กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 6 ลูกกลอนเสริมกำลัง

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        เมื่ออวิ๋นโม่และเมิ่งเอ๋อร์ได้รับลูกกลอนเสริมกำลังก็พากันกลับไป อวิ๋นโม่ตัดสินใจรีบใช้ลูกกลอนเสริมกำลังเหล่านี้ฝึกฝน แม้เขาจะมั่นใจว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้ตนจะสามารถเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้ แต่ช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนนับว่ากระชั้นชิด เขาไม่อาจปล่อยให้เสียเวลาเปล่า 

 

        ระหว่างทางกลับ เขาบังเอิญพบกับบริวารที่ประมุขตระกูลส่งมาเชิญ หากเป็นบุคคลอื่น อวิ๋นโม่คงไม่สนใจ แต่ประมุขตระกูลดีต่อพวกเขาไม่น้อย อวิ๋นโม่จึงมิได้ปฏิเสธ เขาส่งถุงบรรจุลูกกลอนเสริมกำลังให้เมิ่งเอ๋อร์ก่อนเอ่ย “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อน ข้าไปพบประมุขตระกูลเสร็จแล้วจะกลับไป”

        จากนั้นอวิ๋นโม่ก็ติดตามบริวารผู้นั้นไปยังหอประชุม ซึ่งเป็นศูนย์กลางของตระกูลอวิ๋น

        ประตูใหญ่ถูกเปิดออก อวิ๋นโม่เดินเข้าไปตามลำพัง บ่าวรับใช้ค่อยๆ ปิดประตูตามหลัง หลังคาของห้องโถงมุงด้วยกระเบื้องที่ทำจากหินผลึกโปร่งใสจำนวนมาก ดังนั้นแม้จะปิดประตูแล้ว ด้านในก็ยังคงสว่างมาก อวิ๋นโม่มองเห็นประมุขตระกูลนั่งอยู่บนที่นั่งตำแหน่งประมุขตั้งแต่แวบแรก จากความทรงจำที่ได้รับมาจากอวิ๋นโม่คนก่อน เขามั่นใจว่าบรรยากาศรอบกายของประมุขตระกูลเปลี่ยนแปลงไป เมื่อคิดได้ว่าคนตรงหน้าเพิ่งออกจากการปิดด่านฝึกตนก็คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะมีความก้าวหน้าครั้งใหญ่

        อวิ๋นโม่รีบสาวเท้าไปเบื้องหน้า โค้งคำนับพร้อมเอ่ย “อวิ๋นโม่น้อมพบประมุขตระกูล ขอแสดงความยินดีที่ประมุขตระกูลฝึกสำเร็จ!”

        “หือ” อวิ๋นเว่ยเซิงประมุขตระกูลอวิ๋นมองอวิ๋นโม่ด้วยความแปลกใจ เขาเป็นยอดฝีมือระดับก่อจิต แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรทั่วไปก็ยังมองไม่ออกว่าเขาเลื่อนระดับพลัง แล้วอวิ๋นโม่ที่ถูกผู้คนในตระกูลอวิ๋นมองเป็นตัวไร้ค่ารู้ได้อย่างไร

        “เจ้ารู้หรือว่าข้าบรรลุขอบเขตใหม่” อวิ๋นเว่ยเซิงไต่ถาม

        “ข้าเพียงรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายท่านประมุขตระกูลไม่เหมือนเดิม ประกอบกับหลายวันก่อนประมุขตระกูลปิดด่านฝึกตน จึงบังอาจคาดเดาว่าการกักตนครั้งนี้บรรลุผลสำเร็จ ไม่ใช่ว่าข้าสามารถมองระดับของท่านประมุขตระกูลออกแต่อย่างใด”

        ชาติก่อนอวิ๋นโม่คือจอมโอสถผู้สรรค์สร้างเทพจักรพรรดิลั่วเทียนขึ้นมา ยังจะมียอดยุทธ์ขอบเขตใดที่เขาไม่เคยพบเห็น แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ก้าวสู่ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์ แต่ประสบการณ์และความสามารถในการรับรู้ย่อมเหนือกว่าคนทั่วไป

        อวิ๋นเว่ยเซิงพยักหน้า จากนั้นโคลงศีรษะ “แม้พรสวรรค์ของเจ้าไม่ดีสักเท่าไร แต่ความตั้งใจและความเฉลียวฉลาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลูกหลานและศิษย์คนอื่นจะเทียบได้ เฮ้อ! ช่างน่าเสียดาย…” 

        “ไม่ทราบว่าท่านประมุขตระกูลเรียกพบอวิ๋นโม่ด้วยเรื่องอันใด” อวิ๋นโม่สอบถาม

        อวิ๋นเว่ยเซิงมองอวิ๋นโม่ แววตาแฝงความสำนึกผิดเลือนราง “อวิ๋นโม่ หลายปีมานี้ครอบครัวพวกเจ้าต้องลำบากแล้ว นี่เป็นความผิดของประมุขตระกูลอย่างข้า หากข้าเข้มงวดกับพวกเขาอีกสักหน่อย พวกเจ้าก็คงไม่ต้องถูกข่มเหงรังแกเช่นนี้ ต่อไปข้าจะดูแลเอาใจใส่พวกเจ้าให้มากขึ้น ไม่ให้พวกเจ้าต้องกล้ำกลืนอีก”

        อวิ๋นโม่ส่ายหน้าเอ่ยว่า “หลายปีมานี้หากไม่ได้ประมุขตระกูลดูแล เกรงว่าครอบครัวของข้าคงถูกขับไล่ออกจากตระกูลอวิ๋นไปนานแล้ว ท่านประมุขตระกูลมีบุญคุณต่อพวกข้า”

        นี่ไม่ใช่อวิ๋นโม่ต้องการประจบประแจง แต่เป็นเพราะมีอวิ๋นเว่ยเซิงอยู่ ตลอดมาพวกอวิ๋นเลี่ยจึงไม่กล้าลงมือเกินขอบเขต

        อวิ๋นเว่ยเซิงถอนหายใจอีกครั้ง เด็กที่มีมารยาทและรู้ความเช่นนี้ ทำไมถึงด้อยพรสวรรค์นัก

        “ได้ยินมาว่าเจ้าท้าประลองอวิ๋นเลี่ยในอีกหนึ่งเดือนให้หลังหรือ”

        “ขอรับ!”

        “เด็กโง่ เรื่องนี้ให้พอแค่นี้เถอะ ข้าจะออกหน้ายกเลิกการประลองนี้เอง เจ้าวางใจได้ มีข้าอยู่ พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรแน่ เรื่องทรัพยากรในการฝึกฝนของเจ้า ขอเพียงเป็นลูกหลานหรือศิษย์ในตระกูลที่มีอายุตั้งแต่สิบถึงสิบหกปีย่อมต้องได้รับส่วนแบ่ง นี่เป็นกฎระเบียบที่บรรพชนกำหนดไว้ หลังจากวันนี้ข้าจะเข้มงวดกับพวกลูกศิษย์ในตระกูล ไม่ปล่อยให้พวกเขารังแกเจ้าได้อีก”

        ในสายตาของอวิ๋นเว่ยเซิง การประลองของอวิ๋นโม่ จะต้องเกิดขึ้นเพราะถูกบีบบังคับเป็นแน่ อวิ๋นโม่จะเป็นคู่ต่อสู้ของอวิ๋นเลี่ยได้อย่างไร หากเขาไม่ออกหน้า เช่นนั้นทรัพยากรในส่วนของอวิ๋นโม่จะต้องถูกอวิ๋นเลี่ยฉกฉวยไป การประลองเป็นเรื่องที่ทางตระกูลอนุญาตให้ทำได้ แต่หากปรากฏผลลัพธ์แล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจแทรกแซง ดังนั้นหากคิดจะช่วยอวิ๋นโม่ย่อมต้องลงมือในตอนนี้

        อวิ๋นโม่ซาบซึ้งใจไม่น้อย คนเกือบทั้งตระกูลไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาและดูถูกเขา แต่ประมุขตระกูลกลับใส่ใจเขา เดิมทีอวิ๋นโม่ไม่มีความรู้สึกดีอันใดต่อตระกูลอวิ๋น ยามนี้จึงตัดสินใจว่า วันหน้าเมื่อแข็งแกร่งแล้ว จะต้องดูแลตระกูลอวิ๋นบ้าง แต่ว่าเรื่องในตอนนี้ เขาไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร ด้วยฐานะของเขาในตระกูลอวิ๋น หากคิดจะจัดการอวิ๋นเลี่ย มีแต่ต้องอาศัยการเดิมพันต่อสู้เท่านั้น

        เด็กหนุ่มคำนับประมุขตระกูลอีกครั้ง “ขอบคุณท่านประมุขตระกูลที่ใส่ใจ แต่ว่าเรื่องการเดิมพันต่อสู้  ข้าไม่คิดจะคืนคำ”

        เมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นโม่ อวิ๋นเว่ยเซิงก็ร้อนใจขึ้นมา “อะไรนะ เจ้าเป็นฝ่ายเสนอตัวประลองกับอวิ๋นเลี่ยหรือ”

        “เป็น​ข้าที่เสนอขึ้นมาเองขอรับ”

        “ไม่ได้ ข้าจะไม่ปล่อย​ให้​เจ้า​กระโดด​ลงไปบนกองเพลิง” 

        “ท่าน​ผู้​นำตระกูล​ นี่​เป็น​ความเต็มใจ​ของ​ข้า อีก​ทั้ง​ข้าก็อาจจะไม่แพ้” 

        “เด็ก​น้อย เจ้ารู้หรือไม่​ว่า หากการประลอง​เริ่ม​ขึ้น​แล้ว แม้​แต่​ข้าก็ไม่อาจยื่นมือแทรกแซง​ ยามนี้อวิ๋นเลี่ย​มีพลังระดับเสริมกำลัง​ขั้นแปดชั้นฟ้าแล้ว หลังจาก​นี้อีกหนึ่งเดือน ต่อให้​ไม่อาจบรรลุขั้นเก้าชั้นฟ้า แต่อย่างน้อย​ก็​คงถึง​ขั้นแปดชั้นฟ้าสูงสุด ด้วย​ความ​สาม​ารถของ​เจ้า จะเอาชนะ​เขาได้อย่างไร”

        “ข้าตัดสินใจ​แล้วขอรับ ไม่มีทาง​เปลี่ยนใจ​​แน่นอน ​ความปรารถนา​ดีของท่านประมุข อวิ๋นโม่จะจดจำใส่ใจตลอด​ไปขอรับ”

        “เฮ้อ เด็ก​น้อย ไยจึงดื้อดึง​ถึง​เพียงนี้”

        อวิ๋นโม่เผยรอยยิ้ม​ เอ่ยว่า “เมื่อถึง​เวลา ขอท่านประมุขโปรดมา​เป็น​พยานให้​พวกข้าด้วยนะขอรับ เช่นนี้​เมื่อผลออกมา สองฝ่ายจะได้ไม่มีผู้ใดกล้าผิดคำพูด”

        “แล้วไปเถอะ ในเมื่อ​เจ้าตั้งใจ​เช่นนี้​ ข้ายังจะพูดสิ่งใดได้อีก ถึงตอนนั้น​หากทรัพยากร​ในส่วนของเจ้าถูกอวิ๋นเลี่ยยึดไปก็​อย่าได้โทษว่าข้าไม่ช่วยเหลือ​แล้วกัน” อวิ๋นเว่ยเซิงเอ่ยอย่าง​จนปัญญา​

        “อวิ๋นโม่​ต้องขอบคุณ​ท่านประมุขตระกูลต่างหาก” เด็กหนุ่มเอ่ย หากไม่​มีประมุขตระกูล​ เมื่อเขาเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้แล้ว ผู้​อาวุโส​แปดคงไม่มีทางยินยอมมอบรางวัลเดิมพันแน่ ​“หากท่านประมุขตระกูล​ไม่มีเรื่อง​อื่น อวิ๋นโม่คงต้องขอตัวแล้ว”

        “อืม ไปเถอะ” อวิ๋น​เว่ยเซิงโบกมือ

        อวิ๋นโม่หันหลังเดินจากไป ภายในห้องกว้างใหญ่เหลือเพียงเสียงถอนหายใจของอวิ๋นเว่ยเซิง

        ยังเดินไม่ทันถึงบ้าน อวิ๋นโม่ก็เห็นหลีเยียนเดินวนไปมาอย่างร้อนใจตั้งแต่อยู่ไกลๆ

        “ท่านแม่ ทำไมจึงมายืนที่หน้าประตู”

        หลีเยียนไม่พูดอะไร รีบดึงอวิ๋นโม่เข้าไปในเรือน อวิ๋นโม่มองอย่างประหลาดใจ บนโต๊ะมีห่อสัมภาระหลายใบ น้องสาวก็กำลังเก็บข้าวของ

        “ท่านแม่กำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ”

        “ย่อมต้องไปจากบ้านตระกูลอวิ๋นน่ะสิ!” หลีเยียนพูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย “อวิ๋นเลี่ยผู้นั้นจิตใจอำมหิตลงมือโหดเหี้ยม เขาต้องอาศัยการประลองฆ่าเจ้าแน่! พวกเราต้องไปจากบ้านตระกูลอวิ๋น ออกจากประตูหลังไปเงียบๆ และไม่กลับมาอีก แม่ไร้ความสามารถ ทำให้เจ้ากับเมิ่งเอ๋อร์ต้องได้รับความลำบากในบ้านตระกูลอวิ๋น แต่ว่าโม่เอ๋อร์ พวกเจ้าไม่ต้องกลัว แผ่นดินกว้างใหญ่ ต้องมีสถานที่ให้พวกเราพักพิง”

        ได้ยินคำพูดของมารดา เห็นท่าทางกังวลใจของนาง หัวใจของอวิ๋นโม่ก็รู้สึกเจ็บปวด หากตอนนี้เขามีกำลังแข็งแกร่ง มารดาและเมิ่งเอ๋อร์ก็คงไม่ต้องถูกรังแก ทั้งยังไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว

        “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องเก็บของแล้ว” อวิ๋นโม่กลืนก้อนสะอื้นก่อนเอ่ยกับเมิ่งเอ๋อร์

        เมิ่งเอ๋อร์ชะงักมือ หลีเยียนผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ยังคงเป็นโม่เอ๋อร์ที่คิดอ่านรอบคอบ หากพวกเรานำสิ่งของไปมากมาย ผู้อื่นยิ่งพบเห็นได้ง่าย เช่นนั้นพวกเราก็เก็บแต่เงินทองของมีค่าไป เสื้อผ้าไม่ต้องเอาไปแล้ว ข้าวของยิ่งน้อยยิ่งดี!”

        “ท่านแม่ ท่านนั่งลงก่อน” อวิ๋นโม่ดึงหลีเยียนนั่งลง

        หลีเยียนยังคงพูดต่อ “ไม่ได้นะ จะช้าไม่ได้แล้ว หากผู้อื่นพบเห็น ผู้อาวุโสแปดจะต้องไม่ปล่อยให้พวกเราจากไปแน่! โม่เอ๋อร์ พวกเขาโหดเหี้ยม ซ้ำยังต้องการเอาชีวิตเจ้า! แม่ใช้การไม่ได้ ไม่อาจดูแลพวกเจ้าให้ดี โม่เอ๋อร์ แม่ไม่อาจเสียเจ้าไป”

        หลีเยียนพูดแล้วก็ร้องไห้ทันที หลายปีมานี้นางทนรับสายตาดูถูกและการดูหมิ่นจากคนในตระกูลอวิ๋นมาไม่น้อย วันทั้งวันคอยเป็นห่วงความปลอดภัยของอวิ๋นโม่ นับว่ามีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก

        “ท่านแม่…” เมิ่งเอ๋อร์เห็นหลีเยียนน้ำตาไหลก็อดร้องไห้ตามไม่ได้

        “ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้ มา นั่งลงก่อนเถอะ” อวิ๋นโม่ดึงหลีเยียนนั่งลง รอจนนางสงบอารมณ์ได้แล้วค่อยเอ่ย “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลใจไป ข้าไม่มีทางเกิดเรื่อง อวิ๋นเลี่ยผู้นั้นฆ่าข้าไม่ได้ อีกหนึ่งเดือนให้หลัง เขาไม่มีทางสู้ข้าได้แน่นอน!”

        “แต่ว่าตอนนี้เจ้าอยู่แค่ระดับเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้า ส่วนอวิ๋นเลี่ย…” หลีเยียนมองอวิ๋นโม่ จะอย่างไรก็ไม่เชื่อคำพูดของเขา

        “ท่านแม่ หลังจากเส้นชีพจรของข้าเชื่อมต่อกันแล้ว พรสวรรค์ในการฝึกฝนของข้าก็เปลี่ยนไป ไม่มีทางเป็นเหมือนในกาลก่อน อีกทั้งข้ายังได้เรียนรู้ตำราแพทย์บางอย่าง สามารถส่งเสริมการฝึกฝนของข้าได้ อีกหนึ่งเดือนให้หลัง อวิ๋นเลี่ยไม่มีทางต่อกรข้าได้!” อวิ๋นโม่เอ่ยอย่างมั่นใจ น้ำเสียงสงบนิ่ง เขาต้องทำให้มารดาและน้องสาววางใจ ดังนั้นมีแต่ต้องบอกว่าพรสวรรค์ยุทธ์ของตนเองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มารดาจึงจะวางใจได้

        “โม่เอ๋อร์ เจ้ามั่นใจว่าอีกหนึ่งเดือนให้หลังจะสามารถเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้จริงๆ หรือ” หลีเยียนถาม คราวนี้น้ำเสียงไม่เคลือบแคลงเท่าไรแล้ว อวิ๋นโม่บอกว่าพรสวรรค์ยุทธ์ของเขาเปลี่ยนไปแล้ว นางไม่ทันได้สังเกต แต่สนใจคำพูดที่ว่าเขาได้เรียนวิชาแพทย์ นึกถึงก่อนหน้านี้ ตอนที่เส้นชีพจรขาดสะบั้น อวิ๋นโม่ยังสามารถรักษาจนหายดี หลีเยียนจึงไม่สงสัยคำพูดของลูกชาย นางเชื่อมั่นว่าสติปัญญาของเขามิใช่ธรรมดา

        “ข้าจะต้องเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้แน่นอน!” อวิ๋นโม่ผงกศีรษะ

        เด็กหนุ่มปลอบโยนมารดาอยู่ครู่หนึ่ง กล่าววาจาไปอีกหลายประโยค ในที่สุดหลีเยียนค่อยวางใจลงได้ ครอบครัวของพวกเขาถูกผู้อื่นข่มเหงมามากเกินไปจึงเกิดเรื่องเช่นวันนี้ อวิ๋นโม่สาบานว่าจะไม่ยอมให้ครอบครัวต้องทนรับการเหยียดหยามเช่นที่แล้วมาอีก

        “พี่ใหญ่ นี่คือลูกกลอนเสริมกำลัง ท่านเอาไปทั้งหมดเถอะ” เมิ่งเอ๋อร์มอบลูกกลอนเสริมกำลังทั้งหกเม็ดให้อวิ๋นโม่ ในเมื่อเขาคิดจะพัฒนาระดับพลัง และเอาชนะอวิ๋นเลี่ย ยาบำรุงเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ

        อวิ๋นโม่รับมาสามเม็ด ก่อนหน้านี้เขาเคยกินลูกกลอนเสริมกำลังมากมาย ฝีมือก็ยังอยู่แค่ระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้าเท่านั้น เพิ่มมาอีกสามเม็ดก็คงไม่มีประโยชน์สักเท่าใด หากเขาคิดจะเลื่อนระดับอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องหาซื้อยาอื่น จากนั้นหลอมลูกกลอนเสริมกำลังหรือไม่ก็เคี่ยวยาสำหรับแช่ร่างกายเอง

        “ลูกกลอนเสริมกำลังสามเม็ดนี้ เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าก็เก็บไว้เถอะ ข้ามี… เอ๋”

        อวิ๋นโม่คว้ายาขึ้นมาเม็ดหนึ่ง หลังตรวจดูอย่างละเอียดก็พบว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง

        “ยานี่มัน…” เมื่อเขาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จึงรู้ว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

        ลูกกลอนเสริมกำลังทั้งหมดของตระกูลอวิ๋น ที่จริงแล้วมิใช่โอสถ แต่เป็นยาลูกกลอนเท่านั้น โอสถ (丹药) และยาลูกกลอน (丹丸) ต่างกันเพียงหนึ่งอักษรแต่ผลลัพธ์กลับแตกต่างราวฟ้ากับดิน โอสถเกิดจากการใช้เพลิงสกัดสารสำคัญของสมุนไพรต่างๆ แล้วหลอมเข้าด้วยกัน ผ่านการเปลี่ยนแปลงแบบจำเพาะหลายต่อหลายครั้ง จึงจะหลอมรวมกันเป็นแก่นแท้ของยาเม็ดหนึ่ง ส่วนยาลูกกลอนเป็นเพียงการผสมสมุนไพรต่างๆ อย่างหยาบๆ ขึ้นรูปเป็นเม็ดยาเท่านั้น ประสิทธิภาพด้อยกว่าโอสถอย่างเทียบไม่ได้

        ก่อนหน้านี้เขาเคยสงสัยอยู่ว่า ในเมื่อตระกูลอวิ๋นสามารถหลอมโอสถเสริมกำลังขึ้นมาได้ ทำไมยังเป็นได้เพียงหมากเล็กๆ บนกระดานตัวหนึ่งเท่านั้น ยามนี้เมื่อเห็นโอสถเสริมกำลัง อวิ๋นโม่ก็เข้าใจแล้ว

        สมุนไพรหลักของโอสถเสริมกำลังคือดอกชุ่ยถี่ซึ่งมีราคาแพง แต่ในลูกกลอนของตระกูลอวิ๋นกลับไม่มีดอกชุ่ยถี่แม้แต่หนึ่งในร้อยส่วน

        “มิน่าเล่า เขาได้กินลูกกลอนเสริมกำลังเข้าไปตั้งมากมายแล้วก็ยังเป็นได้แค่ผู้ฝึกตนระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้าผู้หนึ่ง” อวิ๋นโม่ส่ายศีรษะพลางยิ้มอย่างขมขื่น ดอกชุ่ยถี่สำหรับตระกูลอวิ๋นคงไม่ใช่วัตถุดิบธรรมดา แต่ตระกูลอวิ๋นใช้ดอกชุ่ยถี่ในลักษณะนี้ ช่างเป็นการทำลายวัตถุดิบดีๆ อย่างเสียเปล่าโดยแท้

        อันที่จริง ดอกชุ่ยถี่ใช้สำหรับบำรุงร่างกาย ไม่ควรหลอมเป็นโอสถซึ่งจะเป็นการลดทอนประสิทธิภาพของยา วิธีที่ดีที่สุดคือใช้สมุนไพรอื่นๆ เสริมและกลั่นเป็นน้ำยาสำหรับแช่ร่างกาย

        อวิ๋นโม่เพียงมอง “โอสถเสริมกำลัง” แวบเดียวก็คาดเดาวิธีหลอมยาได้แล้ว ด้วยความรู้ทางการแพทย์ของเขา ย่อมระบุคุณสมบัติทางยาของดอกชุ่ยถี่ได้อย่างง่ายดาย

        “เมิ่งเอ๋อร์ ข้ามีวิธีใช้โอสถเสริมกำลัง แบบอื่น ยาสามเม็ดนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ก่อน” อวิ๋นโม่รับยาสามเม็ดในมือเมิ่งเอ๋อร์มา ลูกกลอนเหล่านี้ผสมดอกชุ่ยถี่ค่อนข้างเข้มข้น คำนวณดูแล้ว ใช้เพียงสองเม็ดก็เพียงพอให้เขายกระดับการฝึกฝนถึงระดับเสริมกำลังขั้นเจ็ดชั้นฟ้า เมื่อบรรลุถึงระดับนี้ เขาก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้

        สาเหตุที่รับยาลูกกลอนส่วนของเมิ่งเอ๋อร์มา เพราะไม่ต้องการให้น้องสาวพลาดสรรพคุณของดอกชุ่ยถี่ไปอย่างน่าเสียดาย เขาคิดจะเคี่ยวน้ำยาแบบเดียวกันให้เมิ่งเอ๋อร์แช่ร่างกาย

        เมิ่งเอ๋อร์ไม่คัดค้าน นางยังกลัวว่าอวิ๋นโม่จะไม่ยอมรับยาไปด้วยซ้ำ

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท