กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 39 ความแข็งแกร่งของตระกูลหวัง

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        หวังจิงอวิ๋นส่งยิ้มอบอุ่น เริ่มสนทนาอย่างชื่นมื่น

        “พวกเราต้องการหาเมืองพันธมิตรที่สนับสนุนทั้งด้านที่ดิน เหมืองแร่ และการขนส่ง”

        “นี่ดูเหมือนจะครอบคลุมการค้าเกือบทั้งหมดของตระกูลอวิ๋นเราแล้ว” ผู้อาวุโสรองเอ่ย “ขอถามนายน้อยหวัง ตระกูลของท่านคิดจะร่วมมืออย่างไร”

        “ได้ยินมาว่าตระกูลอวิ๋นมีพื้นที่ที่พลังปราณสะสมอุดมสมบูรณ์อยู่ไม่น้อย แต่คุณภาพผลผลิตจำพวกสมุนไพรและสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปไม่ดีนัก ทั้งวิธีการเพาะปลูกและเลี้ยงดูค่อนข้างล้าหลัง ดังนั้นในด้านนี้ ตระกูลอวิ๋นมอบพื้นที่ ส่วนตระกูลหวังเราดูแลเมล็ดพันธุ์ธัญพืชและสมุนไพรชั้นสูง รวมไปถึงวิธีการเพาะปลูก เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งธัญพืชและสมุนไพรจะได้ผลผลิตคุณภาพสูง” 

        “แล้วทางด้านเหมืองแร่” อวิ๋นเว่ยเซิงสอบถาม 

        “ด้านเหมืองแร่ ตระกูลหวังเราสามารถสนับสนุนคนขุดเหมืองที่มีความแข็งแกร่ง ทั้งยังรับผิดชอบการจัดจำหน่ายแร่ หากนำแร่ธาตุไปขายให้เมืองใหญ่จะได้ราคาสูงกว่าเมืองเล็กๆ มาก เมื่อปริมาณการผลิตมากขึ้น ราคาขายก็เพิ่มขึ้น จะต้องทำเงินได้มากกว่าเดิม แน่นอนว่า ตระกูลหวังของเราจะต้องมีส่วนในการบริหารเหมืองด้วย”

        หวังจิงอวิ๋นลุกขึ้นยืน เดินไปยังกลางหอประชุม กางสองแขนออกมาราวกับกำลังวาดแผนที่ขนาดใหญ่

        “ด้านการขนส่งสินค้า สำหรับการขนส่งทั่วไปยังคงใช้สัตว์อสูรที่พวกท่านเลี้ยงดู ส่วนตระกูลหวังของข้าจะใช้สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าสำหรับขนส่งสินค้าระดับสูง พวกเรายังสามารถให้การสนับสนุนส่งผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพื่อคุ้มครองการขนส่งสินค้าพิเศษ สำหรับอาภรณ์และสิ่งทอ พวกเราก็มีช่างฝีมือที่ดีกว่า เพื่อสร้างยอดขายที่มากขึ้น”

        ว่าแล้วหวังจิงอวิ๋นก็มองไปทางพวกอวิ๋นเว่ยเซิง “ดังนั้นการร่วมมือของพวกเราสามตระกูลจะต้องทำให้การค้ารุ่งเรืองแน่นอน!” 

        “สามตระกูล” อวิ๋นเว่ยเซิง 

        “แน่นอนอยู่แล้ว ตระกูลฉินของข้าก็มีความโดดเด่นหลายด้าน เพียงแต่ประมุขตระกูลอวิ๋นและท่านอื่นๆ ไม่เคยยอมร่วมมือกับพวกเรา จึงไม่เคยรู้ถึงความสามารถของพวกเรา พวกเราสามตระกูลร่วมมือกันย่อมสามารถทำได้ดีกว่า”

        “ฟังดูไม่เลว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผลกำไรที่ได้จะแบ่งปันกันอย่างไร” อวิ๋นเว่ยเซิงถามต่อ พวกผู้นำตระกูลอวิ๋นอยากฟังรายละเอียด ไม่กล้าพลาดไปแม้แต่คำเดียว เรื่องส่วนแบ่งกำไรจะทำให้เห็นว่าที่จริงแล้วตระกูลหวังต้องการร่วมมือหรือว่าขูดรีดตระกูลอวิ๋น 

        หวังจิงอวิ๋นกลับไปนั่ง เอ่ออย่างใจเย็นว่า “ด้านพื้นที่เพาะปลูก ในเมื่อเป็นพวกท่านเสนอที่ดินรวมถึงกำลังคนบางส่วน อืม เช่นนั้นก็ตระกูลหวังเราเจ็ดส่วน ตระกูลฉินหนึ่งส่วน ตระกูลอวิ๋นของพวกท่านสองส่วน”

        “ด้านเหมืองแร่ เหมืองแร่เป็นของพวกท่าน พวกท่านได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอีกนิด พวกท่านสามส่วน ตระกูลฉินหนึ่งส่วน ตระกูลหวังเราหกส่วน”

        “ด้านการขนส่ง การขนส่งระดับล่างพวกท่านสองส่วน ตระกูลฉินหนึ่งส่วน ตระกูลหวังของพวกเราเจ็ดส่วน การขนส่งระดับสูง ตระกูลหวังแปดส่วน ตระกูลฉินหนึ่งส่วน พวกท่านตระกูลอวิ๋นหนึ่งส่วน”

        “การค้าสิ่งทอ ตระกูลหวังเราแปดส่วน ตระกูลอวิ๋นและตระกูลฉินคนละหนึ่งส่วน” เขาเอ่ยอย่างลื่นไหล

        “เป็นอย่างไรบ้าง ส่วนแบ่งเช่นนี้ถือว่ายุติธรรมแล้วกระมัง” หวังจิงอวิ๋นมองไปทางเหล่าผู้นำตระกูลอวิ๋นพลางหัวเราะแผ่วเบา 

        คนตระกูลอวิ๋นสีหน้าแข็งค้างไปนานแล้ว

        นี่มันชัดเจนว่าตระกูลหวังคิดขูดรีดตระกูลอวิ๋น!

        ทั้งๆ ที่เป็นการค้าในพื้นที่ของตระกูลอวิ๋น แต่สุดท้ายส่วนแบ่ง กลับสูงกว่าตระกูลฉินเพียงนิดเดียว ตระกูลหวังถือเอาตระกูลอวิ๋นเป็นแค่ผู้ใช้แรงงานอย่างนั้นหรือ

        สีหน้าของพวกผู้นำตระกูลอวิ๋นเข้มขึ้น เพียงครู่เดียวบรรยากาศภายในหอประชุมก็กลายเป็นอึดอัด ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากสักคน เงียบจนหากเข็มหล่นก็ยังได้ยิน

        ในที่สุดอวิ๋นเว่ยเซิงก็เอ่ยปาก “นายน้อยหวัง การแบ่งผลประโยชน์เช่นนี้เกรงว่าจะไม่ค่อยยุติธรรมต่อตระกูลอวิ๋นเราไปสักหน่อย เพราะอย่างไรพื้นที่ผลผลิตทั้งหมดก็เป็นของตระกูลอวิ๋นเรา”

        แม้จะโกรธมาก แต่อวิ๋นเว่ยเซิงก็ยังควบคุมตนเองได้อย่างดีเยี่ยม เพราะผู้ที่เขากำลังเผชิญหน้าคือขุมกำลังที่มียอดฝีมือระดับก่อจิต ไม่ใช่ตระกูลฉินที่เป็นคู่ปรับกับตระกูลอวิ๋น หากทำให้ตระกูลหวังขุ่นเคือง ตระกูลอวิ๋นคงไม่อาจต้านทานเพลิงโทสะของพวกเขา

        “หากสลับส่วนแบ่งผลกำไรของตระกูลหวังกับตระกูลอวิ๋นเราสักหน่อย บางทีอาจพอพิจารณาดูได้!” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ คนผู้นี้มีนามว่า อวิ๋นหลานเหอ เป็นหัวหน้าหน่วยล่าสัตว์กลุ่มเล็กและผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรชั้นสูง เขามักอยู่บนเทือกเขาเหนือเมฆาตลอดปี คลุกคลีอยู่ระหว่างเส้นแบ่งความเป็นและความตาย จึงมีกลิ่นอายโลหิตอยู่เสมอ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งจากตระกูลหวังเขาก็ไม่หวั่น

        หวังจิงอวิ๋นยังคงสงบนิ่ง เอ่ยด้วยความเรียบเฉย “ที่จริงก็ไม่น้อยแล้ว ประมุขตระกูลอวิ๋น ท่านต้องรู้ว่าตระกูลหวังเราเป็นผู้สนับสนุนกลไกสำคัญของการค้าเหล่านี้ ตระกูลอวิ๋นของท่านก็เหมือนกับนอนนับเงิน ได้ส่วนแบ่งมากขนาดนี้ถือว่าไม่น้อยแล้ว”

        “เหอะๆ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลผลิตจากตระกูลอวิ๋นเรา ตระกูลหวังได้คิดถึงข้อนี้หรือไม่” มีคนเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่พอใจ รู้สึกว่าตระกูลหวังวางอำนาจเกินไป “หลังร่วมมือยังได้กำไรน้อยกว่าก่อนร่วมมือเสียอีก การร่วมมือเช่นนี้ นายน้อยหวังคิดว่าเหมาะสมแล้วหรือ”

        “หุบปาก! อย่าได้เสียมารยาทต่อนายน้อยหวัง!” อวิ๋นเว่ยเซิงเอ่ยขัด “ตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังเจรจาอยู่หรือ ข้าคิดว่า ตระกูลหวังจะต้องมีวิธีจัดสรรผลประโยชน์อย่างเหมาะสมแน่”

        ต้องยอมรับว่าอวิ๋นเว่ยเซิงสุขุมลุ่มลึกกว่า พอเอ่ยปากไม่เพียงทำให้ตระกูลหวังไม่มีเหตุผลให้โกรธเคือง ทั้งยังจี้ลงไปตรงจุดว่า วิธีแบ่งผลประโยชน์ของตระกูลหวังไม่เหมาะสม

        “เหอะๆ!” หวังจิงอวิ๋นหัวเราะเบาๆ “พวกเจ้าคิดว่าไม่ยุติธรรมก็เพราะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมีกำไรมากเพียงไหน ขอเพียงทำตามวิธีที่ข้าว่ามา ตระกูลอวิ๋นจะได้รับเงินทองมากมาย ทั้งยังเป็นการนอนนับเงินด้วยซ้ำ!”

        คำพูดของหวังจิงอวิ๋นหลอกได้แต่ผีเท่านั้น ทุกคนที่มีสมองต่างก็รู้ว่าความหมายของเขาคือไม่มีทางถอยให้ และจะต้องทำตามส่วนแบ่งที่กำหนดไว้เท่านั้น

        “นายน้อยหวัง ทำไมจึงไม่เลือกร่วมมือกับตระกูลฉินและตระกูลซาง” ผู้อาวุโสสามถามขึ้นมา คิดจะชักนำเคราะห์ร้ายนี้ออกไป

        แต่หวังจิงอวิ๋นไม่ลงหลุมพราง เขาพูดอย่างเรียบเรื่อย “การค้าของตระกูลซางและตระกูลฉินแตกต่างจากตระกูลของพวกเรามากเกินไป ไม่อาจร่วมมือกันด้วยดี มองทั่วเมืองกวนซานเจิ้น มีแต่ตระกูลอวิ๋นที่สามารถร่วมมือกับตระกูลหวังเราได้”

        “เหอะๆ” ผู้อาวุโสสามหัวเราะเสียงเย็น “ข้าว่าที่ไม่เลือกตระกูลฉินเพราะตระกูลฉินเป็นสุนัขของตระกูลหวัง ไม่เลือกตระกูลซางเพราะตระกูลซางมีคนหนุ่มสาวอยู่ในสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยไม่น้อยกระมัง”

        “พูดอะไรน่ะ” คนตระกูลฉินหลายคนพากันตบโต๊ะถลึงตา ถึงพวกเขาเป็นฝ่ายเข้าหาตระกูลหวังจริง แต่เมื่อถูกคนนำมาพูดต่อหน้าเช่นนี้ย่อมไม่อาจรับ

        ผู้อาวุโสสามไม่สนใจคนจากตระกูลฉิน เขามองหวังจิงอวิ๋นพลางเอ่ยเสียงเย็น “นายน้อยหวังควรรู้ว่าตระกูลอวิ๋นของข้า ก็มีผู้เยาว์หลายคนอยู่ในสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยเช่นกัน!”

        “คิดจะกลืนกินตระกูลอวิ๋น ก็ต้องดูก่อนว่าพวกเจ้ามีปัญญาหรือไม่!” อวิ๋นหลานเหอเอ่ยเสียงดัง

        “ไม่ผิด! ตระกูลอวิ๋นเราไม่ใช่ลูกพลับนิ่ม*!” คนตระกูลอวิ๋นมากมายพากันส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ ตระกูลหวังทำเกินไปแล้ว คนตระกูลอวิ๋นไม่อาจยอมรับได้ครั้งนี้อวิ๋นเว่ยเซิงไม่ได้ห้ามปราม เพราะตระกูลหวังตั้งท่าจะกลืนกินตระกูลอวิ๋นให้ได้ เขาเองก็ต้องต่อต้าน จึงยิ่งมีคนไม่พอใจตระกูลหวังมากกว่าเดิม หากไร้หนทางจริงๆ ตระกูลอวิ๋นยินดีถูกกวาดล้าง ดีกว่าปล่อยให้ผู้อื่นครอบงำ หากเป็นเช่นนั้นนับว่าได้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์

        ผู้แข็งแกร่งระดับก่อจิตตระกูลหวังยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้เอ่ยปากพูด เขามาเพื่อคุ้มครองหวังจิงอวิ๋น มีแต่ตอนที่หวังจิงอวิ๋นไม่สามารถรับมือ เขาจึงจะลงมือ แต่ถึงตอนนี้หวังจิงอวิ๋นยังรับมือได้อยู่

        บรรยากาศในหอประชุมเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง หวังจิงอวิ๋นยังคงความเยือกเย็น เขายกถ้วยน้ำชาตรงหน้าขึ้นมาจิบคำหนึ่ง รอจนคนตระกูลอวิ๋นหยุดพูดแล้วค่อยเอ่ยช้าๆ “ดูท่าคนตระกูลอวิ๋นคงไม่เข้าใจเกี่ยวกับสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยสักเท่าไร”

        “หมายความว่าอย่างไร” ผู้อาวุโสสามขมวดคิ้ว

        “พวกท่านคงไม่รู้ว่าศิษย์ของสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยแบ่งออกเป็นศิษย์ใน และ… ศิษย์นอก” หวังจิงอวิ๋นยิ้มตอบ “สำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุย มีฝ่ายนอกนับหมื่นคน ศิษย์ฝ่ายนอก ไม่ได้มีฐานะสูงส่งอย่างที่พวกเจ้าคิด”

        ฉินเหอหลินพลันเอ่ย “น่าเสียดายที่ต้องบอกกับตระกูลอวิ๋นทุกท่านว่า ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์หลายคนนั้นของตระกูลอวิ๋นเป็นศิษย์นอกทั้งหมด ไม่มีใครเป็นศิษย์ในของสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุย”

        “นี่…” คนตระกูลอวิ๋นต่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทุกคนมองอวิ๋นเว่ยเซิง เห็นสีหน้าที่ไม่อาจปฏิเสธของท่านประมุขก็รู้แล้วว่าเรื่องที่หวังจิงอวิ๋นและฉินเหอหลินพูดเป็นเรื่องจริง 

        ฉินเหอหลินกล่าวต่อ “ขอบอกทุกท่านตามตรง ตระกูลซางมีคนผู้หนึ่งเป็นศิษย์ใน” ดังนั้นตระกูลหวังจึงไม่แตะต้องตระกูลซาง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา “ตระกูลหวังไม่เพียงมีศิษย์นอกจำนวนไม่น้อย แต่ยังมีศิษย์ในสองคน” 

        “ศิษย์นอก ศิษย์ใน แล้วจะอย่างไร”

        “ฮ่าๆ ศิษย์ใน ขอเพียงไม่ผิดพลาดก็เกือบแน่นอนว่าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับท่องพันลี้ อีกอย่างเมื่อกลายเป็นศิษย์ใน ความสามารถของพวกเขาก็เทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับก่อจิตแล้ว”

        คนส่วนใหญ่ในตระกูลอวิ๋นพากันหน้าซีดขาว พวกเขาไม่เคยรู้จริงๆ ว่า ศิษย์ในคือว่าที่ยอดยุทธ์ระดับท่องพันลี้! ผู้แข็งแกร่งระดับท่องพันลี้เชียวนะ สามารถกวาดล้างตระกูลอวิ๋นได้อย่างง่ายดาย! ตระกูลหวังมีบุคคลเช่นนั้นถึงสามคน! เหล่าผู้นำตระกูลอวิ๋นเหมือนได้รับแรงกดดันมหาศาลในชั่วพริบตา

        เผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับก่อจิตชั้นสูง พวกเขายังมีความกล้าอยู่ส่วนหนึ่ง แต่หากต้องเผชิญหน้ากับระดับท่องพันลี้ของตระกูลหวัง ต่อให้พวกเขาทั้งหมดร่วมมือกันก็ยังไร้ความหมาย คงต้องตายกันหมด

        ไม่มีใครสงสัยความจริงข้อนี้ เพราะว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตรวจสอบยาก ยิ่งกว่านั้นแค่คนที่อยู่ข้างกายหวังจิงอวิ๋นก็สามารถรับมือประมุขตระกูลได้อย่างเกินพอ พวกเขาไม่จำเป็นต้องกุเรื่องขึ้นมา

        แต่ว่ามีเพียงต้องยอมสยบ อยู่อย่างหดหัวเท่านั้นหรือ

        ตอนนี้คนตระกูลอวิ๋นทั้งหมดต่างรู้สึกว่าต่ำต้อยลงไปส่วนหนึ่ง แม้แต่ผู้อาวุโสสามและอวิ๋นหลานเหอก็ไม่พูดอะไร จริงอยู่ที่พวกเขาเลือดในกายร้อนระอุ คิดเดิมพันดูสักครั้งอย่างไม่กลัวตาย แต่หากทำเช่นนั้น ตระกูลอวิ๋นก็คงต้องถูกกลบฝังทั้งหมด การทุ่มหมดหน้าตักนั้นคุ้มค่าจริงหรือ

        หวังจิงอวิ๋นพลันเอ่ย “จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ หากทำตามที่ตกลงแต่แรกก็ไม่ใช่ว่าลงตัวแล้วหรือ ทุกคนต่างมีความสุข ตระกูลอวิ๋นก็ยังรักษาหน้าไว้ได้ ตอนนี้เป็นอย่างไร ทำตนเองเสียหน้าป่นปี้หมดแล้วได้ประโยชน์อะไร”

        ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม 

        ………………………………………

        *軟柿子Ruǎn shìzi หมายถึง คนอ่อนแอ ไร้พลังอำนาจ สามารถข่มเหงได้ง่าย

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท