เพี๊ยะ!
ก่อนที่หนีหู่จะทันได้พูดจบ ฝ่ามือของคนคนหนึ่งก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าของเขาจนเกิดเสียงดัง!
หนีหู่หันหน้ากลับไปมองเจ้าของมือนั้นด้วยความไม่เชื่อ แม้แต่ดวงตาของเขาก็ยังสั่นระริก ”ท่านพ่อ ท่าน…”
”อะไรของเจ้า ขอโทษพวกเขาเดี๋ยวนี้!” หนีเปียวบอกพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรง แล้วจ้องมองบุตรชายด้วยสายตาร้ายกาจ หนีหู่จึงได้แต่ยอมเงียบเสียงลง
หนีเปียวยากจะฝืนยิ้มต่อได้หลังจากตบหน้าบุตรชายสุดที่รักของตัวเองต่อหน้าทุกคน เขาหมุนตัวกลับไป แล้วเอ่ยติดจะประหม่าว่า ”ตระกูลหนีไม่เคยกลับคำ บุตรชายของข้าเป็นคนบุ่มบ่ามมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เขาก็เป็นเด็กที่มีนิสัยตรงไปตรงมา จนบางครั้งอาจจะดูเถรตรงเกินไป น้องชาย เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ในเมื่อหลังจากนี้พวกเราทุกคนต่างต้องเดินทางเข้าสู่สุสานหลวง ตระกูลหนีของพวกเราจะยกโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬตรึงอสูรให้ท่านและสหายสักสามเส้นแทนคำขอโทษจากใจจริงก็แล้วกัน อย่างไรพวกเราก็เข้าใจเจ้าผิดไป ได้โปรดยอมรับคำขอโทษของพวกเราด้วยเถิด”
”โซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬตรึงอสูรสามเส้นหรือ?!” ดวงตาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ เป็นประกายทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย โซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬนับว่าเป็นอุปกรณ์ชั้นเยี่ยมสำหรับจัดการปีศาจและภูตผีวิญญาณ ไม่เพียงแต่ใช้ได้ผลกับปีศาจเท่านั้น แต่มันยังสามารถใช้ตรึงผีดิบที่อยู่ในสุสานหลวงได้อีกด้วย
ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะเจอกับอะไรตอนอยู่ในสุสานหลวง
แต่ผีดิบเป็นความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในสมองของพวกเขา
ตำรา ’ศาสตร์หยินหยางแห่งการขับไล่วิญญาณร้าย’ กล่าวเอาไว้ว่าศพของฮ่องเต้และชนชั้นสูงมักจะมีไข่มุกอยู่ในปาก ร่างของเขาล้วนแต่ห่อหุ้มไปด้วยทองคำและหยกล้ำค่า มีสร้อยหยกปกป้องหัวใจอยู่เหนือหน้าอก และถือหยกหรูอี้[1]ไว้ในมือ แม้กระทั่งจุดสงวนของพวกเขาก็ยังเต็มไปด้วยอัญมณีมีค่ามากมาย
หยกและอัญมหณีเหล่านี้มีหน้าที่รักษาศพไม่ให้เกิดการเน่าเปื่อย
และด้วยเหตุนี้ ศพประเภทนี้จึงสามารถกลายเป็นผีดิบได้ง่ายที่สุด
ผีดิบคือสิ่งที่ติดอยู่ในสภาวะเปลี่ยนผ่านระหว่างความเป็นและความตาย ในทางศาสนาพุทธมักจะเรียกสภาวะนี้ว่า ”สภาวะระหว่างกลาง” ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อได้รับแรงกระตุ้นบางอย่างจากภายนอก ว่ากันว่ามีแรงกระตุ้นจากภายนอกนี้มีอยู่สิบแปดชนิดด้วยกัน มันจึงสามารถสร้างผีดิบขึ้นมาได้ถึงสิบแปดชนิดนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่นการที่ศพเคลื่อนไหวได้เมื่อมีแมวกระโดดข้ามอกในคืนเดือนมืด
อีกตัวอย่างหนึ่งคือกรณีนี้ เมื่อซากศพที่ยังไม่เน่าเปื่อยได้สัมผัสกับพลังหยินที่อยู่ใต้ดิน เมื่อใดที่มีมนุษย์บังเอิญสัมผัสกับศพที่อยู่ในโลงเข้า พลังหยินและพลังหยางจะหลอมรวมกันจนเกิดเป็นผีดิบขึ้นมา
โดยทั่วไปแล้ว สมบัติล้ำค่ามักจะถูกวางไว้ใกล้กับโลงศพและศพพวกนั้น ดังนั้นหากพวกเขาต้องการพระสรีระของภิกษุชื่อดังดังกล่าว พวกเขาย่อมจำเป็นต้องผ่านโลงศพเหล่านี้ไปให้ได้เสียก่อน
เมื่อเป็นเช่นนั้น โซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬตรึงอสูรจึงเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่สำคัญอย่างยิ่งยวด
อย่างน้อยมันก็สามารถทำให้พวกเขาใจชื้นขึ้นมาได้ เพราะมันสามารถใช้ตรึงร่างของซากศพเดินได้ได้ในทันที
อย่างไรศพที่อยู่ในสุสานโบราณแห่งนี้ก็ไม่ใช่ศพธรรมดา
กับซากศพเดินได้ธรรมดานั้น เราใช้ยันต์ทั่วไปเพียงแผ่นเดียวก็สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของมันได้ชั่วคราว
แต่พวกเขาไม่สามารถพูดเช่นเดียวกันนั้นกับศพที่อยู่ในสุสานหลวงได้ เพราะยันต์เหล่านั้นใช้กับพวกมันไม่ได้ผล
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนต่างก็เข้าใจความจริงข้อนี้ดี ดังนั้นราคาของโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬตรึงอสูรจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างมากก่อนการแข่งขัน
แต่ตอนนี้หนีเปียวกลับใจกว้างยอมมอบโซ่พวกนี้ให้พวกเขาถึงสามเส้นแทนคำขอโทษ
เป็นใครก็คงตกลงรับข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้กันทั้งนั้น!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายรอบตัวพวกเขาต่างรู้สึกอิจฉา พวกเขาหันหน้าไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวย
หนีเปียวมั่นใจทีเดียวว่าต่อให้เขาจะไม่พอใจเพียงใด แต่อีกฝ่ายก็จะต้องยอมรับข้อเสนอของเขาอย่างแน่นอน อย่างไรโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬตรึงอสูรก็มีค่ามากกว่าคำขอโทษปากเปล่านัก
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะไม่มีวันยอมให้ทั้งสามคนทำให้บุตรชายของเขาต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้แน่
เพราะนั่นย่อมเป็นการนำความอัปยศมาให้กับชื่อเสียงของตระกูลหนี
ต่อให้ในภายภาคหน้าเขาจะได้เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งเมือง และโลกทั้งใบมาไว้ในมือ แต่ความอัปยศนี้ย่อมติดตัวเขาไปตลอดกาล!
ดังนั้นเขาจึงต้องป้องกันไม่ให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!
ความจริงเขารู้ดีว่าคนพวกนี้ยึดติดกับตระกูลหนีของพวกเขาเพียงเพราะต้องการผลประโยชน์บางอย่างจากสถานการณ์นี้
เพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเขามักจะมาพร้อมกับการอิจฉาริษยาจากคนอื่นอยู่เสมอ
ดังนั้นเขาจึงยินยอมที่จะมอบผลประโยชน์ที่ว่านั่นให้กับพวกเขาเพื่อปิดปาก!
หนีเปียวเริ่มทำตามแผน เขากำลังจะสั่งให้ลูกศิษย์ไปหยิบโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬตรึงอสูรออกมา
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับพูดขึ้นอย่างไม่แยแสว่า ”ลืมเรื่องโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬตรึงอสูรนั่นไปซะ พวกข้าสนใจเพียงแค่เงื่อนไขที่นายน้อยหนีตกลงเอาไว้เท่านั้น”
น้ำเสียงของนางยังคงไม่สะทกสะท้านเหมือนอย่างเคย แต่มันก็แฝงไปด้วยความสง่างามและเกียจคร้าน
คนสองคนมักจะมีพฤติกรรมคล้ายกันเมื่ออยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน
แต่เดิมนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มีบางจุดที่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่เมื่อถึงตอนนี้ ท่าทางตอนที่พวกเขาคุยกับคนอื่นก็ยิ่งดูเหมือนกันไม่มีผิด
พวกเขาไม่จำเป็นต้องวางท่าใหญ่โต เพียงแค่ตวัดสายตามองแวบเดียวก็สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี
หนีเปียวนึกไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬตรึงอสูรทั้งสามเส้นนั้น รอยยิ้มชั่วร้ายของเขาหายวับไปทันทีที่ได้ยินคำตอบของเฮ่อเหลียนเวยเวย!
หนีหู่ไม่พอใจกับคำตอบนั้นอย่างมาก เขาโกรธจนตัวสั่น เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาถึงกับปูดออกมา! เขาจ้องมองด้วยสายตาอันตราย เขาอยากกัดอีกฝ่ายให้ตายยิ่งนัก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาด้วยซ้ำ ใบหน้าด้านข้างขาวผ่องราวกระเบื้องเคลือบนั้นยังคงสุขุมเยือกเย็นเช่นเดิม ความจริงแล้วมีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจำนวนไม่น้อยเลยที่รู้สึกประทับใจในตัวนาง
”เงื่อนไขที่นายน้อยหนีตกลงเอาไว้หรือ” ในที่สุดก็มีคนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”หมายความว่าเขาต้องคุกเข่าหรือ”
ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันไปจับจ้องอยู่ที่ตระกูลหนี!
การทำเช่นนั้นอาจไม่จำเป็นในสถานการณ์นี้ แต่นายน้อยหนีเป็นคนที่ตั้งเงื่อนไขขึ้นมาเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนอื่นจะต้องการให้เขาทำตามที่พูด
”ท่านพ่อ” หนีหู่ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอความช่วยเหลือจากหนีเปียว
หนีเปียวไม่เคยรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองมากถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต เขาไม่เคยคิดที่จะฆ่าใคร แต่ตอนนี้ความอยากฆ่าคนกลับกำลังเริ่มแตกหน่ออยู่ภายในใจของเขา
แต่เขารู้ดีว่าเขาไม่อาจหันหลังกลับได้
หนีเปียวสูดลมหายใจเข้าลึก คำพูดทุกคำของเขาราวกับถูกเค้นออกมาจากฟันที่ขบกันแน่น ”ขอโทษพวกเขา แต่จากนี้เป็นต้นไป ถ้าพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งได้รับอันตรายในสุสานหลวง อย่าได้คิดล่ะว่าตระกูลหนีจะช่วยเหลือเจ้า!”
นี่เป็นคำขู่อย่างไม่ต้องสงสัย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาราวกับไม่ได้ถือคำพูดของเขาเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า ”นายท่านหนี ข้ามีบางอย่างจะมอบให้ท่าน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นเสียที ถ้านายน้อยหนียอมขอโทษพวกข้า ข้าจะนำของสิ่งนั้นมาแสดงให้ท่านดูก็แล้วกัน”
หนีเปียวไม่คิดที่จะต่อบทสนทนากับเฮ่อเหลียนเวยเวยอีก เขาเบือนหน้าหนีไปอีกทางด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
หนีหู่รู้ว่าเขาไม่สามารถพูดอะไรได้อีก สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้คือการก้าวเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยและคนอื่นๆ เท่านั้น…
[1] หรูอี้เป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล คำว่า 如 หรือ หรู แปลว่า ‘เหมือน, เป็นดั่งเช่น’ ส่วนคำว่า 意 หรือ อี้ แปลว่า ’ความคิด, ความต้องการ’ รวมแล้ว 如意 หรือ หรูอี้ จึงมีความหมายอันเป็นมงคลคือ ’เหมือนดั่งที่ต้องการ’