กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 31 ไม่อาจล่าถอยอย่างปลอดภัยงั้นหรือ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        ผู้เฒ่ากัวเข้าไปในห้องส่วนตัว ขอตรวจสอบคุณภาพของหินวิญญาณ และประเมินราคาว่าสามารถประมูลถุงเฉียนคุนได้หรือไม่

        อวิ๋นโม่รู้ว่าชายชราต้องการดูสีของหินวิญญาณ เมื่อครู่ตอนที่เขานำมันออกมา อีกฝ่ายก็พอจะประเมินราคาหินวิญญาณได้แล้ว เขาโยนของให้ผู้เฒ่ากัวอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับไม่สนใจหินวิญญาณก้อนนี้เลยสักนิด อวิ๋นโม่ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเล่นลูกไม้อะไร เพราะหากสถานจัดการประมูลไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ยึดหินวิญญาณไว้เอง ก็ต้องเตรียมรับมือเพลิงโทสะของเขาให้ดี

        อันที่จริงผู้เฒ่ากัวมีความคิดเช่นนี้อยู่บ้าง แต่ตอนที่เขาเห็นอวิ๋นโม่โยนหินวิญญาณออกมาอย่างไม่ใส่ใจก็ลบล้างความคิดนี้ทิ้งไป หากเป็นเพียงคนธรรมดามีหรือจะไม่ใส่ใจหินวิญญาณได้ถึงขนาดนี้

        ผู้เฒ่ากัวมือเท้าลนลานรีบรับของ ด้วยกลัวว่าหากตนเองผิดพลาดทำให้หินวิญญาณเสียหาย คงเป็นความสูญเสียเกินรับได้

        “เป็นหินวิญญาณระดับต้นจริงๆ แต่คุณภาพดีเยี่ยม เกือบจะเป็นหินวิญญาณระดับกลางแล้ว!” มือของผู้เฒ่ากัวสั่นเล็กน้อย เขาเคยเห็นหินวิญญาณ ทั้งยังเคยมีโอกาสใช้หนึ่งก้อนเล็กๆ แต่นั่นเป็นเพียงหินวิญญาณระดับต้นที่มีคุณภาพต่ำมาก หากเทียบกับหินที่อยู่ในมือก้อนนี้นับว่าห่างไกลนัก

        ผู้เฒ่ากัวได้หินวิญญาณมาอยู่ในมือก็ไม่คิดจะคืนของแล้ว เอ่ยต่อไปว่า “หินวิญญาณก้อนนี้สีสันได้คุณภาพ ปริมาณก็ไม่น้อย เพียงพอที่จะซื้อถุงเฉียนคุน”

        อวิ๋นโม่มองผู้เฒ่ากัวอย่างขบขัน คิดจะให้เขาใช้หินทั้งก้อนซื้อถุงเฉียนคุนหรือ

        “คุณค่าของหินวิญญาณก้อนนี้เกรงว่าไม่ใช่เพียงสามารถซื้อถุงเฉียนคุนได้กระมัง” อวิ๋นโม่ไม่มีทางไร้สมองถึงขนาดใช้หินวิญญาณทั้งก้อนแลกเปลี่ยนกับถุงเฉียนคุน หากผู้เฒ่ากัวเห็นว่าต้องใช้หินวิญญาณทั้งก้อนจึงจะซื้อถุงเฉียนคุนได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่ถือสาที่จะส่งหินวิญญาณให้สามตระกูลใหญ่ ฝ่ายนั้นออกปากแล้วว่าจะช่วยเขาประมูลถุงเฉียนคุนและยังมีข้อเสนอดีๆ อีกด้วย 

        ผู้เฒ่ากัวเงียบไป หากสามารถใช้ถุงเฉียนคุนแลกกับหินวิญญาณทั้งก้อนได้นับว่าดีที่สุด 

        เห็นผู้เฒ่ากัวไม่พูด อวิ๋นโม่ก็เอ่ยปากต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะมอบหินวิญญาณให้ผู้อื่นแล้วกัน เชื่อว่าพวกเขาไม่เพียงประมูลถุงเฉียนคุนให้ข้า แต่คงมีข้อเสนออย่างอื่นอีกด้วย”

        ผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วหัวใจเย็นวูบ เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่ไก่อ่อน หากทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจคงต้องเสียหินวิญญาณไปจริงๆ เขารีบกล่าว “ถุงเฉียนคุนแม้ล้ำค่าแต่ไม่ได้เหนือไปกว่าหินวิญญาณก้อนนี้ หากท่านยังมีความต้องการอื่นอีก พวกเราก็พร้อมจะสนอง”

        อวิ๋นโม่ไม่ปิดบัง บอกเงื่อนไขไปตามตรง “ถุงเฉียนคุนและเพิ่มวัตถุดิบสำหรับผลิตอุปกรณ์บางชนิด หากเห็นด้วย หินวิญญาณก้อนนี้ก็เป็นของเจ้า หากไม่เห็นด้วย พวกเราก็อย่าได้เสียเวลาของแต่ละฝ่าย”

        “ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุดิบสำหรับหลอมอุปกรณ์ชนิดใด” ผู้เฒ่ากัวถาม

        เพียงชั่วครู่ก็มีผู้รับใช้นำหมึกและพู่กันเข้ามา อวิ๋นโม่เขียนวัตถุดิบที่ต้องการลงไป อุปกรณ์ที่เขาใช้ในการหลอมโอสถตอนนี้สร้างโดยช่างตีเหล็กทั่วไป คุณภาพที่ได้ต่ำมาก ดังนั้นเขาคิดจะเสาะหาคนสร้างเตาหลอมโอสถวิญญาณสักใบหนึ่ง หากอุปกรณ์ในการกลั่นยาหลอมโอสถด้อยคุณภาพเกินไปก็ไม่อาจหลอมโอสถหลายชนิดได้ รวมถึงโอสถถอนพิษที่เขาต้องทำให้อู่ซานเหอ หากใช้เตาหลอมธรรมดาก็ยากที่จะทำสำเร็จ

        เมื่อดูรายชื่อวัตถุดิบที่อวิ๋นโม่เขียน ผู้เฒ่ากัวก็เงียบขรึมอยู่นาน ของเหล่านี้ไม่ธรรมดา ล้วนแต่มีราคาสูง

        อวิ๋นโม่ไม่ได้พูดอะไร เพียงรอคอยเงียบๆ

        ในที่สุดผู้เฒ่ากัวก็เอ่ยปาก “ตกลง! ข้าจะช่วยท่านเสาะหาวัตถุดิบเหล่านี้ แต่ของเหล่านี้ไม่ใช่ของทั่วไป หากคิดจะรวบรวมให้ครบ เกรงว่ายามนี้โรงประมูลคงไม่อาจทำได้”

        “ต้องใช้เวลานานแค่ไหน”

        “อย่างเร็วที่สุดก็คงเป็นตอนเย็นจึงจะหาซื้อได้ทั้งหมด”

        อวิ๋นโม่ผงกศีรษะ “มอบถุงเฉียนคุนให้ข้า ส่วนวัตถุดิบเหล่านั้นก็ส่งไปยังร้านของอู่ซานเหอที่อยู่ท้ายถนนค้าอาวุธ” เขาไม่กลัวว่าอีกฝ่ายได้หินวิญญาณไปแล้วจะกลับคำ หากไม่ส่งวัตถุดิบมา ถึงตอนนั้นก็ให้อู่ซานเหอมาจัดการพวกเขาก็ได้แล้ว

        “ท่านรู้จักอู่ซานเหอด้วย” ผู้เฒ่ากัวนึกแปลกใจ “ท่านกับเขามีความสัมพันธ์เช่นไร”

        “หืม” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว

        “ขออภัย เป็นข้าเสียมารยาทแล้ว” ผู้เฒ่ากัวรีบเอ่ยขอโทษ ในใจยังตื่นตระหนกไม่หาย เห็นได้ชัดว่าผู้เข้าประมูลท่านนี้มีเบื้องหลังลึกล้ำ ทั้งยังรู้จักกับอู่ซานเหอ 

        เมื่ออวิ๋นโม่กับผู้จัดงานประมูลตกลงกันได้ สามตระกูลใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับถุงเฉียนคุนแล้ว ตระกูลฉินนับว่าหัวเสียที่สุด เดิมทีถุงเฉียนคุนจะต้องเป็นของพวกเขา แต่สุดท้ายผลลัพธ์กลับเป็นเช่นนี้

        “จับตาดูเขาให้ดี ไม่อาจปล่อยให้เขาหนีไปได้!” ฉินเหอหลินกําหมัดแน่น เขาคิดไม่ถึงว่าถุงเฉียนคุนจะถูชายสวมหน้ากากประมูลไปจริงๆ แต่เขาไม่ขัดเคือง เพราะถุงเฉียนคุนใบนี้สุดท้ายจะต้องเป็นของตระกูลฉิน

        ไม่ใช่เพียงตระกูลฉิน ขุมกำลังอื่นๆ ต่างก็มีความคิดเช่นนี้ ดูแล้วอวิ๋นโม่ก็เป็นแค่ผู้เยาว์ระดับเสริมกำลังคนหนึ่ง ไม่มีพลังอำนาจอะไร ในสายตาของผู้คนทั้งหลายเขาก็คือคลังสมบัติเดินได้ มีทรัพย์สินมากถึงสามหมื่นเหรียญทอง ตอนนี้ยังมีถุงเฉียนคุนอีก ใครจะรู้ว่าบนตัวเขายังมีของดีอะไรอีก หากกุมตัวเขาไว้ได้ ไม่ว่าสำหรับขุมกำลังใดก็ถือเป็นการรับทรัพย์ครั้งใหญ่

        ความสนใจของขุมกำลังเกือบทั้งหมดพุ่งมาอยู่ที่ห้องส่วนตัวอักษรมนุษย์หมายเลขสิบหก ผู้คนเห็นว่าหลังจากอวิ๋นโม่ประมูลถุงเฉียนคุนไปแล้วก็ปิดม่าน พวกเขายังเห็นเงาของคนด้านในเดินไปมาอยู่ในห้องส่วนตัว เหมือนตื่นเต้นดีใจจนระงับไม่อยู่ ครู่หนึ่งอวิ๋นโม่ถึงได้สงบลง เงาร่างที่ตกกระทบบนผ้าม่านไม่เคลื่อนไหว

        ญาณหยั่งรู้อันแข็งแกร่งถูกปล่อยออกไป เหนือระเบียงทางเดินไร้คน อวิ๋นโม่ค่อยๆ ลอบออกจากห้องหมายเลขสิบหกกลับเข้าไปในห้องที่จากมา

        “เฮ้อ ไม่รู้ว่ากินอะไรเข้าไปจึงท้องร่วงเสียแล้ว!” อวิ๋นโม่เอ่ยพลางถอนหายใจ จากนั้นถามต่อ “ข้าไม่ได้พลาดเรื่องสนุกอะไรใช่หรือไม่”

        “จะเรียกว่าไม่พลาดได้อย่างไร เจ้าพลาดส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดของงานประมูลไปแล้ว!” อวิ๋นเสวียนเซิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น ทั้งยังเห็นใจอวิ๋นโม่อย่างที่สุด จากนั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่างมีสีสัน

        “โอ้ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วถุงเฉียนคุนจะไม่ถูกสามตระกูลใหญ่ประมูลไป” อวิ๋นเสวียนเซิงส่ายศีรษะ หางตาเหลือบไปทางห้องหมายเลขสิบหก

        อวิ๋นโม่มองตามเช่น พลางถอนใจราวกับเสียดายอยู่บ้าง

        อวิ๋นต้ามั่วตบบ่าอวิ๋นโม่พร้อมเอ่ยปลอบใจ “ขยันให้มาก ขอเพียงฝึกฝนจนถึงระดับเปลี่ยนชีพจร ความเจ็บป่วยที่คนธรรมดาต้องเผชิญล้วนไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป”

        “หากข้าสามารถอหังการได้เหมือนคนผู้นั้นก็คงดี!” อวิ๋นเสวียนเซิงเผยสีหน้าที่ทั้งอิจฉาและนับถือ ไม่รู้ว่าหากเขารับรู้ว่าผู้ที่ตนนับถือขณะนี้ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วจะทำเช่นไร

        ถัดจากนั้นก็มีของดีทยอยออกมาไม่น้อย แต่ไม่ได้สร้างความครึกครื้นเหมือนกับถุงเฉียนคุนอีก คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตื่นเต้น ยังคงมุ่งความสนใจไปที่ห้องส่วนตัวหมายเลขสิบหก ผู้เฒ่ากัวเองก็หวังว่าแขกสูงศักดิ์ในห้องหมายเลขสิบหกจะร่วมประมูลอีก แต่ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะสนใจแค่ถุงเฉียนคุนเท่านั้น ระหว่างการประมูลสินค้าหลังจากนั้น เขาไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น

        การประมูลจบลงอย่างรวดเร็ว คนจำนวนไม่น้อยออกจากโถงประมูลไปรออยู่ที่ปากทางเข้าโดยไม่ยอมจากไปไหน คนส่วนหนึ่งจับตาดูห้องส่วนตัวหมายเลขสิบหกโดยไม่ยอมไปจากโรงประมูล

        ผู้เฒ่ากัวกระอักกระอ่วน ไม่อาจขับไล่คนพวกนี้ไป

        ฉินเหอหลินมองเงาร่างของคนที่อยู่ในห้องส่วนตัวหมายเลขสิบหก ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะผ่านไปได้งั้นหรือ ฮ่าๆ วันนี้เจ้าไม่อาจถอนตัวได้แน่นอน”

        คนตระกูลฉินต่างเผยรอยยิ้มมั่นใจ

        “ท่านพ่อ คนผู้นั้นจะสามารถล่าถอยได้อย่างปลอดภัยหรือไม่” หลังเดินออกมาจากสถานจัดการประมูลแล้ว อวิ๋นเสวียนเซิงถึงได้นึกเอะใจ หันไปถามอวิ๋นต้ามั่ว

        อวิ๋นต้ามั่วส่ายศีรษะ “ฟังจากที่คนเขาพูดกัน ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะมีหนี้แค้นกับตระกูลฉิน หากข้าเดาไม่ผิดละก็ ตระกูลฉินไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ ทั้งยังมีคนไม่น้อยคิดจับปลาในน้ำขุ่น คนที่มีพลังเพียงระดับเสริมกำลังธรรมดาคงไม่มีทางล่าถอยได้อย่างปลอดภัย”

        อวิ๋นเสวียนเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายค่อยเอ่ย “ท่านพ่อ พวกเราสามารถช่วยเหลือเขาได้หรือไม่”

        อวิ๋นต้ามั่วมีสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าเด็กโง่ ไม่ได้เป็นมิตรหรือศัตรูกัน แล้วอยู่ดีไม่ว่าดีไปช่วยเขาทำไม ยิ่งกว่านั้นด้วยความสามารถระดับเปลี่ยนชีพจรของข้า จะเทียบกับยอดฝีมือระดับก่อจิตของตระกูลฉินได้อย่างไร เจ้าเนี่ยนะ หากยังมีจิตเมตตาเช่นนี้อยู่ สักวันต้องเสียเปรียบใหญ่หลวงแน่” 

        อวิ๋นโม่ที่ฟังอยู่ด้านข้างยกยิ้มมุมปาก ไม่อาจล่าถอยอย่างปลอดภัยหรือ เฮอะ!

        ภายในโรงประมูล ผู้เฒ่ากัวทนต่อไปไม่ไหว อ้าปากตะโกนเสียงดัง “การประมูลสิ้นสุดลงแล้ว ขอท่านโปรดออกจากห้อง!”

        ผู้คนมองไปทางห้องส่วนตัวหมายเลขสิบหก ฉินเหอหลินกดยิ้มเย็นกว่าเดิม

        “คนผู้นี้โง่เขลาเกินไป ไม่ทันเตรียมตัวให้ดีก็เปิดเผยความร่ำรวยออกมา”

        “คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก มีเงินเยอะแล้วอย่างไร ใช่ว่าทุกคนจะมีเหตุผล”

        “เด็กน้อยถือทองคำไว้ก็แล้วไปเถอะ นี่ยังจะป่าวประกาศบนท้องถนนอีก”

        คนมากมายพากันโคลงศีรษะด้วยความเห็นใจ ‘อวิ๋นโม่’ ทั้งยังเสียดายที่เขาโง่เขลาเกินไป

        “ขอเชิญท่านออกมาได้แล้ว!” ผู้เฒ่ากัวประสานหมัดคำนับไปทางห้องหมายเลขสิบหก ก่อนจะตะโกนซ้ำอีกครั้ง

        ยังคงไร้การตอบรับ

        “ฮ่าๆ!” เสียงหัวเราะของฉินเหอหลินดังขึ้นในห้องโถง ตอนท้ายเขายิ่งหัวเราะลั่นอย่างยากระงับ “ทำไม กลัวจนไม่กล้าขยับแล้วหรือ รู้ว่าวันนี้จะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นทำไมจึงกล้า เด็กน้อย หากเจ้าไสหัวออกมาคุกเข่าตรงหน้าข้าพร้อมโขกศีรษะขออภัย ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป!”

        ยังคงไม่มีเสียงตอบ

        “ยังจะแข็งข้อ ไม่ยอมจำนนอีก!” ฉินเหอหลินทำเสียงเย็น

        เวลาผ่านไปทีละนิด ในที่สุดผู้คนก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง หากบอกว่าตอนแรกอีกฝ่ายกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว เขาสมควรส่งเสียงอะไรบ้างจึงจะถูก

        สีหน้าของผู้เฒ่ากัวไม่สู้ดี เขาเดินตรงไปยังห้องส่วนตัวหมายเลขสิบหก ผู้คนทั้งหลายพากันติดตามไป คนของตระกูลฉินทั้งหมดก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

        แอ๊ด!

        ผู้เฒ่ากัวไม่ได้เคาะประตู แต่ผลักประตูเข้าไปในห้องส่วนตัว ทุกคนต่างยืดคอยาวมองเข้าไปด้านใน

        “นี่…” เมื่อเห็นสภาพด้านในชัดเจน ผู้คนทั้งหมดต่างก็พูดอะไรไม่ออก

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท