พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 13 โครงกระดูกสีแดง
เฟิ่งชิงหัวกำลังเดินอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอู้อี้ดังมาจากพุ่มหญ้า ราวกับกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดอะไรสักอย่าง
นางรีบเดินเข้าไป แหวกพุ่มหญ้าที่หนาแน่นออกเบาๆ
“ใครอยู่ตรงนั้น อย่ารบกวนพระชายา”ขันทีที่นำทางตำหนิด้วยเสียงที่ลากยาว จากนั้นก็เดินจากทางด้านหลังของเฟิ่งชิงหัวไปด้านหน้า เมื่อสายตามองเห็นคนที่โชกไปด้วยเลือดก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าขาวซีดลง
เห็นเพียงบริเวณที่อยู่ห่างจากพวกนางแค่หนึ่งจั้งเท่านั้น เห็นหญิงสาวที่สวมชุดสีชมพูของชาววังนอนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าที่ไม่เหมาะสม มีเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด และตอนนี้ก็เป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของนางแล้ว สายตาหวาดกลัวมองไปยังทิศทางที่พวกนางยืนอยู่
“นี่ นี่มันซุนผินเหนียงเหนียงมิใช่หรือ ทำไมทำไมจึงเป็นเช่นนี้”ขันทีเอ่ยขึ้นอย่างติดๆขัดๆ
เมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกของขันทีที่เห็นคนตายแล้ว เฟิ่งชิงหัวที่ชาติที่แล้วเคยเป็นแพทย์นิติเวชคนหนึ่งเคยพบเห็นมามากแล้ว และได้ฝึกฝนจนมีความสามารถที่จะไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมาไม่ว่าศพที่พบจะดูน่าอนาถแค่ไหนก็ตาม
ฉีกผ้าบนร่างออกมาสองผืนพันเอาไว้ที่มือ เฟิ่งชิงหัวก้มตัวลงสำรวจดูม่านตาและแขนขาของหญิงสาว แล้วก็สำรวจดูรอบๆอวัยวะสงวนของหญิงสาว
ขณะที่เฟิ่งชิงหัวกำลังจะสำรวจดูให้มากขึ้น ตรงหน้าก็เกิดภาพที่น่าประหลาดใจขึ้นมา
ร่างกายที่เมื่อครู่ยังถูกพุ่มหญ้าบดบังอยู่ทันใดนั้นก็ถูกแสงแดดสาดส่อง บนใบหน้าเกิดเป็นรอยแดงขนาดใหญ่ขึ้นมา ผิวพรรณที่เดิมทีขาวนวลเนียนก็เปลี่ยนสภาพจนอัปลักษณ์ดูไม่ได้ ราวกับถูกใครสาดน้ำที่มีพิษใส่
เฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันที่จะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มองเห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าถูกกัดกร่อนจนเปื่อยอย่างรวดเร็วไปต่อหน้าต่อตา จากนั้นเนื้อที่เน่าเปื่อยก็หายไปต่อหน้านาง
ร่างที่เดิมทียังมีเลือดเนื้ออยู่ได้เหี่ยวแห้งไปในพริบตา กลายเป็นโครงกระดูกสีชมพู
“อ๊าก!!!”ขันทีที่เห็นภาพนี้ไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป ร้องเสียงหลงออกมา ดึงดูดคนอื่นๆเข้ามา
จากนั้นไม่นาน ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็พาจ้านเป่ยเซียวมาถึง ห้องบรรทมของฮองเฮาอยู่ใกล้ที่สุด ย่อมมาได้เร็วที่สุด เมื่อเห็นฮ่องเต้เซวียนถ่งมา ก็ย่อตัวคำนับ “ถวายบังคมฮ่องเต้”
แต่สายตาของจ้านเป่ยเซียวกับจ้องมองไปยังพื้นที่โล่งตรงนั้น กำลังมองดูพระชายาของเขา ที่กำลังใช้นิ้วมือเคลื่อนไปมาบริเวณที่พบศพ
“ทำไมนางจึงอยู่ที่นี่”จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วขึ้นมา
ตอนที่ฮองเฮามาถึงได้สั่งให้คนนำศพออกไปแล้ว ใช้ผ้าคลุมเอาไว้ อีกทั้งยังสั่งให้องครักษ์ออกลาดตระเวนให้ทั่ว หากพบบุคคลน่าสงสัยไม่ว่าจะมีฐานะเป็นอะไรก็ให้จับตัวมาดำเนินการสอบสวนทันที
รอบๆนั้นมีนางสนมและนางกำนัลยืนดูอยู่ไกลๆ ทุกคนต่างรู้สึกกลัวมาก มีแค่หญิงสาวคนนั้น ที่กำลังชี้ไปยังโครงกระดูกสีชมพูและพูดอะไรบางอย่างกับหมอหลวงอยู่ และยังจิ้มไปที่โครงกระดูกนั้นอยู่เป็นระยะ
“เรียนท่านอ๋อง พระชายาเป็นคนแรกที่พบศพของซุนผินเหนียงเหนียง อีกอย่าง อีกอย่าง ก่อนที่ศพจะกลายเป็นโครงกระดูก มีเพียงพระชายาเท่านั้นที่เคยแตะต้องศพ ฉะนั้นหมอหลวงจึงกำลังสอบถามเหนียงเหนียงอยู่”
“นางแตะต้องศพอย่างนั้นหรือ”จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้น เสียงสูงกว่าปกติเล็กน้อย
ขันทีที่ตอบคำถามรับรู้ได้ถึงความโมโหของท่านอ๋อง จึงรีบหดคอลงทันที
ไม่ช้า หมอหลวงกับเฟิ่งชิงหัวก็เดินมาพร้อมกันและโค้งตัวคำนับ
เฟิ่งชิงหัวย่อเข่าลงอย่างช้าๆ ราชวงศ์ไม่ดีก็ตรงนี้ ต้องคุกเข่าอยู่เสมอ นางเกรงว่าสักวันเข่าของนางอาจจะสึกได้
ยังไม่ทันที่จะงอเข่าจนถึงที่สุด ก็ได้ยินเสียงฮ่องเต้เซวียนถ่งเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องมากพิธี ตรวจพบอะไรหรือไม่”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็รีบยืดเข่าให้ตรงทันที พอเงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาของจ้านเป่ยเซียว ท่าทีเล็กน้อยเมื่อครู่ของนางถูกเขามองออกซะแล้ว
สายตาที่ชายหนุ่มมองนางมีแววเย็นชา ทันใดนั้นบรรยากาศรอบตัวก็เย็นลงไม่น้อย
แต่เฟิ่งชิงหัวเหมือนจะไม่รับรู้ถึงความไม่พอใจของชายหนุ่มในตอนนี้เลย เดินไปหาชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่เดินได้สองก้าวก็ถูกชายหนุ่มยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ “หยุด อยู่ให้ห่างจากข้า“
ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“ท่านอ๋อง พวกเราเป็นสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกัน เพิ่งจะไม่ได้เจอข้าแค่ไม่กี่ชั่วยามก็รังเกียจข้าแล้วหรือ วันหน้ายังมีเวลาอีกหลายสิบปีต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ท่านทำได้ลงคอหรือ”เฟิ่งชิงหัวพูดเสียงต่ำ ให้ได้ยินแค่จ้านเป่ยเซียวคนเดียว
น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว ช่างกระตุ้นน้ำตาเสียจริงเชียว
ถ้าเป็นคนอื่นคงจะทำอะไรไม่ถูกต้องเข้าไปช่วยปลอบใจ แต่เมื่อจ้านเป่ยเซียวได้ยิน ก็รู้สึกแค่ว่าบาดหู เอ่ยเสียงเย็นว่า “หุบปาก”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินก็แบะปาก สองมือไขว้ไว้ทางด้านหลัง ยืดคอขึ้นทำท่าทีหยิ่งผยอง
ก็ท่านให้ข้าหุบปากเอง ประเดี๋ยวอยากจะให้ข้าพูดมันคงไม่ง่ายขนาดนั้นแน่
หมอหลวงมองเฟิ่งชิงหัว คุกเข่าลงอีกครั้ง “กระหม่อมสมควรตาย ที่ร่ำเรียนมาตลอดชีวิตยังสู้พระชายาไม่ได้ กระหม่อมขอบังอาจ เชิญพระชายาตอบข้อสงสัยของฮ่องเต้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ว่าแล้ว สายตาที่คาดหวังก็มองไปทางเฟิ่งชิงหัว
ไม่เพียงแต่หมอหลวง สายตาของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็มองไปยังร่างที่ยืนอยู่ข้างๆจ้านเป่ยเซียว
สายตาของฮ่องเต้เซวียนถ่งแฝงแววสงสัยพลางเอ่ยขึ้นว่า “พระชายาเจ็ดรู้อย่างนั้นหรือ”
เฟิ่งชิงหัวยังคงก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จา
ฮ่องเต้เซวียนถ่งเห็นท่าทีของเฟิ่งชิงหัว คิดว่าคงถูกภาพก่อนหน้านี้ทำให้รู้สึกตกใจอยู่ ฉะนั้นจึงไม่ยอมพูดจา
ฮองเฮาเห็นดังนั้นก็เอ่ยอย่างปกป้องว่า “หมอหลวงถ่อมตัวเกินไปแล้ว พระชายาเจ็ดเป็นแค่หญิงสาวที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ท่านพูดเองดีกว่า”