“เสียเวลาไปมากแล้ว เจ้าไปทำงานได้แล้ว” จ้านเป่ยเซียวโบกมือพลางเอ่ย
เฟิ่งชิงหัวมองไปยังอาหารเช้าของตนที่เพิ่งกินไปได้เพียงครึ่งเดียว จึงเดินเข้าไปหยิบห่ออาหารสองห่อยัดเข้าไปในอกอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นจึงหยิบอันหนึ่งขึ้นมาแล้วกัด แล้วพูดอู้อี้ต่อหน้าจ้านเป่ยเซียวว่า “หิว”
ระหว่างที่กล่าวหลิวหยิ่งก็พานางออกไปทางประตูหลัง เมื่อออกจากประตูมาแล้ว หลิวหยิ่งก็บอกทางนาง จากนั้นจึงกลับเข้าจวนไป
เฟิ่งชิงหัวเดินสบายๆ ไปยังปากประตูศาลาว่าการพระนคร ตอนที่เตรียมกำลังจะก้าวเข้าไปก็โดนคนเฝ้าประตูขวางเอาไว้ “หยุดเดี๋ยวนี้ ที่นี่ที่ใด เจ้ามีสิทธิ์อะไรบุกเข้ามา แถมยังใส่หน้ากากลับๆ ล่อๆ เช่นนี้อีก”
เฟิ่งชิงหัวกวาดสายตามองเข้าไปด้านใน จึงเห็นว่ามีคนเดินไปมาขวักไขว่ ดูแล้วยุ่งวุ่นวายมาก ส่วนคนเฝ้าประตูด้านหน้าก็ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ ดีกว่าจวนของกรมคลังที่มีแต่ความยุ่งเหยิงมากหลายเท่า
เฟิงชิงหัวหยิบหนังสือมอบหมายปฏิบัติงานออกมาจากอก แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านพลตระเวน ข้าน้อยคือขุนนางชันสูตรศพที่มาใหม่ มีชื่อว่าเฟิ่งเซียวขอรับ”
พลตระเวน ผู้นั้นคล้ายรู้จักนามนี้ เมื่อเห็นว่าเป็นหนังสือมอบหมายปฏิบัติงานจริง ก็กล่าวกับเฟิ่งชิงหัวว่า “ตามข้ามา”
เพิ่งจะเข้ามาด้านในจวนก็ได้ยินเสียงไม้เคาะดังออกมาจากในศาล เฟิ่งชิงหัวกำลังมีสมาธิคิดเรื่องอื่นๆ อยู่ เมื่อได้ยินเสียงเคาะนั้นก็ตกใจสะดุ้ง จากนั้นจึงเห็นว่าพลตระเวน คนนั้นยืนนิ่งอยู่ด้านนอกไม่เข้าไปด้านใน นางจึงกระซิบเบาๆ ว่า “พี่ชาย ยังไม่ถึงเวลาก็จะเริ่มสืบคดีแล้วหรือ?”
พลตระเวน ผู้นั้นมองนางเป็นพวกเดียวกับเขาไปแล้วจึงกระซิบกลับว่า “น้องเฟิ่งอาจจะไม่รู้ ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เกิดคดีประหลาดหลายคดี คนที่ได้รับความเสียหายล้วนเป็นคนที่จมนน้ำตาย ตรวจทั่วทั้งร่างกายแล้วก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลแต่อย่างใด เมื่อญาติของผู้เสียหายพบก็รีบมารายงานกับทางราชการ และหลังจากนั้นภายในสามวันก็มีคนตายอีกสิบกว่าคน ท่านเจ้ากรมร้อนใจมาก หลายวันมานี้จึงเก็บตัวอยู่ในแต่ในศาล”
เฟิ่งชิงหัวตระหนักได้ในทันที ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไม้เคาะในศาลดังขึ้นอีก จากนั้นจึงมีน้ำเสียงเปี่ยมอำนาจของชายคนหนึ่งดังขึ้น “ใครเอะอะอยู่ด้านนอก!”
พลตระเวน ผู้นั้นรีบพาเฟิ่งชิงหัวก้าวเข้าไป “ใต้เท้าชันสูตรคนใหม่มาถึงแล้วขอรับ”
เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าสบตากับชายที่อยู่ตรงหน้า ชายผู้นั้นใส่ชุดข้าราชการสีฟ้า ดูแล้วน่าจะมีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี ทั้งยังไว้หนวด ดูแล้วเป็นคนเคร่งเครียดจริงจัง
เฟิ่งชิงหัวเคยได้ยินหลิวหยิ่งเล่าให้นางฟังว่า ผู้ว่าการศาลาว่าการพระนครตอนนี้คือลูกชายคนสุดท้องของตระกูลเหยียน มีนามว่าเหยียนหรูชิงเป็นคนที่เที่ยงตรงและยุติธรรม
“ข้าน้อยมีนามว่า เฟิ่งเซียว” เฟิ่งชิงหัวค้อมตัวคารวะ
“ที่นี่ไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์ หากต้องการอยู่ที่นี่ต่อ เจ้าก็ต้องแสดงความสามารถออกมาให้เห็น และตอนนี้มีศพอยู่ร่างหนึ่งพอดี เจ้าลองชันสูตรดู” เหยียนหรูชิงกล่าวเสียงเข้ม
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าแล้วคุกเข่าลง จากนั้นจึงเปิดผ้าคลุมสีขาวที่อยู่บนชั้นวางออก
ผู้เสียหายเป็นผู้หญิง ดูจากใบหน้าแล้วอายุไม่น่าจะถึงยี่สิบปี เป็นคนหน้าตาดี ผมเผ้ายุ่งเหยิงและมีผมร่วงบางหย่อม ดวงตาทั้งสองข้างเขียวช้ำ ริมฝีปากเป็นสีม่วงดูแล้วเป็นลักษณะของคนที่จมน้ำตาย
จากนั้น เฟิ่งชิงหัวก็เลิกผ้าบริเวณแขนและมือของสตรีผู้นั้นขึ้น จากนั้นจึงลองแหวกกระเป๋าชุดของนางออกเพื่อสัมผัสผิวหนังส่วนบนของนาง จากนั้นสีหน้าของนางก็ปรากฏอาการสงสัย
“เจออะไรหรือ?” เหยียนหรูชิงกล่าวเสียงเครียด
“ทูลใต้เท้า ข้าน้อยมีคำถาม ไม่ทราบว่าสามารถถามสองคนนี้ได้หรือไม่” เฟิ่งชิงหัวชี้ไปที่ฮูหยินและสาวน้อยอายุราวสิบขวบที่ร้องไห้อยู่ด้านข้าง
เมื่อได้รับการอนุญาต เฟิ่งชิงหัวก็มองไปที่ฮูหยินก่อน “ขอถามฮูหยินท่านนี้ บ้านของท่านทำกิจการใด ท่านไม่เห็นลูกสาวของท่านตั้งแต่เมื่อใด”
ฮูหยินสะอึกสะอื้น “สามีของข้าป่วยหนักเพราะโรคติดต่อเมื่อห้าปีก่อน จึงต้องใช้สมบัติทั้งหมดที่ตัวเองมี สุดท้ายเหลือเพียงที่นาผืนเล็กๆ ตอนนี้ถึงเวลาปลูกข้าวสาลีพอดี สองวันก่อนหน้านี้ผิงเอ๋อร์บอกว่าจะเข้าไปทำงานที่อำเภอเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ใครจะรู้ว่าวันนี้ตอนเช้าเจ้าหน้าที่ราชการจะบอกว่าผิงเอ๋อร์ของข้าตายแล้ว”
ระหว่างที่กล่าวก็ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง