เบื้องหน้านั้นหนีเฟิ่งฟังดูเข้าอกเข้าใจทุกคนเป็นอย่างดี
อย่างไรน้ำเสียงที่นางใช้พูดก็อ่อนโยนอย่างมาก
ทุกคนต่างคิดว่านางเป็นคนมีเหตุผล ใจดี และเปี่ยมไปด้วยความซื่อตรง
แต่อันที่จริงนั้น การโต้ตอบของนางไม่ได้เพียงช่วยให้หนีเปียวเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันนี้ได้เท่านั้น แต่มันยังทำให้ความสำคัญของชัยชนะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้มาในรอบนี้ลดน้อยลง ด้วยการชี้ให้เห็นว่าชัยชนะนี้ไม่ได้มีความสลักสำคัญแต่ประการใด เพราะมันไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้ายของการแข่งขัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยพบหนีเฟิ่งในชาตินี้มาก่อน แต่นางรู้จักหนีเฟิ่งในอดีตชาติเป็นอย่างดี นางเป็นคนประเภทที่ปล่อยให้คนอื่นรับบทตัวร้าย แต่ตัวเองจะคอยเติมเชื้อไฟและหลบอยู่ข้างหลังพวกเขา
หากเทียบกับหนีหู่แล้ว นางทนผู้เป็นพี่สาวของเขาไม่ได้มากกว่าเสียอีก
เด็กสาวที่เป็นพระชายากลับชาติมาเกิดหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ มันไม่ใช่เรื่องจริง และนางไม่ได้ทำตัวให้เหมาะสมกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่คนพวกนี้ก็งมงายและเชื่อสายตาของตัวเองมากกว่าสิ่งอื่น
ดังนั้นพวกเขาจึงพากันพยักหน้าตามทุกอย่างที่หนีเฟิ่งพูด
“คุณหนูหนีพูดถูก พวกเราเข้าไปข้างในสุสานหลวงกันดีกว่า เป้าหมายสูงสุดของพวกเราก็คือพระสรีระ การมาถึงที่นี่เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น ใครจะรู้ล่ะว่าจะมีอันตรายอะไรรอเราอยู่ในนั้น เรารีบเข้าไปข้างในก่อนจะมืดไปกว่านี้ แล้วพยายามออกมาก่อนฟ้าสางจะดีกว่า”
หนีเฟิ่งพอใจเมื่อได้ยินเสียงสนับสนุนนั้น นางมองไปที่คนคนนั้นแล้วส่งยิ้มให้กับเขา เป็นอีกครั้งที่นางสามารถเอาชนะใจบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้ทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยเม้มปาก แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”คุณหนูหนี คนที่ทำให้เรื่องราวซับซ้อนขึ้นก็คือนายท่านหนีและน้องชายของเจ้า แต่เจ้ากลับชี้นิ้วใส่ผู้อื่นแทนหรือ ช่างน่าฉงนยิ่งนัก”
นิ้วของหนีเฟิ่งชะงักไปและกำเข้าหากันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่นางก็สามารถกลับมาสงบเยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว นางกระแอมแล้วตอบว่า ”เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่การเข้าใจผิดเท่านั้น ท่านอาจจะถือสาน้องชายของข้าเกินไป จึงทำให้เรื่องราวดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ได้ ท่านจะรับคำขอโทษหรือไม่ถ้าข้าขอโทษแทนเขา”
ทุกคนที่ตั้งใจฟังย่อมรู้ว่านางไม่คิดที่จะขอโทษจากใจ นางเอาแต่ยืนกรานว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจริงจังกับสถานการณ์นี้เกินไป ทุกอย่างเป็นเพียงแค่การเข้าใจผิด และยังฟังดูเหมือนกับว่าคนในตระกูลหนีเป็นผู้บริสุทธิ์มาตลอด
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะดูเหมือนคนใจแคบทันทีถ้านางปฏิเสธที่จะยอมรับคำขอโทษของนาง
หนีเฟิ่งรู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนเช่นใดตั้งแต่ได้พบครั้งแรก และยังรู้อีกด้วยว่านางจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางเลือกที่จะตอบโต้ด้วยการใช้ไม้อ่อน
คำพูดของนางจะทำให้ฝ่ายที่กำลังข่มเหงคนอื่นไม่ใช่ตระกูลหนีอีกต่อไป แต่เป็นคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับนาง
แต่หนีเฟิ่งกลับนึกไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะยิ้มออกมา นางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหนีเฟิ่งราวกับสามารถอ่านความคิดของนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นจึงตอบอย่างเย็นชาว่า ”ได้สิ เช่นนั้นก็เชิญขอโทษข้ามาเถอะ”
หนีเฟิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกำมือเข้าหากันอีกครั้งพร้อมกับหรี่ตาลง นางนึกไม่ถึงเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะตอบตกลงได้หน้าตาเฉยถึงเพียงนี้! อันที่จริงนางไม่ได้อยากขอโทษอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรก และสิ่งที่นางเตรียมไว้มีเพียงแค่คำพูดสำหรับทำให้ทุกคนเกลียดชังเฮ่อเหลียนเวยเวยเมื่อนางงับเหยื่อเท่านั้น
แต่ตอนนี้สถานการณ์พลิกผันเสียแล้ว
ดูเหมือนเหยื่อของนางจะไม่ทันสังเกตเห็นเหยื่อล่อที่นางบรรจงวางไว้เลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรจะมาตกหลุมพรางที่นางวางไว้ได้
แม้คำขอโทษจะไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าการแสดงสำหรับนาง แต่ความรู้สึกราวกับตัวเองต่ำต้อยกว่าอีกฝ่ายเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
แต่ต่อให้ภายในจะรู้สึกเช่นไร หนีเฟิ่งก็ไม่เคยแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาให้ใครเห็น นางยังคงเยือกเย็น จากนั้นจึงกระแอมออกมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับไอออกมาว่า ”ข้าขอโทษ”
จูเก่ออวิ๋นอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น
เขาไม่เคยเห็นใครสามารถทำให้คนตระกูลหนีกล่าวขอโทษต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้มาก่อน แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งจะพิสูจน์ให้เห็นว่านางเป็นคนเดียวที่สามารถทำได้ และยังทำได้ด้วยกำลังของตนเองอีกด้วย!
นอกจากจูเก่ออวิ๋นแล้ว ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ต่างก็มองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความชื่นชมเล็กน้อยแต่ก็ยากจะปิดบังได้
น่าเสียดายที่นายน้อยเซียวและกลุ่มของเขายังมาไม่ถึง ถ้าพวกเขาได้เห็นภาพนี้ พวกเขาจะต้องเข้ามาเกาะติดเฮ่อเหลียนเวยเวยและบูชานางเป็นแน่
พวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวที่ได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของนางมากับตา
จนกระทั่งถึงตอนนี้ นอกจากจูเก่ออวิ๋นแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องของเฮ่อเหลียนเวยเวยกับค้างคาวดูดเลือดฝูงนั้นอีก
แน่นอนว่าถ้าทุกคนรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาจะต้องตกใจจนตัวสั่นไปอีกนาน
ในเวลานี้ สองพ่อลูกตระกูลหนียังไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงคิดว่าเมื่อเข้าไปถึงสุสานหลวง เฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องคุกเข่าร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องการเข้าไปในสุสานหลวงโดยเร็วที่สุด
ต่อให้เจ้าพวกนี้จะโต้คารมเก่งเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายฝีมือธรรมดา ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในสุสานหลวง ตระกูลหนีจะได้อยู่ในที่ที่ตนคุ้นเคย เจ้าเด็กเหลือขอจอมอวดดีทั้งสามคนควรเริ่มคิดถึงชีวิตอันต่ำต้อยของตัวเองได้แล้ว!
หนีหู่สงบใจลงได้เมื่อคิดเช่นนั้น แม้ในสมองของเขาจะยังคงมีภาพตอนที่ตัวเองคุกเข่าลงขอขมาอีกฝ่ายผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน และต่อให้เขาจะรู้สึกเหมือนถูกฝูงชนตบหน้าเข้าอย่างจัง แต่เขาก็จำต้องข่มความคิดเหล่านั้นเอาไว้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
เขาจะเอาคืนคนพวกนี้ได้ก็ต่อเมื่อเขารู้จักใจเย็นให้มากกว่านี้!
“ได้เวลาแล้ว” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ”ผ่านมาครึ่งวันแล้ว ต่อให้มีกลุ่มอื่นมาถึง แต่พวกเขาก็น่าจะถูกตัดสินให้ตกรอบอยู่ดี เราไม่ต้องรอพวกเขา และเข้าสุสานหลวงกันได้แล้ว”
ประโยคนี้ทำให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่นั่งพักผ่อนกันอยู่ต่างกลับมาตื่นตัวอีกครั้ง!
อย่างไรการเดินทางเข้าไปในสุสานหลวงก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายอันใดทันทีที่เข้าไปถึง
พวกเขาอาจจะเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกกลัว
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะที่นี่เป็นสุสานโบราณ และยังเต็มไปด้วยสิ่งที่พวกเขายังไม่เข้าใจ
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายถึงกับตามหาผู้อาวุโสจากภูเขาไท่ไป๋ให้มาเป็นผู้นำทางของพวกเขา
ผู้อาวุโสเป็นคนในพื้นที่ เกิดและโตที่นั่น ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมของที่แห่งนี้เป็นอย่างดี
แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่ต้องการเข้าไปในสุสานแห่งนั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะเงินรางวัลจำนวนมหาศาล ก็คงยากที่จะเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าไปในสุสานหลวงได้
เขาเคยอยู่ในกองทัพมาก่อน หน่วยของเขามีหน้าที่ในการค้นหาสมบัติมีค่าจากสุสานให้กับราชสำนักมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ก่อน
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอาจมีพลังในการขับไล่ปีศาจ แต่การตามล่าหาสมบัติไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสเข้าไปในสุสานพร้อมกับพวกเขา
ตระกูลหนีมีผู้มีประสบการณ์ด้านนี้อยู่ในกลุ่มมากกว่าสองคน ดังนั้นพวกเขาจึงมีโอกาสที่จะชนะสูงอย่างมาก ในขณะเดียวกันโอกาสที่พวกเขาจะเจออันตรายในสุสานหลวงเองก็ลดน้อยลงไปด้วย
แต่นักล่าสมบัติตามสุสานเช่นนี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปเสียทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยทำงานให้กับราชสำนัก พวกเขามักจะยึดติดกับกฎระเบียบมากกว่าคนที่ปล้นสุสานเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องทองคำในช่วงเวลาที่สำคัญ หรือพวกเขาต้องจุดเทียนที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของโลงศพเท่านั้น
พวกเขาจะต้องออกมาจากที่นั่นทันทีที่เทียนหมดเล่ม
ว่ากันว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้อตกลงระหว่างคนเป็นกับคนตาย
หนีเปียวไม่สนใจกฎระเบียบพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือการเอาพระสรีระมาเป็นของตัวเอง ไม่ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็จะทำให้เจ้าเด็กเหลือขอปากคอเราะร้ายผู้นี้ได้รู้ว่าความเสียใจรสชาติเป็นอย่างไร!
ทันทีที่เข้าไปในสุสานหลวง เจ้าพวกนี้จะได้รู้เสียทีว่าใครกันที่คุมที่นี่อยู่!