อแบ่งปันข้อมูลนั่นแหละนะ เพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน
อย่างไรก็ตามพวกองค์หญิงหรือองค์ชายก็ไม่ใช่นักการเมือง พวกเขามีอิสระมากกว่านักการเมือง เอาจริงบางคนก็เป็นดารา มีอาชีพหลัก อาชีพรองแตกต่างกันออกไปนั่นแหละนะ
นอกจากนี้ของที่ได้มาจากภายในหอคอยนั้นจะถูกส่งให้องค์กรบอร์เดอร์ไลน์.. จะว่าไงดีล่ะ องค์หญิงหรือองค์ชายไม่มีสิทธิ์ในการขายของที่ได้จากในหอคอย
เพราะวัตถุดิบหรือสินแร่ต่างๆ ที่ได้จากภายในนั้นจะถูกส่งเข้าหาองค์กรบอร์เดอร์ไลน์ และกระจายไปทั่วโลกเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนธรรมดาทั่วไป
เอาง่ายๆ หากองค์หญิงองค์ชายเป็นกลุ่มองค์กรหนึ่ง พวกเธอก็เป็นกลุ่มองค์กรทางการกุศลที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลทั่วโลกนั่นแหละ
ในขณะที่ผู้ใช้อารยธรรมปกตินั้นเป็นเหมือนองค์กรแสวงหาผลกำไร.. มิวที่นั่งอ่านกฎที่หลายอย่างก็ได้แต่เกาหัวมึนๆ งงๆ
มิวในตอนนี้มีเงินมากกว่าหนึ่งล้านเหรียญแล้ว.. เงินในตัวมิวตอนนี้มันมีมากกว่าเงินที่มิวหามาตลอดทั้งชีวิตในชาติก่อนอีกมั้ง
ตอนนี้มิวเหมือนมีทองหล่นทับจริงๆ ตามความหมายเมื่อถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาลมิวก็คุยกับผู้กล้าเอริเนีย
“จะว่าก็ว่าเถอะ.. ตอนนี้พวกเราควรทำอะไรต่อจากนี้ดี”
“ก่อนอื่นก็ต้องหาที่พักก่อน จะให้ไปเกาะชาวบ้านอยู่มันก็ไม่เชิงใช่ไหมล่ะ”
“ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลนะ”
แต่มิวรู้ว่าต่อให้เป็นเงินล้านเหรียญก็คงไม่สามารถซื้อบ้านในเมืองนี้ได้ แม้ค่าเช่าบ้านในเมืองนี้จะค่อนข้างถูกเพราะกฎหมาย
แต่ราคซื้อนั้นกลับแพงกว่าซื้อบ้านแพงๆ ในโตเกียวซะอีก ดังนั้นเงินแค่หนึ่งล้านอย่างน้อยๆ ก็ซื้อบ้านที่นี่ไม่ได้
ดังนั้นในตอนนี้มิวต้องเช่าห้องพักเอานั่นแหละนะ..
นอกจากนี้มิวยังอยากจะไปญี่ปุ่นดุด้วย ถึงเธอพอจะเดาออกแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่โลกเดิมของเธอ และไม่มีครอบครัวเธออยู่
แต่เธอก็ยังอยากจะตามหาดู เผื่อมันมีความเข้าใจผิดของเธอปนอยู่ด้วย.. แน่นอนว่าสำหรับมิวการไต่หอคอยก็สำคัญ
เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มิวกลับไปหาแฟนมิวได้.. แต่ในตอนนี้เวลานี้มิวก็เหมือนจะเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาบ้าง..
ดังนั้นในใจของมิวในตอนนี้จึงมีความลังเลหลายอย่างที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด.. มิวจึงหวังว่าโลกนี้จะเป็นโลกเดิมของเธอ
มิวถอนหายใจออกมาพร้อมกับแอบออกจากโรงพยาบาลไปแบบเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำว่ามิวออกไปแล้ว
ก่อนที่มิวจะจากไป มิวก็ไปดูรินนะที่กำลังโคม่าไม่ได้สติอยู่ด้วย.. มิวอยากจะใช้ดาบช่วยในการฟื้นฟูแต่ก็ถูกผู้กล้าเอริเนียห้ามไว้
ปัญหาที่สาวน้อยรินนะกำลังเผชิญในตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องร่างกายแต่เป็นเรื่องจิตใจและความทรงจำ ต่อให้ฟื้นขึ้นมาเธอก็เป็นแค่ตุ๊กตามีชีวิต
มิวได้แต่ถอนหายใจ ครอบครัวเธอตายหมดแล้ว มิวจึงเป็นคนออกเงินทุกอย่างให้เองทั้งค่ารักษาค่าโรงพยาบาล แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่หนักไปสำหรับมิวในตอนนี้
หลังจากมิวจากไปทางด้านนักข่าวที่รออยู่หน้าโรงพยาบาลจึงพลาดเจอกับมิวไปในที่สุด.. แน่นอนไม่นานหลังจากนั้นข่าวที่ว่ามิวออกโรงพยาบาลไปแล้วก็กระจายออก
นักข่าวได้แต่งุนงงว่าเธอออกไปทางไหน แต่จะยังไงซะข่าวลือที่มิวไม่ชอบสื่อเหมือนจะแพร่กระจายออกไปทันทีเช่นกัน
ในขณะที่มิวกำลังเดินออกไปทางบ้านคาเอะ ก็ต้องเดินผ่านหอคอยนั้นเอง บนกระดานจัดอันดับเหมือนมิวจะมีชื่ออยู่อันดับหนึ่งจริงๆ
แซงองค์หญิงไร้เสียงไปแล้ว.. แต่ทว่าในตอนนั้นเองก็มีภาพโฮโลแกรมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นทับกระดานจัดอันดับ
แทนที่จะบอกว่าเป็นโฮโลแกรมมันเหมือนเป็นภาพฉายมากกว่า เพราะภาพฉายนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่
เพราะเป็นภาพที่ตั้งใจจะฉายไปทั่วทั้งเมืองหรือไกลกว่านั้น ร่างที่ปรากฏขึ้นจึงใหญ่เอามากๆ
หลังจากหอคอยถูกพิชิตสิบชั้นแรก และชั้น 11 เปิดออกนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น
การปรากฏนี้มันเหมือนกับรอมิวมายืนอยู่ตรงนี้ยังไงยังงั้น.. แน่นนอนการฉายภาพนี้เกิดขึ้นไปทั่วทุกหอคอยทั่วโลกไม่ใช่แค่หอคอยเหนือน่านน้ำแห่งนี้
และผู้คนที่อยู่แถวนั้นไม่มีเวลามาโฟกัสคนดังอย่างมิวเลยด้วยซ้ำ เพราะเงาร่างที่ปรากฏขึ้นเป็นเด็กผู้หญิงผมสีเหลืองตัวเล็ก
บรรยากาศรอบตัวดูสดใสร่าเริง.. นั่นสินะ คนบนโลกนี้มีนิทานหลายเรื่องที่รู้จักกันและหนึ่งในนั้นก็คือ อลิซ ในแดนมหัศจรรย์
หญิงสาวผมสีเหลืองสวมชุดสีฟ้าตัดสลับกับขาวให้บรรยากาศเหมือนตัวละครเอก ‘อลิซ’ ที่หลุดออกมาจากนิทานเรื่อง อลิซในแดนมหัศจรรย์เลยไม่มีผิด
“ฮาโหล่ ได้ยินกันม้ายยย”
“ได้ยินก็ตอบด้วยสิ ฮัลโหล่…หือ พวกเธอหูหนวกกันเหรอ?”
“อ้ะ.. ลืมไปว่าฉันไม่ได้ยินเสียงพวกเธอ โทษทีๆ”
มิวขมวดคิ้ว เพราะสายตาของภาพฉายนี้เหมือนก้มลงมามองเธอ.. แน่นอนว่าการปรากฏตัวของสิ่งนี้ก็เกิดเป็นไวรัลภายในชั่วพริบตา
นักข่าวแห่เข้ามาถ่ายทอดสด.. เพียงเวลาไม่กี่นาทีหลังจากที่ภาพฉายนี่โผล่ออกมามันก็เป็นไวรัลไปทั่ว
เพราะนี่คือครั้งแรกที่หอคอยเริ่มทำอะไรบางอย่างนอกจากการปรากฏของกระดานจัดอันดับ.. ไม่สิ ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องเควสตอนอยู่ชั้น 2
แล้วก็มีระบบจากชั้นที่ 10 แต่ทุกอย่างดำเนินเหมือนระบบแบบหนึ่งเท่านั้น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษยชาติได้รับการติดต่อจากใครสักคนที่น่าจะเกี่ยวกับหอคอย
แม้แต่องค์กรบอร์เดอร์ไลน์ก็ยังพากันตื่นตระหนก…
มิวเหมือนเคยเห็นคนคนนี้มาจากที่ไหน แต่ก็นึกไม่ออก.. แถมสายตาที่อีกฝ่ายมองมาที่มิวก่อนหน้านี้ก็ยังทำมิวรู้สึกแปลกๆ
“ก่อนอื่นฉันต้องแนะนำตัวก่อนใช่ไหม?”
“ในตอนนี้ฉันเป็นคนดูแลหอคอยทุกหอคอยบนโลกนี้.. นั่นสินะ ถ้าใกล้สิ่งที่พวกเธอเข้าใจที่สุดฉันก็เป็นเทพธิดาของพวกเธอแหละน้า”
เธอพูดแบบนั้นแล้วก็ยิ้ม แต่เธอไม่ได้พูดชื่อของตัวเองออกมา อันที่จริงทุกคนล้วนสัมผัสถึงความจองหองไม่สนอะไรจากน้ำเสียงของหล่อนได้
แทนที่จะบอกว่าเป็นเทพธิดา ต้องบอกว่าเหมือนปีศาจมากกว่าด้วยซ้ำ เธอไม่ได้คิดแม้แต่จะบอกชื่อตัวเองให้พวกเขาฟังด้วยซ้ำ
“เทพธิดา..?”
แม้มิวจะจำสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชั้นสิบไม่ได้ แต่นอกนั้นเธอก็จำได้หมด ไม่ว่าจะเรื่องของเทรต้า รินนะหรือแม้แต่เทพธิดาที่ดูแลหอคอยนี้
เป็นคนลึกลับที่ใจดีกับมิวเอามากๆ แม้จะไม่รู้จักชื่อ แต่เธอคนนั้นมีบรรยากาศรอบตัวที่เหมาะเป็นเทพธิดามากกว่าผู้หญิงตรงหน้านี้แน่ๆ
“ความจริงแล้วฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาบอกพวกเธอหรรอกนะ เพราะการเข้าใจและใช้มันให้เป็นคือหน้าที่ของพวกเธอเอง ถ้าจะให้บอกทุกอย่างก็ให้ฉันเช็ดตูดให้ด้วยเลยไหมล่ะ”
เธอหัวเราะออกมาอย่างติดตลก ตอนนี้ทุกคนได้แต่หน้าบูดบึ้งกับสิ่งที่สาวน้อยคนนี้พูด
“แต่ก็นะกว่าจะเคลียร์ชั้นสิบได้พวกเธอยังใช้เวลาตั้งหลายปี ฉันก้ไม่คิดว่าพวกเธอจะโง่กันขนาดนี้ฉันจะบอกให้ก็ได้”
“ที่ปลายสุดของหอคอยมีสิ่งที่จะดลบันดาลความปราถนาทุกอย่างให้พวกเธอได้ ไม่ว่าจะอะไรน่ะนะ.. ฉันหมายถึงไม่ว่าจะอะไรจริงๆ”
ตอนพูดคำนี้สาวน้อยมองมาที่มิวด้วย.. แน่นอนว่าคำพูดสุดท้ายของเธอเหมือนต้องการที่จะบอกมิวเป็นนัยๆ ด้วย
“ไม่ใช่แค่ครึ่งๆ กลางๆ .. แต่คำขอของพวกเธอจะถูกบันดาลโดยฉันเอง ก็นะฉันมันเก่งไง ไม่ได้กระจอกเหมือนเทพธิดาคนก่อน”
“จะชุบชีวิต จะเปลี่ยนแปลงเส้นเวลา จักรวาล ทุกอย่างเลยฉันทำได้หมดอะ ถ้าอยากได้ก็รีบไต่ขึ้นมาบนหอคอยนะ”
“อ่า.. แล้วก็หอคอยหลังจากนี้ทุกอย่างจะตัดสินจาก Tower point ทั้งหมด.. พอยท์ทุกพอยท์ที่พวกเธอสั่งสมมาจะสามารถกลายเป็นทรัพยากรที่มาเกินกว่าที่พวกเธอจะหาได้จากชั้น 1 ถึงชั้น 10 เลยล่ะ”
“แล้วก็ไอ้เรื่องระบบอะไรสักอย่างนั่นอะ ต่อให้ไม่มีอารยธรรมก็ได้รับได้นะ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถได้รับระบบได้.. ในกรณีที่พวกเธอมีปัญญาขึ้นมาถึงชั้นสิบอะนะ”
“อืม.. แล้วมีอะไรอีกนะ”
สาวน้อยเท้าเอวครุ่นคิดว่าเหมือนตัวเองลืมพูดอะไรหรือเปล่า นี่แหละปัญหาของการไม่ได้เขียนโพยมาด้วย
แต่สำหรับสาวน้อยคิดว่ามันไม่จำเป็น แถมเสียเวลาอีกจะไปนั่งเขียนทำไมล่ะ
“อืม จะมีหรือไม่มีก็ช่างเหอะ มันเรื่องของพวกเธอ”
“ไปละบ้ายบาย”
เธอโบกมือให้ทุกคนก่อนหันหน้ามาโบกมือให้มิวด้วย
“…..?”