ขวานเล่มนี้มีขนาดใหญ่มาก ด้ามขวานยาวหกฉื่อ* หัวขวานใหญ่ราวกับโม่หินลูกหนึ่ง คมขวานแฝงความเย็นยะเยือก เพียงดูด้วยตาก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เด็กรับใช้หลายคนออกแรงยกขวานอย่างยากลำบาก ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ แค่น้ำหนักของขวานเล่มนี้ก็เกรงว่าจะทำให้คนตื่นตกใจแล้ว หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังทั่วไป คาดว่าแม้แต่ยกขึ้นมาก็ยังทำไม่ได้
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรหลายคนจับจ้องขวานวิญญาณบนเวที โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ด้านพละกำลังซึ่งความปรารถนาลุกโชนในแววตา แม้แต่ยอดฝีมือระดับก่อจิตบางคนเมื่อเห็นขวานวิญญาณเล่มนี้แล้วยังเผยความสนใจ แสดงให้เห็นว่าขวานเล่มนี้ไม่ธรรมดา
เห็นปฏิกิริยาของผู้คนแล้วผู้จัดประมูลอย่างผู้เฒ่ากัวก็พอใจ หลังปล่อยให้ผู้ปรารถนาขวานวิญญาณคันในหัวใจสักพัก เขาจึงเริ่มเปิดราคา
“ทุกท่านต่างทราบดีว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจร กำลังภายในจะเริ่มเปลี่ยนเป็นลมปราณ ลมปราณช่วยหล่อเลี้ยงและบ่มเพาะเส้นชีพจรรวมถึงจุดตันเถียนภายในร่าง ตลอดช่วงเวลานั้นไม่อาจถ่ายเทสู่ภายนอก มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อการเลื่อนระดับในอนาคต กรณีร้ายแรงอาจถึงขั้นร่วงสู่ระดับเสริมกำลัง ดังนั้นการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรจึงอาศัยการเคลื่อนลมปราณภายในร่างกระตุ้นการสั่นสะเทือนของลมปราณธรรมชาติเพื่อโจมตีศัตรู แต่ว่าฝีมือการโจมตีเช่นนี้ย่อมไม่อาจเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตที่สามารถกระตุ้นพลังปราณภายในโจมตีโดยตรง ทั้งยังด้อยกว่ามาก ดังนั้นอาวุธวิญญาณที่สามารถส่งเสริมปราณภายนอกให้โจมตีได้รุนแรงยิ่งขึ้น สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรแล้วถือเป็นสิ่งสำคัญมาก”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เฒ่ากัว อวิ๋นโม่ก็คิดถึงมารดาขึ้นมา นางสูญเสียพลังปราณภายในจนหมดสิ้น จึงร่วงหล่นสู่ระดับเสริมกำลัง หลังจากเสร็จเรื่องการประมูลครั้งนี้ อวิ๋นโม่จะต้องลงมือจัดการเรื่องนี้
“ผู้เฒ่ากัว เรื่องพื้นฐานการฝึกยุทธ์พวกนี้ แม้แต่เด็กหัวช้าระดับเสริมกำลังก็ยังรู้ คงไม่ต้องพูดมากอีกแล้ว รีบเริ่มกันเถอะ!” บางคนรอไม่ไหวส่งเสียงดังขึ้นมา
ผู้เฒ่ากัวไม่โกรธเคือง ยิ่งคนเหล่านี้สนใจการประมูลเท่าไร เขาก็ยิ่งพอใจมากเท่านั้น
“อย่าเพิ่งรีบร้อน ประโยชน์ของหัวขวานย่อมต้องอธิบายให้ทุกท่านได้ฟังก่อน” ผู้เฒ่ากัวยังคงแนะนำขวานวิญญาณต่อไป “อาวุธวิญญาณทั่วไปช่วยเพิ่มระดับความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรประมาณหนึ่งถึงห้าในร้อยส่วน หากสามารถเหนือกว่าห้าส่วนจึงนับเป็นอาวุธวิญญาณชั้นดี ขวานวิญญาณที่ประมูลกันในวันนี้ สามารถเพิ่มได้ถึง…”
ผู้เฒ่ากัวที่จัดประมูลพลันหยุดเสียง ส่งยิ้มไปทางฝูงชน ดึงดูดให้ผู้คนไม่น้อยตั้งตารอฟัง
“ตกลงเพิ่มได้กี่ส่วนกันแน่” ใครบางคนโพล่งถาม
“ได้ยินมาว่าสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยเป็นผู้นำขวานเล่มนี้ออกมา เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“หากเป็นอาวุธวิญญาณที่ออกมาจากสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุย ความสามารถในการเพิ่มกำลังโจมตีของมันอย่างน้อยต้องถึงหกส่วนกระมัง”
ผู้เฒ่ากัวส่ายศีรษะ เอ่ยเชื่องช้าสองคำ
“สิบส่วน!”
“หา!”
ผู้คนที่ได้ยินสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บ สิบส่วน! นี่เท่ากับเพิ่มพลังของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรเป็นสองเท่า! ผู้ฝึกยุทธ์ที่ตัดสินใจจะซื้อขวานวิญญาณแต่แรกล้วนตาร้อนผ่าวกว่าเดิม แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรที่เดิมทีไม่ให้ความสนใจดวงตาก็พลันทอประกาย
ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตเพียงเผยประกายตาเล็กน้อย แต่ไม่ตื่นเต้นเท่ากับระดับเปลี่ยนชีพจรเหล่านั้น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตสามารถใช้ลมปราณของตนเองโจมตีโดยตรง อาวุธวิญญาณที่ระดับก่อจิตใช้กับอาวุธวิญญาณของระดับเปลี่ยนชีพจรไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นอาวุธวิญญาณระดับเปลี่ยนชีพจรที่แข็งแกร่งกว่านี้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตแล้วก็ไม่มีประโยชน์สักเท่าไร
“สมกับเป็นอาวุธวิญญาณที่ออกมาจากสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุย หากข้าอยู่ระดับเปลี่ยนชีพจรแล้วละก็ ต่อให้ต้องทุบหม้อข้าวขายเหล็ก ก็จะต้องซื้อขวานวิญญาณเล่มนี้ให้จงได้”
เสียงทอดถอนใจเสียงหนึ่งดังออกมาจากโถงการประมูล
“ขวานวิญญาณเล่มนี้ เปิดราคาที่ห้าร้อยเหรียญทอง การเพิ่มราคาทุกครั้งจะต้องไม่น้อยกว่าสิบเหรียญทอง!” ผู้เฒ่ากัวประกาศราคาเริ่มต้น
“สวรรค์! ห้าร้อยเหรียญทอง!”
“แค่ราคาเปิดก็มากกว่าราคาสูงสุดของสินค้าที่ประมูลไปก่อนหน้านี้แล้ว!”
“ข้ายังนึกว่าต่อให้ประมูลไม่ได้ก็ยังสามารถเสนอราคาได้สักหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ด้วยฐานะของข้า แม้แต่ราคาเปิดก็ยังไม่พอจ่าย”
ผู้คนจุปากกันไม่หยุด ห้าร้อยเหรียญทองสำหรับคนยากไร้แล้ว เป็นจำนวนที่ใช้เวลาทั้งชาติก็หามาไม่ได้
“ห้าร้อยสิบเหรียญทอง!” มีคนเริ่มเสนอราคาประมูล
อวิ๋นโม่มองอวิ๋นต้ามั่ว เห็นเขาสงบนิ่งดุจต้นไผ่ก็รู้ว่าราคานี้อยู่ในความคาดหมายของเขา
อวิ๋นต้ามั่วไม่รีบร้อนเสนอราคา เขารู้ดีว่ากลุ่มคนที่เสนอราคาก่อนความจริงไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากพอในการแข่งขัน
ในไม่ช้าราคาก็พุ่งถึงเก้าร้อยเหรียญทอง คนที่เสนอราคายิ่งนานยิ่งน้อยลง เหลือสามสี่คนที่ยังเสนอราคาอยู่
ถึงตอนนั้นแววตาของอวิ๋นต้ามั่วทอประกายวูบหนึ่ง ตะโกนออกไปว่า “หนึ่งพันเหรียญทอง!”
คนมากมายมองมาทางห้องส่วนตัวอักษรมนุษย์ นี่จึงจะเรียกว่าผู้มั่งมี แค่ครั้งเดียวก็เพิ่มราคาไปถึงหนึ่งพันเหรียญทอง เกินกว่าคนธรรมดาจะเทียบได้
“เฮ้อ เก้าร้อยเหรียญทองเป็นขีดจำกัดสูงสุดของข้าแล้ว ไม่นึกว่ายังจะมีคนสู้ราคาอีก” คนผู้หนึ่งส่ายศีรษะถอนหายใจ ไม่ได้แข่งประมูลอีก
นอกจากอวิ๋นต้ามั่วยังมีอีกสองคนที่เสนอราคา แต่เพิ่มราคาแต่ละครั้งไม่มาก แน่นอนว่าพวกเขาก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
“หนึ่งพันสามร้อยเหรียญทอง!” อวิ๋นต้ามั่วเพิ่มราคาอีกครั้ง ทำให้คนยอมถอยเพิ่มอีกหนึ่งคน คนที่สามารถแข่งกับเขาได้เหลือเพียงหนึ่งคนแล้ว
“หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญทอง!” คนผู้นั้นกัดฟันเสนอราคา “สหายผู้นี้สามารถให้เกียรติข้าได้หรือไม่ หากยินยอมมอบขวานเล่มนี้แก่ข้า ภายหน้าจะต้องตอบแทนเต็มที่!” คนผู้นั้นลุกขึ้นประสานหมัดคำนับมาทางห้องของพวกอวิ๋นโม่
“เหอะ!” พอได้ยินคำพูดของคนผู้นั้น ผู้จัดประมูลอย่างผู้เฒ่ากัวก็ส่งเสียงเย็นชาคำหนึ่งพร้อมโบกมือ ประกายแสงบาดตาสายหนึ่งพลันพุ่งโจมตีคนผู้นั้น
ผัวะ!
บุคคลนั้นล้มลงไปทั้งอย่างนั้นจนเก้าอี้หักเป็นสี่ห้าส่วน เลือดไหลออกจากมุมปาก มองไปทางผู้เฒ่ากัวด้วยความตกใจ
“ยอดฝีมือระดับก่อจิต! ผู้เฒ่ากัวถึงกับเป็นยอดฝีมือระดับก่อจิต!” คนมากมายต่างตกตะลึง พลังโจมตีเมื่อครู่มีแต่ยอดฝีมือระดับก่อจิตเท่านั้นจึงจะทำได้
“ที่นี่คืองานประมูล ทุกท่านสมควรเคารพกฎเกณฑ์ของที่นี่ หากยังมีเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง สังหารไม่เว้น!” ผู้เฒ่ากัวเอ่ยเสียงเย็น ทั้งยังแฝงไอสังหาร ทำให้ผู้คนมากมายเกิดความหวาดกลัว แม้แต่ยอดฝีมือระดับก่อจิตของสามตระกูลใหญ่ก็ยังสีหน้าเปลี่ยนไป เพิ่มความระมัดระวังในสถานจัดการประมูลอีกหนึ่งส่วน
อวิ๋นต้ามั่วหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “สถานจัดการประมูลนี้หยั่งรากลึกในเมืองกวนซานเจิ้นมานานแล้ว ไหนเลยจะเรียบง่ายได้ กล้าฝ่าฝืนกฎของที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับหาเรื่องตาย”
“หนึ่งพันหกร้อยเหรียญทอง!” อวิ๋นต้ามั่วเพิ่มราคาอย่างไม่ลังเล น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจ ราวกับว่าราคาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องถาม
คนที่เสนอราคาก่อนหน้านี้ไม่อาจขยับกาย สุดท้ายจึงไม่ได้เพิ่มราคาอีก
ผู้เฒ่ากัวเผยสีหน้าพึงพอใจ ราคาเช่นนี้ถึงระดับที่สถานจัดการประมูลคาดหวังแล้ว แต่หากสามารถเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด
“ยังมีใครต้องการเสนอราคาเพิ่มอีกไหม นี่เป็นอาวุธวิญญาณที่ทำให้ความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้! ต่อให้ราคาสูงกว่านี้ ก็คุ้มกับการลงทุน ขอเพียงมีพลังอำนาจ ยังกลัวว่าวันหน้าจะหาเงินไม่ได้อีกหรือ ยิ่งกว่านั้นขวานเช่นนี้ยังสามารถช่วยรักษาชีวิตในยามสำคัญ!” ผู้เฒ่ากัวกวาดตาไปทางฝูงชนพลางแจกแจงข้อดีของขวานวิญญาณ
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีคนเพิ่มราคาอีก
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นต้ามั่วกดลึกกว่าเดิม เขาหันไปทางพวกอวิ๋นโม่เอ่ยว่า “ที่จริงแล้วบนตัวข้ามีเงินเพียงเท่านี้ หากมีใครเพิ่มราคาอีกหนึ่งร้อยเหรียญทอง ข้าก็คงหมดสิทธิ์แล้ว เหมือนกับคนที่เสนอราคาเมื่อครู่ เขาก็คงมีเงินประมาณหนึ่ง แต่พอได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของข้า แรงฮึดที่พอมีอยู่ก็ถูกข้าทำเอาตระหนกจนต้องถอย เคล็ดลับในที่นี้มีอยู่ไม่น้อย พวกเจ้าต้องเรียนรู้ให้ดี”
“ยอดเยี่ยม!” อวิ๋นโม่กล่าวคำชื่นชม แต่ในใจกลับคิดต่าง สามารถใช้ไหวพริบควบคุมสถานการณ์นับเป็นเรื่องดี แต่หากอีกฝ่ายจิตใจมั่นคง วิธีการเช่นนี้นับว่าไร้ประโยชน์ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดยังคงเป็นเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สมมุติว่าอวิ๋นโม่ต้องการร่วมประมูลขวานวิญญาณเล่มนี้ และเขาก็มีเงินหลายพันเหรียญทอง วิธีการของท่านลุงย่อมไม่อาจเอาชนะได้
“ไม่มีคนเพิ่มราคาแล้วหรือ” ผู้เฒ่ากัวเอ่ยอีกครั้ง “หนึ่งพันหกร้อยเหรียญทองครั้งที่หนึ่ง!”
ยังคงไม่มีคนเพิ่มราคา
“หนึ่งพันหกร้อยเหรียญทองครั้งที่สอง!”
อวิ๋นต้ามั่วเผยรอยยิ้มมั่นใจในความสำเร็จ เขาหันหน้ามาพูดกับอวิ๋นโม่ “พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องอิจฉาไป ขอเพียงฝึกฝนให้ดี วันหน้าพวกเจ้าก็จะไม่ด้อยไปกว่าข้า”
“หนึ่งพันหกร้อยเหรียญทองครั้งที่ส…”
“รอเดี๋ยว!”
พลันมีคนส่งเสียงขึ้นมา รอยยิ้มของอวิ๋นต้ามั่วแข็งค้างอยู่บนใบหน้า
“ข้าเสนอหนึ่งพันเจ็ดร้อยเหรียญทอง! หากพี่ต้ามั่วสามารถให้ราคาสูงกว่านี้ ขวานเล่มนี้ก็จะตกเป็นของท่าน ต่อให้สูงกว่าเพียงสิบเหรียญทอง ข้าก็จะไม่เพิ่มราคาแล้ว”
“เป็นคนตระกูลซาง!” อวิ๋นต้ามั่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขุ่นเคืองถึงที่สุด
“ท่านพ่อ เงินไม่พอหรือ” อวิ๋นเสวียนเซิงรู้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงรีบถาม
สองมือของอวิ๋นต้ามั่วกำแน่น สีหน้าโกรธแค้น “สมควรตาย! บนตัวข้ามีเพียงหนึ่งพันเจ็ดร้อยเหรียญทอง ถูกเจ้าชั่วนั่นเล่นงาน…”
“สหายท่านนี้ให้หนึ่งพันเจ็ดร้อยเหรียญทอง ยังมีคนเพิ่มราคาอีกหรือไม่” ผู้เฒ่ากัวเอ่ยถาม
“หากพวกเราก็มีหนึ่งพันเจ็ดร้อยเหรียญทอง ไม่ใช่ว่าก็สามารถเสนอราคาได้เหมือนกันหรือ” อวิ๋นเสวียนเซิงถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่เช่นนั้น” อวิ๋นโม่ยิ้มให้อย่างเสียไม่ได้ อวิ๋นเสวียนเซิงไม่ค่อยออกไปนอกบ้าน ไม่สันทัดเรื่องโลกภายนอก จึงไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์บางอย่างสักเท่าไร เพียงแต่อวิ๋นโม่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่กฎพื้นฐานของการประมูลก็ยังไม่รู้
“อีกฝ่ายเสนอราคาออกมาแล้ว หากพวกเราต้องการเสนอราคาอีกครั้ง จะต้องสูงกว่าอีกฝ่ายจึงจะได้” อวิ๋นโม่อธิบาย
“หา เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี” อวิ๋นเสวียนเซิงร้อนใจขึ้นมา ทันใดนั้นสายตาก็มีประกาย เอ่ยว่า “เหมือนจะมีผู้อาวุโสหลายท่านอยู่ในห้องส่วนตัวใกล้ๆ นี้ พวกเราไปขอคำปรึกษาจากเขาดีหรือไม่!” อวิ๋นเสวียนเซิงลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปด้านนอก
อวิ๋นต้ามั่วรั้งอวิ๋นเสวียนเซิงเอาไว้ ส่ายศีรษะก่อนยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่มีประโยชน์หรอก พวกเขาเองก็มีสิ่งที่ต้องการประมูล เวลาเช่นนี้แม้แต่สิบเหรียญทองก็มีค่าอย่างยิ่ง ไหนเลยจะให้ยืมได้”
อวิ๋นเสวียนเซิงนั่งลงอย่างหมดแรง ความหวังทั้งหมดมลายไป
“ท่านลุงต้ามั่วมีเงินหนึ่งพันเจ็ดร้อยเหรียญทองหรือ” อวิ๋นโม่ถาม ยามนี้ผู้เฒ่ากัวที่อยู่บนเวทีประกาศราคาครั้งที่หนึ่งแล้ว
อวิ๋นต้ามั่วเอ่ยตอบอย่างโกรธแค้น “มีหนึ่งพันเจ็ดร้อยเหรียญทองพอดี! หากเมื่อครู่ข้าให้ราคาหนึ่งพันเจ็ดร้อยเหรียญทอง ไม่แน่อาจยังพอมีหวัง ตอนนี้ได้แต่… เฮ้อ!”
อวิ๋นโม่ได้ยินแล้วก็อมยิ้ม หยิบเงินสิบเหรียญทองออกมา
………………………………………
*尺Chǐ หน่วยวัดความยาว 10 ฉื่อ เท่ากับ 1 จั้ง หรือ 3.33 เมตร ประมาณได้ว่า 1 ฉื่อ เท่ากับ 33.3 ซม. หรือประมาณ 1 ฟุต