จ้ายเป่ยเซียวที่ตอนนี้นั่งอยู่ด้านบน กำลังจ้องมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย
ทางด้านเฟิ่งชิงหัวกำลังยืนท้าวสะเอวก่นด่า ตอนนี้หนานกงจี๋มีสีหน้าหมองหม่น แต่ตอนนี้กลับพูดอะไรไม่ออก ถึงแม้จะคาดเดาได้อย่างชัดเจนว่ เมื่อคืนนี้เป็นเฟิงชิงหัวปลอมตัวมา และกลับไม่อาจพูดออกมาได้ด้วยเหตุผลหลายประการ จึงรู้สึกโกรธจนตัวสั่น
จ้านชิงอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยังเดินเข้ามาตบไหล่จ้านเป่ยเซียวแล้วพูดว่า : “พี่เจ็ด อย่าโมโหไปนะ ๆ พี่สะใภ้เจ็ดไม่ได้ต่อว่าท่าน นางแค่สงสารที่ท่านพูดน้อย ไม่มีปากมีเสียง ถูกคนอื่นรังแกแล้วก็ยังไม่รู้จักตอบโต้ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับท่าน”
จ้านเป่ยเซียวจ้องมองจ้านชิงอิง แววตาของเขาลึกซึ้ง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกเพียงว่าเหมือนถูกมีดกรีดลงตรงหัวใจ
จ้างชิงอิงปลีกตัวออกไปทันที ไม่กล้าสบตากับชายหนุ่มอีก และรีบก้มหน้าก้มตาไปหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะเอาตัวรอดมาได้ จะให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นไม่ได้อีก จึงรึบเดินเข้าไปจูงมือของจ้านเป่ยเซียวแล้วพูดว่า : “เอาละ ๆ ยังขายหน้าผู้คนไม่พออีกหรืออย่างไร กลับบ้าน ๆ ไปอาบน้ำมนตร์ล้างซวยสักหน่อย”
“ไม่ได้ พวกเจ้ายังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น แค่พูดแก้ตัวสองสามประโยคก็คิดว่าเรื่องจะจบอย่างนั้นหรือ ?” หนานกงจี๋พูดด้วยความโมโห
ใครจะไปรู้ว่า จ้านเป่ยเซียวกลับรู้สึกโมโหยิ่งกว่าเขา จึงหัวเราะเยาะออกมาแล้วพูดว่า : “ดูหมิ่นราชวงศ์มีโทษสถานใด แล่เนื้อเถือหนัง หรือประหารเก้าชั่วโคตร ?”
น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวเย็นชา ความกระหายเลือดในน้ำเสียงกวาดล้างทุกคนในทันที
หนานกงจี๋สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของตนทันที ใช่สิ นี่คือจ้านเป่ยเซียว จ้านเป่ยเซียวผู้โหดเหี้ยมชียวนะ
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงจี๋ก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วบอกกับตัวเองว่า อย่างไรเสียตนเองก็เป็นถึงเฉิงเซี่ยงของประเทศ จ้านเป่ยเซียวคงไม่กล้าทำอะไรเขาง่าย ๆ
หนานกงจี๋เอ่ยปากพูดว่า : “ท่านอ๋อง วันนี้ตอนที่อยู่ในท้องพระโรง ท่านยอมรับอย่างชัดเจนว่า รู้จักผู้หญิงเมื่อคืนนี้ ตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกลับกลายเป็นพระชายา แต่พระชายากลับไม่ยอมรับว่าตนเองเคยมาที่คฤหาสน์ เหตุผลนี้ ท่านอ๋องเองก็น่าจะอธิบายให้เข้าใจสักหน่อยใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ? มาแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ เช่นนี้ อย่างไรเสียหม่อมฉันเองก็เป็นถึงขุนนางใหญ่ !”
“แก้ตัว ? ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง ? ข้าว่าตำแหน่งจอหงวนของท่านจะได้มาโดยทุจริตนะ ? คำว่าแก้ตัว จะเอามาพูดพล่อยเช่นนี้ได้อย่างไร ? พวกเราต่างก็อธิบายจนชัดเจนแล้ว ผ้าไหมสีขาวนี้เป็นของเราจริง ๆ แต่พวกเราไม่ได้ลอบสังหารท่าน จะต้องให้ข้าสาบานต่อหน้าท่านด้วยไหม ?”
ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็มีทีท่าอ่อนแอ : “เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้วว่า ปกติแล้วท่านอ๋องเป็นคนพูดน้อย พูดเพียงแค่ไม่กี่คำ แต่คำพูดทุกคำล้วนมีความหมาย ท่านจะต้องวิเคราะห์ทุก ๆ คำอย่างรอบคอบ เขาหมายความเพียงว่าผ้าแพรสีขาวชิ้นนี้เป็นของข้า ส่วนเรื่องที่ท่านถูกลอบสังหาร หรือว่าท่านอ๋องของข้าจะรู้ว่าท่านอยู่ในคฤหาสน์กลางดึก จึงตามไปดูเรื่องสนุกอย่างนั้นหรือ ? เลิกโวยวายไร้สาระสักทีจะได้ไหม ? มิเช่นนั้นหากท่านอ๋องของข้าโมโหแล้วตัดแขนตัดขาท่านขึ้นมา ข้าเองก็คงจนปัญญาที่จะช่วยได้”
หนานกงจี้หันมองเฟิ่งชิงหัวที่สีหน้าเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม จากนั้นจึงหันมองจ้านเป่ยเซียวที่แสดงสีหน้าหมดความอดทนอย่างชัดเจน
“พวกท่าน พวกท่านกำลังกลับผิดเป็นถูกชัด ๆ !”
จ้ายเป่ยเซียวยืนอยู่ด้านหลังเฟิ่งชิงหัว รูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่าหนานกงจี๋กว่าครึ่ง และมองดูเขาด้วยสายตาที่เย็นชา : “แล้วจะทำไม ?”
จ้านถิงเฟิงเห็นทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ก็รีบก้าวออกมาทันที : “ใจเย็น ๆ ก่อน ใจเย็น ๆ ก่อน นี่มาแก้ไขปัญหากันนะ ไม่ได้มาทะเลาะกัน หากคนอื่นมาเห็นเข้าจะรู้สึกอย่างไร”
เมื่อหนานกงจี๋เห็นจ้านถิงเฟิงเอ่ยปากขึ้น ก็รู้สึกเหมือนคว้าฟางเส้นสุดท้ายได้ในทันที : “องค์รัชทายาท พระองค์เสด็จมาได้เวลาพอดี ตอนนั้นในท้องพระโรง พระองค์เองก็อยู่ด้วย พระองค์ทรงบอกมาซิว่า อ๋องเจ็ดเป็นคนเอ่ยปากยอมรับเองว่า ตนเองรู้จักกับหญิงสาวที่ลอบสังหารหม่อมฉันใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จ้านถิงเฟิงพยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น : “เป็นเช่นนี้จริง ๆ”
“พวกเดียวกันชัด ๆ” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างเย็นชา
ในฐานะที่จ้านถิงเฟิงเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง จะปล่อยให้ผู้อื่นมาดูหมิ่นเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เมื่อได้ยินคำพูดของจ้านเป่ยเซียว สีหน้าก็หมองหม่นลงทันที ความสง่างามที่มีอยู่ตามปกติ ก็จางหายไปทันที : “จ้านเป่ยเซียว ! เจ้ากล้าลบหลู่เบื้องสูงอย่างนั้นหรือ !”
เดิมทีคิดว่าใบหน้าของเขาถูกทำลาย ขาทั้งสองข้างก็พิการ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ขาทั้งสองข้างของเขาหายเป็นปกตินานแล้ว และตอนนี้ก็ไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตา หรือว่า เขายังคิดที่จะแย่งชิงตำแหน่งนั้นกับตนเองอยู่ !
“เบื้องสูง ? เจ้าเป็นเบื้องสูงมาจากไหน ?” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จ้านถิงเฟิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นไว้ ตอนนี้ตนเองเป็นถึงองค์รัชทายาท ทุกคำพูดทุกการกระทำ ล้วนต้องรักษากิริยามารยาทเอาไว้
จ้านถิงเฟิงหันมองจ้านเป่ยเซียว : “ตามอายุแล้ว ท่านพี่ย่อมมีศักดิ์เหนือกว่า แต่ถ้าหาก”
จ้านถิงเฟิงยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกจ้านเป่ยเซียวพูดตัดบทเสียก่อน : “ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นพี่ของเจ้า ก็จงหุบปากเสีย เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น”
จ้านถิงเฟิงใบหน้าแข็งทื่อ แล้วหันมองจ้านเป่ยเซียวอย่างไม่อยากเชื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้
ความโกรธที่คุกรุ่นอยู่โดยรอบ ลดลงไปหลายระดับในทันที
ทุกคนต่างจับจ้องไปยังจ้านเป่ยเซียว มองดูคนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาผู้นี้ ทำท่าทางวางโตเช่นนี้ เกรงว่าคงมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะสามารถยับยั้งเขาได้
แต่ฮ่องเต้จะทรงทำเช่นนี้หรือ ?
หากฮ่องเต้ทรงควบคุมเขาได้จริง ทำไมจะต้องยกหน้าที่ในการสอบสวนเรื่องนี้ให้กับกรมคลัง แทนที่จะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตนเอง ?
ดูผิวเผินเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกังหา แต่อันที่จริงแล้ว เห็นได้ชัดว่าเข้าข้างเขา
“หลีกไป !” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างเย็นชา
จ้านถิงเฟิงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม กัดฟันหันมองหนานกงจี๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และสบตากัน
หลีก ? ทำเช่นนั้นก็คงต้องสูญสิ้นทั้งศักดิ์ศรีและเป้าหมายที่ต้องการ
ไม่หลีก ? คงต้องสูญสิ้นชีวิต
ลังเลเช่นนี้อยู่สักพัก โดยไม่มีใครขยับเขยื้อนไปไหน จากนั้นจึงเห็นจ้านเป่ยเซียวเดินก้าวไปข้างหน้า
คนที่อยู่ในเหตุการณ์รวมไปถึงจ้านถิงเฟิง ต่างดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระนก จากนั้นก็นึกถึงข่าวลือที่ตนเองเคยได้ยินขึ้นมาทันที
ก่อนที่จ้านเป่ยเซียวจะได้รับบาดเจ็บ เคยตัดหัวของแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามจากระยะห่างกว่าร้อยเมตร และฆ่ารัดคอคนสามพันคนที่สันเขาเฉียนสุ่ยด้วยตัวคนเดียว เลือดไหลนองอยู่ในสันเขาเฉียนสุ่ยสามวันสามคืนเต็ม ๆ แค่คิดก็รู้สึกขนลุกแล้ว
ส่วนหนานกงจี๋นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่จ้านเป่ยเซียวอายุได้สิบเจ็ดปี มีขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งถวายคำแนะนำต่อฝ่าบาทว่า จ้านเป่ยเซียวนั้นไม่เหมาะจะได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นท่านอ๋อง หลังจากนั้นก็ถูกจ้านเป่ยเซียวตัดมือหนึ่งข้างในที่เกิดเหตุ
หนานกงจี๋รู้สึนึกเสียใจที่หลัง ว่าตนเองไม่ควรใจร้อน ทำตัวเป็นศัตรูกับเทพสงครามแห่งประเทศเทียนหลิงเช่นนี้
แต่ยังไม่ทันที่จ้านเป่ยเซียวจะทำให้สถานที่แห่งนี้เกิดการนองเลือดขึ้น เฟิ่งชิงหัวก็ก้าวออกมาแล้ว นางยื่นมือออกมาดึงมือของจ้านเป่ยเซียว จากนั้นจึงหันมองทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างจนใจ : “องค์รัชทายาท เฉิงเซี่ยง ความเพียงข้างเดียวไม่อาจเชื่อได้ หากพวกท่านมีหลัฐานก็จงนำออกมาแสดงให้หมด แต่หากไม่มี พวกเราสองสามีภรรยาก็คงต้องขอตัวก่อน”
เมื่อได้ยินคำว่าสามีภรรยา จ้านเป่ยเซียวที่แต่เดิมกำลังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง ก็มีท่าทีสงบลงไปน้อย จากนั้นจึงหันมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสายตาที่แฝงด้วยความอ่อนโยนเล็กน้อย