ชายหนุ่มหลุบตามองนาง จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงแล้วกลืนสิ่งที่เฟิ่งชิงหัวต้องการจะพูด มือใหญ่จับหลังของนางไว้แน่น และเป็นไปไม่ได้ที่นางอยากจะหลุดพ้นออกมาได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงปล่อยให้จ้านเป่ยเซียวทำอะไรก็ตามที่เขาต้องการ
จูบของชายหนุ่มหลั่งไหลออกมาด้วยความโกรธและเอาแต่ใจ
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกหงุดหงิดและงงงวยในเวลาเดียวกัน ทำไมอารมณ์ของคน ๆ นี้ถึงเหมือนกับท้องฟ้าในเดือนมีนาคม เปลี่ยนแปลงง่าย นางแค่อยากจะไปที่ชานเมืองเพื่อดูเท่านั้นเอง นางสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวข้องกับหนานกงจี๋ เพื่อให้แน่ใจ ทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยาที่มากเช่นนี้?
ถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วพูดว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนานกงจี๋ เป็นโรคระบาดจริงๆ และนางไปก็สามารถช่วยป้องกันได้ด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีสำหรับแคว้นเทียงหลิงของพวกเขา
ความคิดเฟิ่งชิงหัวปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว แต่ความโกรธของจ้านเป่ยเซียวไม่ได้ลดลงเลย แต่กลับจูบจนเกิดโทสะ
เมื่อเห็นว่าขัดขืนไม่มีประโยชน์ เฟิ่งชิงหัวจึงโอบรอบเอวของจ้านเป่ยเซียวด้วยมือข้างที่ว่าง
ร่างกายของชายหนุ่มแข็งทื่อ โทสะของเขาสลายไปเล็กน้อย และความรู้สึกอ่อนหวานเกิดขึ้นในหัวใจของเขา การกระทำที่เอาแต่ใจก่อนหน้านี้ก็อ่อนโยนลงไปมาก ริมฝีปากของเขาก็โค้งขึ้นเล็กน้อย
หญิงสาว ไม่ปฏิเสธ ถือว่าตกลงใช่ไหม?
ว่าแล้ว สตรีในโลกนี้ แค่เขาต้องการ จะไม่ยอมรับเขาหรือ?
ในขณะที่เขากำลังจะหลงเข้าไป ทันใดนั้น จ้านเป่ยเซียวรู้สึกว่าหลังของเขาแข็งทื่อและร่างกายของเขานิ่งไปสองสามวินาที ไม่กี่วินาทีนี้เพียงพอที่เฟิ่งชิงหัวจะหลุดจากการเกาะกุมของเขาและถอยไปที่มุมที่ไกล
“คนเลว” จ้านเป่ยเซียวกัดฟันถลึงตาใส่นาง หญิงสาวลอบทำร้ายเขาในขณะที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“นั่นก็ไม่ได้ไร้ยางอายเท่าเจ้า” เฟิ่งชิงหัวใช้แขนเสื้อเช็ดปาก รู้สึกเพียงว่าปากแสบร้อน แก้มของนางแดงเล็กน้อย อาจเป็นเพราะพื้นที่ที่นี่เล็กเกินไปและอากาศไม่ไหลเวียน
“ห้ามไป” จ้านเป่ยเซียวพูดเสียงต่ำ
“เพราะเหตุใด?”
“ไม่ว่ายังไงก็ห้ามไป”
“จ้านเป่ยเซียว เจ้าอย่าเอาแต่ใจตัวเองจนเกินไป ข้าเป็นคน มีอิสระ สิ่งที่ข้าต้องการจะทำและสิ่งที่ข้าจะทำ ไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนข้าได้นอกจากตัวข้าเอง”
“เจ้าคือพระชายาอ๋องของข้า!” จ้านเป่ยเซียวโพล่งออกมา แต่เมื่อเขาพูดออกมา หัวใจของเขากลับว่างเปล่า
เหตุผลนี้เกือบจะใช้ไม่ได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าข้ออ้างนี้ไม่สามารถรั้งนางไว้ได้
จ้านเป่ยเซียวเคยประสบกับความรู้สึกพ่ายแพ้เพียงสองครั้งในชีวิตของเขา ครั้งหนึ่งเมื่ออาการบาดเจ็บที่ขาของเขายากจะรักษา แต่เขาพยายามสุดกำลังก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และอีกครั้งคือนาง
แม้ว่านางจะสมรสกับเขาและเป็นพระชายาอ๋องของเขา เขากลับรู้สึกว่านางเป็นเหมือนพระจันทร์ในน้ำ ดอกไม้ในกระจก ราวกับว่านางอาจหายไปได้ทุกเมื่อ และเขาไม่สามารถให้นางอยู่กับเขาได้
เฟิ่งชิงหัวกล่าว “จ้านเป่ยเซียว ข้าไม่เคยเป็นเครื่องประดับของใคร แม้ว่าข้าจะสมรสกับเจ้า แต่ข้ามีความคิดและสิ่งที่ข้าอยากทำ ไม่ใช่เป็นเหมือนผู้หญิงเหล่านั้นที่อยู่ในเรือนไม่ออกไปไหนและล้อมรอบเจ้าอยู่ทุกวัน ใช้ชีวิตด้วยการมองสีหน้าเจ้า แล้วแย่งชิงความรักของเจ้าในวันข้างหน้า”
จ้านเป่ยเซียวจ้องเฟิ่งชิงหัว ด้วยสายตาที่มองเฟิ่งชิงหัวอย่างซับซ้อน แต่ดูเหมือนว่าจะมองอีกคนอื่นผ่านนาง
“เซียวเอ๋อร์ คนๆเดียวที่ข้ารู้สึกผิดคือเจ้า จากนี้ไป เจ้ากลับไปยังราชวังพร้อมเสร็จพ่อของเจ้าเถอะ เขาจะดีต่อเจ้า”
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงไม่กลับไปกับเสร็ดพ่อล่ะ?”
“ชีวิตในวังไม่เหมาะกับข้า ข้าเคยชินกับอิสระแล้ว เข้ากับคนมากมายไม่ได้”
เฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ตรงนั้น มองดูจ้านเป่ยเซียวที่นิ่งเงียบ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะกลัวว่าเขาจู่ ๆ ก็จะเป็นบ้าและพุ่งมาอีกครั้ง
แต่เขาแค่มองนาง จากนั้นเคาะกระดานไม้สองครั้ง ประตูเปิดออกแล้วเดินออกไปทันที
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกงงงวย ทำไมคนๆ นี้ถึงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายแบบนี้
ขี้เหนียวแค่ไหนกันถึงได้พูดจนตนเองโมโห
นางเป็นคนที่ถูกแต๊ะอั๋ง นางยังไม่โกรธเลย
“เจ้ายืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น?” จ้านเป่ยเซียวหันกลับมามองเฟิ่งชิงหัว
ย้อนแสง รอบกายของชายหนุ่มเปล่งแสงสีทองจางๆ โครงหน้าของเขาดูละเอียดอ่อนคมชัดมาก และน้ำเสียงของเขาก็มีความใกล้ชิดมากขึ้น
ใกล้ชิด
เฟิ่งชิงหัวเกรงว่าตนเองคงเป็นบ้าไปแล้ว คำพูดเหล่านี้ ไม่ว่าจะแยกออกหรือว่ารวมเข้าด้วยกันก็ไม่ได้หมายถึงว่ามีความใกล้ชิด!
นางคงจะสับสนไปแล้ว
เฟิ่งชิงหัวออกมาเดินเคียงข้างจ้านเป่ยเซียว โม่เหลิงรออยู่แล้ว หลังจากเห็นพวกเขา ก็พาพวกเขาเข้าไปในห้อง
ตรงเหนือประตูบานนี้มีช่องว่างค่อนข้างกว้าง มองจากด้านนอกจะเห็นคนข้างในอย่างชัดเจน
“ข้าเข้าไปนะ”
“พระชายาอ๋อง ชายผู้นี้มีศิลปะการต่อสู้และมีสิ่งแปลก ๆ มากมายบนร่าง ตอนนี้เราได้วางยาเขาแล้ว แต่ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะไม่มีทางหนีทีไล่อยู่ก็ได้” โม่เหลิงบอก
“ไม่เป็นไร เป็นคนรู้จัก” เฟิ่งชิงหัวยิ้ม แต่รอยยิ้มนางเย็นชา
โม่เหลิงได้รับสัญญาณจากจ้านเป่ยเซียว จึงเปิดประตู
เมื่อคนข้างในได้ยินการเคลื่อนไหว ร่างขยับเล็กน้อย จากนั้นก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย มองไปที่ประตูอย่างไม่สนใจ
“ฉีเป่าเจของพวกเจ้าช่างน่ารังเกียจจริงๆ ขายของแต่ไม่จ่ายเงินงวดสุดท้าย แต่กลับกักขังข้าไว้ที่นี่ พวกเจ้ารอการแก้แค้นของ หมู่บ้านศัสตราวุธเถอะ หากรู้ว่าต้องทำอย่างไรก็รีบ…” คำพูดของชายหนุ่มหยุดชั่วคราว เมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วพูดเสียงเย็น “เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง เรียกผู้รับผิดชอบของพวกเจ้ามา”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเห็นว่าถึงเวลานี้แล้วเขายังหยิ่งยโสอยู่ ยังกล้าที่จะเอา หมู่บ้านศัสตราวุธออกมาพูด นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆอย่างเยาะเย้ย ซึ่งทำให้ร่างของชายหนุ่มแข็งทื่อในทันใด
“เจ้า เจ้าคือ…” ชายหนุ่มก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ทั้งตัวของเขาแนบเข้ากับกำแพง ดวงตาของเขาตื่นตระหนกหวาดกลัว
“หมู่บ้านศัสตราวุธกลายเป็นที่พึ่งของเจ้าเมื่อไหร่กะน?” เสียงของเฟิ่งชิงหัวไม่ดัง แต่สิ่งที่นางพูดทำให้ชายหนุ่มกลัวจนวิญญาณสลาย
“คุณหนูใหญ่ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย คุณหนูใหญ่ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว เขาได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นและร้องขอความเมตตา
“ไว้ชีวิต? ถ้าอย่างนั้นบอกข้าสิว่าเจ้าทำอะไรไปบ้าง?” เฟิ่งชิงหัวนั่งลงบนโต๊ะข้างๆ นาง จ้องมองคนที่คุกเข่าแทบเท้านาง
“เป็นผู้อาวุโสใหญ่ขอรับ นั่นคือ ผู้อาวุโสใหญ่มอบภาพวาดให้ข้า ให้ข้าหาคนสร้างออกมา ไม่ใช่แค่แคว้นเทียงหลิงเท่านั้น แต่รวมถึงแคว้นใหญ่อื่น ๆ อีกหลายแห่งต่างก็มีสิ่งนี้ขอรับ” ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกักและเล่ารายละเอียด
เฟิ่งชิงหัวยิ้มอย่างเย็นชา “เขาอยากได้ หมู่บ้านศัสตราวุธเหตุใดจึงใช้ความช่วยเหลือจากแคว้นใหญ่หลายแคว้นเพื่อทำลาย หมู่บ้านศัสตราวุธ”
“เรื่องนี้ ผู้อาวุโสผู้ใหญ่ไม่ได้พูดอะไรขอรับ เขาแค่ขอให้ข้าโยนสิ่งเหล่านี้ตามคำสั่งของเขา” หลังจากชายหนุ่มพูดจบ เขาหดตัว ไม่กล้าแม้แต่สบตาเฟิ่งชิงหัว
“วันนี้ข้าปล่อยเจ้าไป กลับไปบอกผู้อาวุโสใหญ่ของเจ้า หากรู้ว่าต้องทำอย่างไร ก็ไสหัวออกจาก หมู่บ้านศัสตราวุธโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้น วันที่ข้ากลับไปจะเป็นเวลาที่หัวของเขากลิ้งอยู่บนพื้น” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างหยิ่งยโส
ชายหนุ่มไม่สงสัยในคำพูดของนางเลย พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมองเฟิ่งชิงหัวอย่างมีความหวัง “ถ้าอย่างนั้น คุณหนูใหญ่ ข้าไปได้หรือยังขอรับ?”
เฟิ่งชิงหัวโบกมือ คนๆนั้นก็ลุกขึ้นจากพื้นทันที ทั้งคลานและวิ่งไปที่ประตู