พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 271 ส่งไปที่ตำหนักเย็น
เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ง่ายมากเพคะ ซีหลันเห็นนางกำนัลผู้นี้ ลมหายใจออกมาก แต่ลมหายใจเข้าน้อย ม้ามและกระเพาะอาหารต้องได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน พระองค์ส่งรับสั่งให้หมอหลวงมาตรวจดูว่า อาการบาดเจ็บนี้ของนาง มาจากฝีมือของคนคนเดียวหรือคนหลายคน เช่นนี้ก็ย่อมสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของซีหลันได้แล้วเพคะ”
ชูเฟยได้ยินดังนั้นก็รีบพูดขึ้นทันที : “เจ้าเป็นคนทำร้ายนางเองแท้ ๆ บาดเจ็บหนักหรือเบาเจ้ายังไม่รู้ชัดอีกหรือ ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเจ้ากับนางกำนัลของเจ้าทุบตีนางจนเป็นเช่นนี้”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว : “ชูเฟยเหนียงเหนียง ดูเหมือนท่านจะเห็นพวกเราสองคนแข็งแกร่งเกินไปหน่อยกระมัง ? พวกเราสองคนเป็นเพียงผู้หญิงที่อ่อนแอ จะทุบตีนางกำนัลคนหนึ่งได้อย่างไร ? ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเราจะสามารถทำให้นางบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ได้หรือไม่ ต่อให้ทำได้ นางกำนัลของท่านเป็นพวกโง่เขลาเบาปัญญาหรือ ? ถึงได้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นให้พวกเราทุบตี ไม่รู้จักตอบโต้ แม้กระทั่งหลบหลีกก็ทำไม่เป็นอย่างนั้นหรือ ? อีกอย่าง ตอนนั้นยังมีนางกำนัลอีกหลายคนยืนอยู่ข้างกายท่านไม่ใช่หรือ ? 0tทำเพียงแค่ยืนมองเฉย ๆ เช่นนี้อย่างนั้นหรือ ?”
มีหรือที่ชูเฟยจะคิดไว้มากมายเช่นนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงหัว ก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า : “ตอนนั้นเจ้าทุบตีอย่างโหดเหี้ยมขนาดนั้น ใครจะไปรู้ว่าแม้กระทั่งตัวข้า เจ้าจะกล้าทุบตีด้วยหรือไม่ แน่นอนว่าพวกนางต้องคอยคุ้มกันข้าไม่ใช่หรือ ?”
“ในตอนนั้นข้างกายของท่านก็น่าจะมีคนยืนอยู่สักสี่คนเห็นจะได้ ? สองคนช่วยกันดึงคนคนหนึ่งก็ยังดึงไม่ไหวอย่างนั้นหรือ ? อีกอย่าง ท่านบอกว่าตอนอยู่ที่สวนบุปผาหลวง ข้าเป็นคนตรงเข้าไปทำร้ายท่านก่อน นางกำนัลของท่านจึงเข้ามาขวางเอาไว้ไม่ใช่หรือ ? เช่นนั้นทำไมนางกำนัลคนอื่น ๆ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ ข้ากับนางกำนัลของข้าพุ่งเข้าทำร้ายคนเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ ? ชูเฟยเหนียงเหนียง ก่อนที่ท่านจะพูดโกหก ช่วยวางโครงเรื่องมาก่อนจะได้ไหม ยังจะพูดว่าตนเองเป็นถึงพระสนมอีก ไม่เป็นการอับอายขายหน้าหรอกหรือ ?”
เฟิ่งชิงหัวถามคำถามออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดหายใจ ชูเฟยไม่สามารถตอบโต้ได้สักข้อ จึงนั่งโกรธหน้าดำหน้าแดงอยู่ตรงที่นั่ง และพูดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว : “ใครจะไปรู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ข้าไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย จะไปรู้ได้อย่างไรว่า ทำไมเจ้าถึงลงไม้ลงมือกับนางกำนัลคนนั้น ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะโกรธแค้นที่นางเข้ามาปกป้องข้า หรืออาจเพราะเจ้าเห็นว่านางยืนอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นจึงได้ลงไม้ลงมือ ข้าไม่ใช่พยาธิที่อยู่ในท้องของเจ้าเสียหน่อย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”
เฟิ่งชิงหัวหันมอง : “หากชูเฟยเหนียงเหนียงไม่ใช่พยาธิที่อยู่ในใจของข้า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้ารู้สึกไม่พอใจท่าน ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ก็เตรียมลงไม้ลงมือกับท่านเสียแล้ว ซ้ำยังปล่อยให้นางกำนัลของท่านตั้งสติได้และก้าวเข้ามาปกป้องท่านอีกอย่างนั้นหรือ ?”
“เจ้า เจ้า เจ้ากำลังเล่นลิ้นชัด ๆ !” ขณะที่ชูเฟยพูดอยู่นั้น กลับหันมองฮ่องเต้เซวียนถ่ง และพูดขึ้นด้วยความน้อยใจว่า : “ฝ่าบาท คนผู้นี้กำลังเถียงข้าง ๆ คู ๆ ชัด ๆ พระองค์อย่าได้ทรงฟังนางโดยเด็ดขาดนะเพคะ ใครจะไปรู้ว่าที่จริงแล้วนางรู้วรยุทธ์ไม่แน่ว่านางอาจจงใจปิดบังอยู่ก็ได้ มีจิตใจที่คิดไม่ซื่อ”
เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นอย่างสุขุม : “ใครมีใจคิดไม่ซื่อ ฝ่าบาทเองย่อมรู้แก่พระทัยดี พวกท่านแต่ละคน เห็นว่าราชวงศ์ถูกหลอกได้ง่าย ๆ อย่างที่คิด จึงหลอกลวงราชวงศ์ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างนั้นหรือ ? มีหัวกันคนละกี่หัวกันแน่ ?”
คำพูดประโยคนี้ เสียดแทงเข้าไปในใจของฮ่องเต้เซีวยนถ่งทันที
เมื่อนึกถึงการหลอกลวงครั้งแล้วครั้งเล่าของตระกูลเจียงตระกูลนี้ นับว่าหลอกลวงพวกเขาสองพ่อลูกเหมือนเป็นคนโง่อย่างแท้จริง
ตอนที่องค์หญิงซีหลันเอ่ยถามออกมา ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติแล้ว พี่ชูเฟยมัวแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่อาจตอบคำถามได้ ดังนั้นใครผิดใครถูกจึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเกิดจากความอิจฉาริษยาและจ้องจะจับผิด เมื่อไม่ได้รับผลประโยชน์ก็เปลี่ยนเป็นใส่ความทันที
หากเป็นเมื่อก่อน ฮ่องเต้เซวียนถ่งอาจช่วยปิดบัง แต่เพราะยังรู้สึกโกรธอยู่ในใจ ประกอบกับที่องค์หญิงซีหลันจงใจเตือนสติ ทำให้ฮ่องเต้เซวียนถ่งตัดสินพระทัยออกมาทันที
“ทหาร ตามหมอหลวงมา”
หมอหลวงรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจดูอาหารบาดเจ็บแล้วก็พูดว่า : “ทูลฝ่าบาท นางกำนัลผู้นี้สิ้นลมแล้ว ก่อนตายถูกคนจำนวนมากทุบตีอย่างทารุณ จากแรงที่ใช้พอจะตัดสินได้ว่า น่าจะมีสักสี่หรือห้าคนพ่ะย่ะค่ะ”
สี่ห้าคน ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ นางกำนัลที่คอยติดตามชูเฟยยังมีอยู่อีกสี่คน
ความจริงปรากฏออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้
“ชูเฟย เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม !” ฮ่องเต้เซวียนถ่งหรี่ตาลง สีหน้าถมึงทึง
ชูเฟยรีบคุกเข่าลงทันที และโขกหัวลงกับพื้น : “ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้ว หม่อมฉันเพียงแค่ เพียงแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วย”
“เลอะเลือนไปชั่วขณะ ? ข้าว่าเจ้าเป็นโรคประสาทต่างหากล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องออกมาเพ่นพ่านด้านนอกอีกแล้ว ทหาร มีราชโองการลงไปว่า ให้ปลดนางออกจากตำแหน่งชูเฟย และส่งตัวไปขังไว้ในตำหนักเย็น ผู้อาวุโสสั่งสอนบุตรสาวไม่ดี ให้ถอดจากตำแหน่งผู้อาวุโส ส่วนเจียงซ่างซูให้ลดขั้นเป็นรองเจ้ากรม”
ชูเฟยมีสีหน้าตื่นตกใจสุดขีด คิดไม่ถึงเลยว่า แค่เรื่องเพียงเล็กน้อย จะทำให้ได้รับโทษหนักถึงเพียงนี้
สองพ่อลูกตระกูลเจียงไม่กล้าโต้แย้ง แต่ในใจนั้นรู้ดีว่า ที่ฝ่าบาททำลงไปไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เท่านั้น เพียงแต่ให้ชูเฟยเป็นผู้รับโทษ
ฮ่องเต้เซีวยนถ่งมองดูหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่กลางตำหนักใหญ่ด้วยท่าทีหยิ่งยโส แล้วพูดอย่างสุขุมว่า : “เรื่องของชูเฟยถือเป็นความผิดของนาง แล้วเรื่องของอ๋องเจ็ดล่ะ เจ้าจะยอมรับผิดไหม ?”
เฟิ่งชิงหัวเอ่ยตอบ : “ซีหลันไม่ทราบว่าตนเองทำผิดอะไรเพคะ”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งแสยะยิ้ม : “เจ้าไม่รู้ หรือไม่คิดว่าตนเองมีความผิดกันแน่ ? ตอนนี้อ๋องเจ็ดมีพระชายาแล้ว ต่อให้เจ้าจะหลงใหลคลั่งไคล้มากเพียงใด ก็ควรตระหนักถึงฐานะของตนเองเอาไว้บ้าง กล้าเสียมารยาทต่อหน้าธารกำนัลในตำหนักใหญ่ ไม่ใช่เรื่องผิดอย่างนั้นหรือ ?”
“เช่นนั้นขอทูลถามฝ่าบาท ซีหลันเสียมารยาทตรงไหนหรือเพคะ ?”
“ดื้อดึงยิ่งนัก !” ฮ่องเต้เซวียนถ่งโกรธจัด : “เด็ก ๆ เล่าสิ่งที่องค์หญิงซีหลันกระทำออกมาต่อหน้าทุกคน อย่าอยากจะรอดูซิว่า นางจะอธิบายเช่นไร !”
ข้ารับใช้ในวังที่คอยกระซิบอยู่ข้างหูขอฮ่องเต้เซวียนถ่งเมื่อครู่ ออกมายืนอยู่ด้านหน้า แล้วอธิบายอย่างชัดเจนอีกครั้ง : “องค์หญิงซีหลันเป็นฝ่ายเข้าไปพูดคุยกับท่านอ๋องก่อน จากนั้นเมื่อไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง ก็มาตะโกนสาปแช่งอยู่ในตำหนักใหญ่ ซ้ำยังข่มขู่ว่าจะลงไม้ลงมือกับท่านอ๋อง จากนั้น ก็จงใจสาดน้ำใส่ท่านอ๋อง และฉวยโอกาสลวนลามท่านอ๋อง ตอนนั้นทุกคนที่อยู่ในตำหนักใหญ่ต่างก็เห็นกันหมด ล้วนเป็นพยานให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาอำมาตย์ต่างพยักหน้า เพื่อแสดงออกว่าคนรับใช้ผู้นี้พูดขาดตกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีคำพูดประโยคไหนที่ไม่เป็นความจริงเลย
อีกทางด้านหนึ่ง องค์หญิงเหออานรีบเดินออกมา แล้วช่วยกล่าวอ้อนวอนขอความเห็นใจ : “เสด็จพ่อ องค์หญิงซีหลันใช้ชีวิตอยู่ในเป่ยเว่ย คงไม่รู้ข้อควรระวังระหว่างชายหญิงของเทียนหลิงเรา ดังนั้นจึงกระทำการบุ่มบ่ามเกินไปหน่อย ขอเสด็จพ่อทรงโปรดอภัยให้นางสักครั้ง นี่ก็แสดงให้เห็นว่านางนั้นมีความจริงใจต่อท่านพี่เจ็ด ท่านพ่อทรงเห็นแก่ความจริงใจที่นางมีต่อท่านพี่เจ็ด อภัยให้นางสักครั้งเถอะนะเพคะ”
“เหออาน เจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้” ไทเฮาพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ : “หากเป็นเพราะความจริงใจของนางจึงควรได้รับการอภัย เช่นนั้นหากนางใช้ความจริงใจกระทำเรื่องที่รุนแรงขึ้นมา นั่นก็เป็นสิ่งสมควรอย่างนั้นหรือ ? ในเมื่อควบคุมความเหมาะสมไม่ได้ได้รับโทษก็ถือเป็นเรื่องสมควรแล้ว”
“เสด็จแม่ตรัสถูกแล้วเพคะ พฤติกรรมเช่นนี้ของซีหลัน ไม่เหมาะที่จะเป็นพระชายาจริง ๆ หากต่อไปปล่อยให้นางได้เป็นพระชายาของตระกูลไหนเข้าจริง ๆ คงต้องทำให้ครอบครัวลุกเป็นไฟเพราะจิตใจที่อิจฉาริษยาอย่างแน่นอน” ฮองเฮาพูดขึ้นตามมาทันที
ฮ่องเต้เซวียนถ่งหันมองเฟิ่งชิงหัว : “องค์หญิงซีหลัน หากเจ้ายอมรับ ข้าก็จะลงโทษสถานเบา มิเช่นนั้น จากนี้ไปเกรงว่าเจ้าคงหาคู่ครองที่ดีได้ยากแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวแอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ หากยอมรับเช่นนี้ ก็คงยากที่จะไถ่ถอนได้อีก
ถึงแม้จุดประสงค์ของนางคือไม่ต้องการให้องค์หญิงซีหลัน แต่งงานเข้าจวนอ๋องเจ็ดและจวนรัชทายาท แต่ก็ใช่ว่านางคิดจะทำร้ายผู้อื่นจนกระทั่งไม่อาจแต่งงานได้อีก
อย่างไรเสีย วันนี้นางก็ได้ล่วงเกินทั้งคนที่ควรล่วงเกินและไม่ควรล่วงเกินไปเกือบหมดแล้ว
เฟิ่งชิงหัวเอ่ยปากพูดว่า : “ฝ่าบาท เมื่อครู่ที่ข้ารับใช้ผู้นี้พูดมา ไม่นับว่าเป็นความจริง”
“หากสิ่งที่ทุกคนเห็นไม่ใช่ความจริง แล้วอะไรคือความจริงล่ะ ?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งหัวเราะเยาะ : “เดิมทีข้านึกว่าเจ้าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนที่กล้าทำไม่กล้ารับเช่นนี้”