ตอนที่ 753 กลับบ้านในวันที่สอง
เนื่องจากคุณย่าฟางขอให้หลินม่ายและคนอื่น ๆ กลับบ้านตอนสิบเอ็ดโมง หลินม่ายและคนอื่นๆ จึงเดินเล่นเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งและกลับบ้านตอนสิบโมงครึ่ง
โชคดีที่เธอกลับมาเร็ว เพราะมีแขกมากมายเดินทางมาที่บ้านของพวกเธอ ทุกคนล้วนเป็นอดีตสหายร่วมรบ ผู้ใต้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงานของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
หลินม่ายประเมินด้วยสายตาว่ามีอย่างน้อยสามสิบถึงสี่สิบคน แสดงว่าต้องทำอาหารให้พวกเขาเทียบได้กับโต๊ะจีนสี่โต๊ะใช่ไหม?
หลินม่ายทักทายแขกด้วยความเคารพ และพาเถาจืออวิ๋นไปที่ครัวเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน
เด็ก ๆ ทั้งสองและฟางจั๋วหรานช่วยคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางให้ความบันเทิงแก่แขก รินชา รินน้ำ จุดบุหรี่ และพูดคุยกับแขก
บุคลิกของฟางจั๋วเยวี่ยนั้นไม่ได้เฉยชา และเขายังเป็นคนช่างเจรจา ทำให้ชายชราเหล่านั้นหัวเราะบ่อยครั้ง
แม้ฟางจั๋วหรานจะไม่ได้พูดมาก แต่ก็มีชายชราสองสามคนที่พูดคุยกับเขา และทั้งหมดก็ถามเขาเกี่ยวกับสุขภาพของตน
ฟางจั๋วหรานตอบคำถามของพวกเขาอย่างอดทน
คนชราเหล่านี้ได้หลั่งเลือดเพื่อประเทศ ฟางจั๋วหรานเคารพพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลินม่ายยังแสดงทักษะการดูแลบ้านและเตรียมอาหารกลางวันอย่างระมัดระวัง
อาหารจัดเลี้ยง เช่น ไคสุ่ยไป๋ไช่ ลูกชิ้นหัวสิงโต ไก่กังเปา ซุปเต้าหู้เหวินซือ พระกระโดดกำแพง อาหารทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือของเธอทั้งหมด
อีกทั้งหลินม่ายยังทำเค้กเนื้อ เค้กปลา ลูกชิ้นไข่มุก ขาหมูตงโป และซี่โครงหมูนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ควบคู่ไปกับซุปรากบัว
อาหารกลางวันฝีมือหลินม่ายทั้งหมดจึงถือเป็นอาหารที่หรูหราอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือรสชาติ ไม่ว่าจะทำให้เจ็บปวดฟันมากเพียงใดก็ยังจะฝืนกิน
ผู้เฒ่าเหล่านั้นต่างชมเปาะต่ออาหารอันโอชะที่หลินม่ายทำอย่างไม่ขาดปาก
เมื่อเห็นคนชราเหล่านี้รับประทานอาหารอย่างมีความสุข หลินม่ายก็มีความสุขเช่นกัน
นักปฏิวัติรุ่นเก่าเหล่านี้สมควรได้รับการดูแลจากคนรุ่นใหม่
ก่อนที่งานเลี้ยงอาหารกลางวันจะสิ้นสุดลง ท้องฟ้าก็เริ่มมีหิมะตกหนัก
หิมะนี้ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด และเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา
ในวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ หิมะบนพื้นสูงก็เกินข้อเท้า
ซูอวี้อิ๋งตื่นขึ้นแต่เช้า เมื่อเห็นว่าหิมะตกหนักกว่าเมื่อวาน หล่อนก็รู้สึกกังวลทันที
เมื่อวานเป็นวันแรกของปีใหม่ ธุรกิจตลาดฮุ่ยหมินทั้งสองของหล่อนยังคงย่ำแย่
วันนี้หิมะตกหนัก เกรงว่าจะมีลูกค้าที่ไปตลาดของเธอน้อยลง
อาหารสดจำนวนมากในตลาดของหล่อนถูกวางขายมาหลายวันแล้ว ปลาและเนื้อตอนนี้ต่างเริ่มมีกลิ่นเหม็น
หากวันนี้ขายไม่ได้ก็ต้องทิ้งไป เป็นเช่นนั้นหล่อนคงต้องขาดทุนไม่ใช่น้อย
ซูอวี้อิ๋งรับประทานอาหารเช้าด้วยความเศร้าหมอง และขอให้คนขับรถของพ่อขับรถพาหล่อนไปที่ตลาดฮุ่ยหมินสาขาแรก เพราะต้องอธิบายงานของวันนี้ให้ผู้จัดการทั้งสองฟัง
อันที่จริงรถของเขาเก็บไว้ใช้สำหรับงานทางการ และไม่เคยนำมาใช้ในเรื่องส่วนตัว แต่เขาก็ไม่อาจขัดแย้งได้
คนขับรถของพ่อซูไม่มีความสุข แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะผู้หญิงคนนี้คือลูกสาวของเจ้านาย
เขายังคงเชื่อฟังและขับรถพาหล่อนไปยังตลาดฮุ่ยหมินตามคำร้องขอ
ผู้จัดการเฉียนและผู้จัดการหม่ามาถึงแล้ว
ผู้จัดการเฉียนเห็นซูอวี้อิ๋งก็พลันเอ่ย “คุณซูครับ อาหารสดจำนวนมากในตลาดของเราเริ่มส่งกลิ่นเหม็น ผมคิดว่าน่าจะเน่าเสียแล้ว และเราควรทิ้ง”
ผู้จัดการหม่ากล่าวเสริม “ผักในตลาดก็เริ่มเน่าเสียแล้ว ต้องทิ้งเหมือนกันครับ”
ซูอวี้อิ๋งโบกมือ “จะทิ้งได้ยังไง? คิดว่าฉันรวยนักหรือยังไง? ล้างกลิ่นคาวและกลิ่นเหม็นเน่าของปลาออกให้หมด ทำให้เป็นปลาตากแห้งและขายในราคาถูก ส่วนหมูให้นำไปหมักด้วยเกลือ และขายในราคาถูกเหมือนกัน ส่วนผักที่เน่าเสียให้ตัดส่วนที่เน่าทิ้งแล้วเก็บส่วนที่ดีไปขายราคาถูก อาหารที่ปรุงไม่สุกให้เติมเกลือและน้ำดองมากขึ้น ขายในราคาต่ำและจัดโปรโมชั่นด้วย”
ผู้จัดการเฉียนและผู้จัดการหม่ามองหน้ากันด้วยความตกใจ
ผู้จัดการเฉียนพูดอย่างกล้าหาญ “ต่อให้วัตถุดิบเหล่านี้จะผ่านกรรมวิธีเพื่อกลบกลิ่นได้ แต่มันก็เสื่อมสภาพไปมากแล้ว เรา… อย่าขายเลยดีกว่านะครับ เพราะหากลูกค้ากินเข้าไป เราก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“จะต้องกลัวอะไรอีก จะปล่อยให้อาหารเน่าเสียแล้วต้องทิ้งจนหมดหรือยังไง?” ซูอวี้อิ๋งจ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจ “หากคุณไม่ทำให้มันสกปรก ก็จะไม่มีใครท้องเสีย ชาวบ้านที่ยากจนพวกนั้นก็ต่างเก็บผักกาดขาวเน่า ๆ มากิน ฉันก็ไม่เห็นว่ามีใครตายเพราะกินมันนะ ฉันเองก็เคยเอาปลาพวกนั้นไปหมักด้วยพริก เกลือ และพริกไทย และต้องเอาไปปรุงสุกก่อนกินอยู่แล้ว แบบนี้ปลอดภัยเสียยิ่งกว่าการกินผักกาดเน่าอีก พวกคุณยังกลัวว่าพวกเขาจะท้องเสียอีกเหรอ? ต่อให้กินแบคทีเรียทั้งเป็นก็ไม่มีใครป่วย พวกคนจนไม่มีใครป่วยอย่างง่ายดายหรอก”
หลังจากฟังคำพูดของซูอวี้อิ๋ง ผู้จัดการเฉียนก็รู้สึกอึดอัดมาก
แต่เขาก็เป็นเพียงลูกจ้างที่ไม่อาจขัดคำสั่งของเจ้านาย ดังนั้นจึงทำได้เพียงเงียบปาก
ซูอวี้อิ๋งจัดแจงงานในวันนี้และขึ้นรถของคุณพ่อซูเพื่อเดินทางกลับบ้าน และร้องขอให้สามีกลับบ้านไปพร้อมกับหล่อน
วันที่สองของเทศกาลปีใหม่คือวันที่ควรเดินทางกลับไปหาครอบครัว
หากหล่อนไม่สามารถพาสามีกลับไปหาครอบครัวของตัวเองได้ ก็สมควรที่จะปล่อยเขาไป
หลินม่ายก็จะกลับบ้านเกิดของเธอในวันนี้เช่นกัน
หลังอาหารเช้า ทั้งคู่เตรียมของขวัญและพาโต้วโต้วขึ้นรถจี๊ปของฟางจั๋วหรานไปที่บ้านของพ่อไป๋
บ้านพ่อของไป๋อยู่ไม่ไกลจากบ้านของหลินม่าย แต่หิมะบนพื้นหนาเกินไป ทำให้เดินลำบากและล้มง่าย ดังนั้นจึงควรขับรถเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากถนนลื่น
เมื่อขับรถไปได้ครึ่งทาง หลินม่ายก็เห็นร่างที่คุ้นเคยสองร่างต่อสู้กันผ่านหน้าต่างรถ
ร่างที่คุ้นเคยทั้งสองนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแม่ไป๋และไป๋ซวง
เห็นได้ชัดว่าแม่ไป๋ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไป๋ซวง หล่อนถูกไป๋ซวงทุบตีจนล้มลงกับพื้น
ฟางจั๋วหรานเองก็เห็นแม่ไป๋และไป๋ซวงต่อสู้กัน
เขาลดความเร็วลง เอียงศีรษะแล้วถามหลินม่าย “คุณอยากลงไปดูไหม?”
หลินม่ายส่ายศีรษะ “ไม่”
เพราะแม่ไป๋เคยสร้างบาดแผลในหัวใจของเธอมาก่อน ดังนั้นหลินม่ายจึงปฏิเสธที่จะสนใจเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเธอใจแข็งยิ่งกว่าหินผา
แต่หากแม่ไป๋ถูกไป๋ซวงทุบตีจนเป็นอันตราย เธอจะโทรหาตำรวจทันที
เพราะเธอต้องการใช้โอกาสนี้กำจัดไป๋ซวง
แม้ว่าแม่ไป๋จะถูกไป๋ซวงทุบตีกับพื้น แต่หล่อนก็ยังเห็นรถจี๊ปของฟางจั๋วหรานแล่นผ่านไปไม่ไกล
หล่อนเชื่อมั่นว่าหลินม่ายและสามีเห็นหล่อนกำลังตกทุกข์ได้ยาก เพราะเห็นได้ชัดว่ารถจี๊ปของฟางจั๋วหรานขับช้าลงในระยะหนึ่ง
ทว่ารถจี๊ปไม่ได้หยุด แต่กลับเร่งออกไป
แม่ไป๋น้ำตาไหลด้วยความเสียใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะถูกงูพิษไป๋ซวงหลอกล่อ หล่อนคงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับลูกสาวตัวน้อยคนนี้
หลินม่ายและสามีคงไม่ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือเมื่อเห็นหล่อนถูกไป๋ซวงทุบตี
ทั้งหมดนี้เกิดจากไป๋ซวง
แม่ไป๋ที่ถูกไป๋ซวงกดและถูบนพื้นบันดาลโทสะมากขึ้นเรื่อย ๆ และทันใดนั้นก็ระเบิดออกมา หล่อนทุบตีไป๋ซวงอย่างรุนแรงจนโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
แต่หลินม่ายไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้เป็นธรรมดา
พ่อไป๋ตื่นแต่เช้าตรู่ พาไป๋เซี่ยและไป๋ลู่เตรียมงานเลี้ยงครอบครัวสำหรับต้อนรับลูกสาวสองคนที่แต่งงานแล้วกลับบ้าน
ตั้งแต่ลูกเขยคนโตเริ่มธุรกิจเล็ก ๆ ลูกสาวคนโตก็ค่อนข้างยุ่ง ส่วนลูกสาวคนเล็กยุ่งกับการเรียนและธุรกิจจนไม่มีเวลากลับบ้านเกิด เขาไม่ได้เห็นลูกสาวทั้งสองมาสักพักแล้ว
ในที่สุดก็ถึงวันที่ลูกสาวและลูกเขยของเขาได้กลับมาหาครอบครัว ทำให้พ่อไป๋รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ในขณะที่ยุ่งอยู่ เขาก็ไม่ลืมที่จะออกไปดูนอกบ้านหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง
ก่อนสิบโมง ลูกสาวสองคนที่แต่งงานแล้วต่างก็มาพร้อมครอบครัว
ลานบ้านของพวกเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
เถียนเถียนอายุมากกว่าหนึ่งขวบแล้ว และกำลังเรียนรู้ที่จะเดิน
โต้วโต้วช่วยให้หล่อนหัดเดินในห้องนั่งเล่น
หลินม่ายบอกหล่อนให้ระมัดระวังขณะดูแลน้อง เพราะน้องอาจล้มได้
หยางจิ้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ล้มก็ไม่เป็นไรหรอก พื้นบ้านของพ่อปูด้วยไม้ หากเถียนเถียนล้มก็จะไม่เจ็บอย่างแน่นอน”
หลินม่ายและไป๋เหยียนพับแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะทำงานครัว
พ่อไป๋และพี่น้องทั้งสองเข้ามาห้ามปรามพวกเธอ โดยบอกว่าลูกสาวที่แต่งงานแล้วถือเป็นแขก ในฐานะเจ้าบ้าน พวกเขาไม่อาจให้แขกทำงานบ้านได้
ทั้งสองคนกลับไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อพูดคุยกัน
หลินม่ายกระซิบว่าเธอเห็นแม่ไป๋และไป๋ซวงต่อสู้กันบนถนน
ไป๋เหยียนถอนหายใจพลางกล่าว “เราก็เคยเจอเหตุการณ์นี้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าไม่มีความหวังที่จะได้คืนดีกับพ่อ แม่ก็เอาแต่ตำหนิไป๋ซวงที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด แม่ตามหาไป๋ซวงทั่วเมือง หากได้พบหล่อนก็จะทำการทุบตีหล่อนทันที แต่พี่ไม่คิดเลยว่าในวันปีใหม่เช่นนี้แม่ก็ยังเลือกที่จะไม่ยอมปล่อยไป๋ซวงไป การทะเลาะวิวาทกันกลางถนนท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านช่างเป็นเรื่องน่ารังเกียจ”
หลินม่ายนึกถึงฉากที่แม่ไป๋ถูกไป๋ซวงกดลงบนพื้นด้วยความรู้สึกงุนงง “พี่รู้ไหมว่าแม่เอาชนะไป๋ซวงไม่ได้?”
เธอรู้สึกว่าแม่ไป๋สมองฝ่อเสียจนไม่สามารถตระหนักถึงความถูกผิดได้อีกต่อไป ทำอะไรตามอารมณ์จนขาดการไตร่ตรอง
ไป๋เหยียนพูดอย่างหมดหนทาง “บางทีแม่อาจจะหวาดระแวง พี่ไม่รู้เลยว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรที่กระตุ้นนิสัยหวาดระแวงที่ซ่อนอยู่ของแม่หรือเปล่า รู้แค่ว่าที่ผ่านมาแม่เป็นคนมีสติปัญญาและใจกว้าง แต่เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้น ลักษณะนิสัยหวาดระแวงของแม่ก็ถูกเปิดโปง แม่ผิดปกติขนาดเดินไปตามถนนราวกับคนไร้สติ แม้จะมีคนเรียกก็ไม่หันกลับมามอง”
หลินม่ายเงียบ
โชคดีที่แม่ไป๋ไม่ถือโทษที่ตนไม่ยอมช่วยให้หล่อนได้คืนดีกับพ่อไป๋ เพราะไม่อย่างนั้นแม่ไป๋อาจไม่ปล่อยเธอไป
แท้จริงแล้วหล่อนเป็นหญิงที่ไม่ควรยั่วยุด้วย
ฟางจั๋วหรานและหยางจิ้นไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกันอย่างไร ทั้งสองพยายามอย่างหนักที่จะค้นหาหัวข้อต่าง ๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไร้หนทาง
โชคดีที่ไป๋เซี่ยปรับบรรยากาศได้ดี มิฉะนั้นคงกดดันน่าดู
ก่อนเที่ยง พ่อไป๋และไป๋ลู่ช่วยกันเตรียมอาหารจานอร่อยด้วยกัน
ทุกคนช่วยกันวางอาหารบนโต๊ะ
ไป๋เหยียนรู้สึกยินดีที่ได้เห็นอาหารพวกนี้ “อาหารของพ่อครึ่งหนึ่งเป็นของตุ๋นและอาหารจากตลาดฝูตัวตัว อาหารที่พ่อทำเองมีเพียงไม่กี่อย่าง
พ่อไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝีมือทำอาหารของพ่อไม่ค่อยดีนัก หลู่ไช่และอาหารเย็นจากตลาดฝูตัวตัวอร่อยและกินง่ายน่ะ”
ไป๋เหยียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อาหารพวกนี้กินง่ายมากค่ะ เวลายุ่งหรือเหนื่อยจากงาน ฉันก็มักจะซื้อผักตุ๋นของเสวี่ยเป่ามากิน มันอร่อยมากเลย! แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอาหารปรุงสดใหม่ หากมีก็คงจะดีไม่น้อย เพราะอาหารปรุงสำเร็จเมื่อเย็นแล้วก็มีรสชาติเปลี่ยนไป”
หยางจิ้นมองหล่อนด้วยแววตาไร้เดียงสา “งั้นลองทำอาหารกึ่งสำเร็จรูปออกมาขายดีไหม?”
หลินม่ายฟังการสนทนาระหว่างพี่สาวคนโตกับสามีของหล่อน และเอ่ยแทรก “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะที่จะทำอาหารกึ่งสำเร็จรูปขาย เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีคนซื้อกี่คน”
หยางจิ้นส่ายศีรษะ “ก็น่าจะไม่มาก สินค้ากึ่งสำเร็จรูปแพงกว่าซื้อวัตถุดิบกลับไปทำเองแน่นอน คงมีแค่ไม่กี่คนที่เต็มใจซื้อ”
หลินม่ายก็คิดเช่นกัน
ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนมักซื้ออาหารสดกลับไปทำเอง และไม่นิยมซื้ออาหารกึ่งสำเร็จรูป
หากไม่ใช่เพราะทำธุรกิจใหญ่โต ผู้คนก็ย่อมมีเวลาที่จะทำอาหารด้วยตัวเองเสมอ
ยังเร็วเกินไปที่จะเปิดตัวอาหารกึ่งสำเร็จรูปในตอนนี้
ระหว่างรับประทานอาหารเย็น พ่อไป๋ก็ถามเกี่ยวกับธุรกิจของหลินม่ายเป็นอย่างแรก
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีค่ะ”
พ่อไป๋ถามไป๋เหยียนและสามีว่าธุรกิจของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง
ทั้งคู่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มบอกว่าธุรกิจดำเนินไปด้วยดี พวกเขามีรายได้เดือนละห้าถึงหกร้อย
ไป๋เหยียนกล่าวหยอกล้อ “รายได้เกือบเทียบเท่าพ่อเลยนะคะ แต่อาชีพไม่ได้มีเกียรติเท่าอาชีพของพ่อเลย”
ในฐานะพ่อแม่ ทุกคนต่างหวังว่าลูก ๆ จะมีชีวิตที่ดี
พ่อไป๋มีความสุขมากเมื่อได้ยินดังนั้นจึงกล่าว “ขอแค่เราไม่ได้ปล้นหรือขโมยใครมา ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าจะมีชื่อเสียงหรือเปล่า เพียงแค่มีเงินเราก็จะสามารถทำทุกอย่างได้ตามต้องการ เมื่อลูกกลายเป็นผู้ประกอบการอย่างเสวี่ยเป่า โดยมีต้นกำเนิดจากผู้ประกอบอาชีพอิสระเล็ก ๆ สถานะทางสังคมของลูกก็จะสูงขึ้น และไม่มีใครดูถูกลูก
ไป๋เหยียนยิ้มและส่ายศีรษะ “เรามีความสุขมากที่ได้ประกอบอาชีพอิสระ แต่เราคงเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จเหมือนน้องไม่ได้ เราไม่ฉลาดพอ ฮ่าๆๆ!”
หล่อนกล่าวพลางป้อนซุปไก่ให้เถียนเถียนซึ่งอยู่ในอ้อมแขน
ทันทีที่เด็กน้อยได้กินซุปไก่ หล่อนก็เผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา
หลินม่ายยิ้มอย่างสุภาพ “ฉันไม่ใช่ผู้ประกอบการ แค่เจ้าของกิจการส่วนตัวขนาดเล็กต่างหากค่ะ”
ไป๋ลู่และไป๋เซี่ยพูดพร้อมกัน “เธอไม่ถือว่าเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก เพราะถ้าคนระดับเธอเรียกว่าเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก ก็คงไม่มีผู้ประกอบการมากนักในประเทศนี้แล้วล่ะ”
ทุกคนกินดื่ม พูดคุย และหัวเราะอย่างมีความสุข
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่ไป๋มีโรคอะไรหรือเปล่าถึงได้มีพฤติกรรมและความคิดไม่ปกติแบบนี้ บางทีอาจจะมีเนื้องอกหรือมะเร็งในสมองก็ได้นะ
ไหหม่า(海馬)