พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 69 ข้าเชื่อเจ้าก็โง่แล้ว
จ้านเป่ยเซียวหันมองเฟิ่งชิงหัว แล้วพูดขึ้นเบา ๆ ว่า : “ร่างกายของข้าข้ารู้ดีที่สุด ยังเดินต่อได้อีก”
เฟิ่งชิงหัวพูดว่า : “ข้าเป็นหมอ ร่างกายของท่านเป็นเช่นไร ข้าย่อมรู้ดีกว่าท่าน หากไม่อยากนั่งนิ่งไปตลอดชีวิต เชื่อที่ข้าพูดจะเป็นการดีที่สุด”
จ้านเป่ยเซียวยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่หลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้เข็นรถเข้ามาถึงตัวเขานานแล้ว
จ้านเป่ยเซียวหันมองหลิวหยิ่งด้วยสายตาเย็นชา : “ข้าชักสงสัยว่า ตอนนี้เจ้าเป็นคนของใครกันแน่”
หลิวหยิ่งรีบอธิบายอย่างร้อนตัวว่า : “หม่อมฉันเป็นคนของนายท่านอย่างแน่นอน” เพียงแต่ เมื่อครู่ตอนพระชายาออกคำสั่งกับเขา เขาก็ปฏิบัติตามโดยไม่รู้ตัว เมื่อตั้งสติกลับมาได้ มือของเขาก็เข็นรถเข้ามาถึงแล้ว เขาแสดงออกว่ารู้สึกงุนงงกับเรื่องนี้ไม่น้อย
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว : “ของท่านของท่าน อะไร ๆ ก็ของท่าน แต่ท่านต้องมีชีวิตอยู่ จึงจะเป็นของท่านได้ หากท่านตายไปแล้ว ในฐานะที่เป็นพระชายาของท่าน จวนอ๋องอันยิ่งใหญ่นี้ของท่าน ก็จะตกเป็นของข้าทั้งหมด”
ขณะที่พูด ก็ประคองจ้านเป่ยเซียวลงนั่งบนรถเข็น และสุดท้ายก็เข็นเข้าไป
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร แต่หันไปโบกมือกับหลิวหยิ่ง หลิวหยิ่งเข้าใจความหมาย จึงรอให้ทั้งสองเดินลับสายตาไปแล้ว ก็ตรงกลับไปยังรถม้าที่จอดอยู่ด้านหน้าประตูจวนทันที จากนั้นจึงใช้กระบี่สังหารผู้คุมที่ขับรถม้าคนนั้น
ผู้คุมผู้นั้นถูกฆ่าตาย โดยที่ยังไม่ทันตั้งสติจากความตกใจ ที่เห็นอ๋องเจ็ดที่ร่ำลือกันว่าเป็นคนพิการไม่อาจเดินได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ กลับยืนขึ้นมาได้
ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก เฟิ่งชิงหัวเข็นจ้านเป่ยเซียวไปจนถึงห้องแล้วก็คิดจะจากไป
“ช้าก่อน” จ้านเป่ยเซียวตั้งสติขึ้นมาได้ หน้ากากหยกขาวนั้น ส่งเสริมให้ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลายิ่งขึ้น ชุดสีดำของเขาก็ช่วยส่งเสริมให้เขาดูสง่างามและมีเกียรติยิ่งขึ้น ช่างดูราวกับเทพบุตรจริง ๆ
เฟิ่งชิงหัวหันกลับไปมองเขา : “มีเรื่องอะไรอีกหรือ ?”
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ?” จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่ภายใต้แสงตะเกียง และจ้องมองนางอย่างเย็นชา : “จากการสืบรายงานมาว่า บุตรสาวคนที่สองของหนานกงจี๋นั้นขี้ขลาด อ่อนแอ ไม่เอาไหน มักถูกบรรดาพี่น้องรังแกอยู่บ่อย ๆ แต่สิ่งที่ข้าเห็นคือ เจ้านั้นใจกล้า เป็นทั้งวิชาแพทย์และวรยุทธ์ อีกทั้งวรยุทธ์ก็เข้มแข็ง ส่วนที่น้องสองคนนั้นของเจ้า ตอนนี้ก็ไม่มีใครพบจุดจบที่ดี”
เฟิ่งชิงหัวถูกสงสัยแต่กลับไม่ร้อนตัวแม้แต่น้อย นางหัวเราะแล้วพูดว่า : “ท่านอ๋องไม่เคยได้ยินเรื่องวิชาฟื้นคืนชีพหรือเพคะ ?”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เฟิ่งชิงหัวคิดในใจ ท่านต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่นอน หากท่านเคยได้ยินมาก่อน ข้ายังจะหลอกลวงต่อไปได้อย่างไร
เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจแล้วพูดว่า : “เฮ้อ ที่จริงแล้ว เรื่องนี้คงต้องพูดกันยาว……”
“เช่นนั้นก็สรุปมาสิ” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นด้วยความรำคาญ
“อ้อ หากให้สรุปก็คือ ร่างกายของข้าเป็นของหนานกงเยว่ลั่วจริง ข้าเสียชีวิตตอนอายุ 25 ปี จากนั้นจึงกลับมาเกิดใหม่ในปัจจุบัน ภายใต้การรู้แจ้งทำให้ข้าเปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เพื่อยืนยันในเรื่องที่แต่งขึ้นมานั้นให้สมจริง
“กลับมาเกิดใหม่ ? เช่นนั้นเจ้าก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคตอย่างนั้นหรือ ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว
“ทำนองนั้นเพคะ แต่ตอนนั้นหม่อมฉันไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาดูเลิกภายนอกมากนัก จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องภายนอกสักเท่าไร”
“เช่นนั้นอย่างน้อยเจ้าก็น่าจะรู้ว่าเจ้าตายอย่างไรนะ ?”
“เอ่อ ดื่มน้ำแล้วสำลักน้ำตายเพคะ”
จ้านเป่ยเซียวจ้องมองเฟิ่งชิงหัว จากนั้นจึงหัวเราะเยาะ : “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดไร้สาระของเจ้าหรือ ?”
เฟิ่งชิงหัวโบกมือ : “หากท่านไม่เชื่อข้าเองก็จนปัญญา ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้ฟังดูเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้นิสัยของข้าที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ก็เป็นความจริงที่อาจปฏิเสธได้ ข้าคงไม่อาจพูดว่า เพื่อที่จะให้ได้แต่งงานกับท่าน ข้าจึงปลอมตัวมาหรอกนะ”
“เช่นนี้ก็พอจะดูน่าเชื่อถือหน่อย”
“……” นางลืมไปแล้วว่า คนผู้นี้เป็นพวกหลงตัวเอง
“เจ้าเป็นใคร หรือว่าเจ้าเคยเป็นใครมาก่อน ตัวข้าอาจไม่สนใจ ไม่ถามไถ่ได้ แต่ในเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ในที่ของข้าแล้ว เช่นนั้น หากเจ้าไม่ใช่คนในครอบครัว ก็เป็นได้เพียงศัตรู”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงหัวอย่างลึกซึ้ง
หัวใจของเฟิ่งชิงหัวหดตัวลงอย่างกะทันหัน ตอนนี้ กลับมีความรู้สึกตื่นตระหนก
เขาพูดว่า “ตัวข้า”
ทุกครั้งที่ชายคนนี้แทนตัวเองว่า “ตัวข้า” ล้วนบ่งบอกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะครอบครอง
เฟิ่งชิงหัวยอมรับว่าตนเองนั้นเป็นคนง่าย ๆ ไม่มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ ความหวังเพียงอย่างเดียวที่มีคือการตามหามารดาผู้ให้กำเนิด แต่ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้านเป่ยเซียว ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ไม่รู้ควรทำเช่นไรดี
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าชายคนนี้ป่วยหนัก ถึงขั้นว่าอาจใช้ชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปี แต่คำพูดที่เย่อหยิ่งของเขา ฟังดูไม่ไร้สาระเลยสักนิด ในทางกลับกัน กลับทำให้นางรู้สึกว่า คนผู้นี้ที่จริงแล้วควรเป็นเช่นนี้ ยิ่งใหญ่คับฟ้า ปกครองทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์
“ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ?” เฟิงชิงหัวเงยหน้าขึ้นมองเขา
จ้านเป่ยเซียวแสยะยิ้ม : “เจ้ารู้แก่ใจดี”
เฟิ่งชิงหัวเงียบไป วินาทีถัดมา จู่ ๆ จ้านเป่ยเซียวก็ยืนขึ้น และค่อย ๆ ก้าวเข้ามาอย่างมั่นคง จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของนาง รูปร่างที่สูงใหญ่กำยำสูงกว่านางหนึ่งช่วงศีรษะ มือข้างหนึ่งโอบเอวของนางไว้ แล้วจุมพิตลงไปบนปากของนาง
ริมฝีปากที่เย็นเล็กน้อย และมีลมหายใจเย็นแผ่ซ่านออกมา กลับทำให้เฟิ่งชิงหัวเกิดความรู้สึกตกใจอย่างท่วมท้นขึ้นมา
“ปล่อยมือ” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพื่อเตือนมือใหญ่ที่กำลังโอบเอวของนางอยู่แน่น
จ้านเป่ยเซียวทำเพียงแค่จ้องมองนางโดยไม่ขยับเขยื้อน แววตาที่ลึกซึ้งแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ต้องการเอาชนะ
เฟิ่งชิงหัวดึงเข็มเงินออกมาสองสามเล่ม ปลายเข็มจ่ออยู่ตรงหัวใจของชายหนุ่ม : “หากไม่อยากตาย ก็จงปล่อยมือ”
จ้านเป่ยเซียวก้มหน้าลงมองนาง และขยับตัวไปด้านหน้า ยินยอมให้เข็มเงินนั้นทิ่มแทงทะลุเสื้อผ้าเข้ามายังผิวหนังของตนเอง เสื้อคลุมยาวสีดำเปียกชื้นทันที สีแดงสดไหลจากเข็มเงินลงมาเปื้อนมือของเฟิ่งชิงหัว
“ข้าจำได้ว่า วันนั้นเจ้าเคยพูดเรื่องสัญญาสามเดือน เช่นนั้นข้าก็จะขอเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งข้อ ให้เวลาเจ้าสามเดือน รักข้าให้ได้ !” ดวงตาของชายหนุ่มเร่าร้อน คำพูดเย่อหยิ่ง : “ชาตินี้ เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้าผู้เดียวเท่านั้น หากกล้าหนีไป รอให้ข้าจับกลับมาได้ จะตัดเอ็นข้อมือข้อเท้าและขังเอาไว้ในจวนตลอดชีวิต ไม่ต้องออกไปไหน”
พูดจบ จ้านเป่ยเซียวก็ปล่อยตัวเฟิ่งชิงหัว แล้วดึงเข็มเงินที่ปักอยู่ตรงอกออกมา วางลงบนมือของเฟิ่งชิงหัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นจึงนั่งลงบนรถเข็น
เฟิ่งชิงหัวหันหลังกลับ แล้วรีบเดินจากไปทันที เรียกได้ว่าหนีแทบไม่ทัน
เมื่อกลับถึงห้อง เฟิ่งชิงหัวก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จึงได้ยกมือขึ้นมา แล้วมองดูเข็มเงินที่เปื้อนไปด้วยเลือดของชายหนุ่ม
ด้านนอกท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสว่างเข้ามา แสงที่ส่องสลัวเข้ามา สะท้อนกับเลือดที่อยู่ในมือ
“นายหญิง” ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ คุกเข่าลงด้านนอกประตูท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำที่มืดสนิท
เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานรับพักใหญ่ เงาดำนั้นก็ผงะไป จากนั้นก็ได้กลิ่นคาวเลือดอ่อน ๆ ลอยคลุ้งมา : “นายหญิง ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ ?”
“ไม่ใช่เลือดของข้า” ความผิดปกติในแววตาของเฟิ่งชิงหัวจางลง จนสุดท้ายกลับมาเป็นปกติ
คนผู้นั้น ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่คนป่วย สิ่งที่เขาพูด ทำไมต้องไปสนใจด้วย
“ได้ข่าวมาแล้วหรือ ?” เฟิ่งชิงหัวพูด
“ยังขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยรู้เข้าโดยบังเอิญว่า ฮูหยินเฉิงเซี่ยงผู้ที่ซื้อหอโลหิตเงา ต้องการลอบสังหารท่าน”
“หอโลหิตเงา ?”
“ท่านอยู่บนเขามานาน จึงมีบางอย่างที่ยังไม่รู้ หลายปีมานี้ หอโลหิตเงาคือหนึ่งในกลุ่มนักฆ่าที่เติบโตขึ้นในยุทธภพ หลายปีมานี้ไม่เคยล้มเหลว กลุ่มของพวกเขาแบ่งออกเป็นปุถุชนสังหาร พสุธาสังหารรวมไปถึงอัมพรสังหารระดับยิ่งสูง ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ฮูหยินเฉิงเซี่ยงจ่ายเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อจ้างนักฆ่าระดับพสุธาสังหารสองคน”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มมุมปาก : “ในเมื่อพวกเขาอยากสนุก พวกเราก็มาเล่นเป็นเพื่อนพวกเขาหน่อยก็แล้วกัน”
“ขอรับ พวกหางแถวพวกนั้นจะเป็นคู่ต่อสู้ของนายหญิงได้อย่างไร” เงาดำเอ่ยอย่างเคารพ
“อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้พวกเขามา ให้ข้าได้เห็นหน่อยซิว่า พสุธาสังหารของหอโลหิตเงา มีฝีมืออยู่ในระดับไหนกัน”