หลังจากคณะของอินกองกลับจากการสำรวจทางเหนือ พวกเขาก็ยุ่งวุ่นวายกับภารกิจในแต่ละวัน
เฟลิซีกับดาฟเน่เข้าสำรวจวัดศิลา ทางด้านเฟโรเชียสอายก็รวบรวมทหารเพื่อเตรียมกวาดล้างเหล่าคาเซียทางเหนือ พวกมันคือเหล่าคาเซียที่แตกกระเจิงจากการตายของบาโคโรฟ
เป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการปราบปรามคาเซียที่แท้จริง
นี่เป็นโอกาสที่ดี อินกองตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับเฟโรเชียสอาย
แล้วเวลาก็ล่วงเลยไปสองสัปดาห์ หลังจากกวาดล้างเหล่าคาเซียเสร็จสิ้น อินกองก็กลับมายังวัดศิลาโดยมีเฟลิซีออกมาต้อนรับ
“เวลาผ่านไปไม่นานแต่… เธอแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว เธอนี่พัฒนาได้รวดเร็วจนน่าตกใจจริงๆ”
เฟลิซีกล่าวออกมาพร้อมยิ้มแหยะ นางรู้สึกได้เลือนลางตั้งแต่ก่อนต่อสู้กับบาโคโรฟ อินกองแข็งแกร่งขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนที่เขาทำภารกิจปราบกบฏ และการเติบโตอันรวดเร็วนี้ ไม่สามารถที่จะเอาไวท์อีเกิ้ลมาเป็นข้ออ้างได้
อินกองได้แต่ตอบนางไปด้วยข้ออ้างเดียวที่เขาคิดได้
“ผมก็แค่อยู่ในวัยกำลังโต”
นั่นพอที่จะใช้เป็นข้ออ้างได้อยู่ มีพวกที่เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเยอะมากในโลกมาร รวมไปถึงเหล่าลูกของจอมมารที่เกิดกับนางกำนัล
การเก็บกวาดเหล่าคาเซียทำให้อินกองเลื่อนระดับขึ้นเป็นเลเวล 20 ทักษะพลังพระเอกของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นขั้น 3 แต้มทักษะถูกใช้ในการเพิ่มระดับให้ลมปราณและเคล็ดไอศวรรย์ทั้งสอง ทำให้ทักษะเหล่านี้เพิ่มระดับขึ้นมาหนึ่งถึงสองขั้น
เวทมนตร์ที่ถูกใช้งานบ่อยครั้ง อย่างฮีลและไฟร์แอร์โรว์ก็เพิ่มระดับขึ้นด้วย
‘ถ้าสู้กับเคทลินตอนนี้ ก็น่าจะพอไปวัดไปวาได้อยู่?’
อินกองไม่รู้ทักษะความสามารถทั้งหมดของคริสต์และเคทลิน เขาไม่เคยคิดจะเปรียบเทียบตัวเองกับทั้งสองเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งตอนนี้ แม้กับคริสต์จะยังเคลือบแคลงใจอยู่ แต่เขามั่นใจว่าตอนนี้เขาพอจะสูสีกับเคทลินได้
อินกองหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตนลง ก่อนจะชำเลืองมองบริเวณโดยรอบ
“แล้วการสำรวจของนูนะเป็นอย่างไรบ้างครับ?”
ใบหน้าของเฟลิซียิ้มแย้มขึ้นมาทันที ก่อนนางจะกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ
“ทั้งหมดเป็นไปด้วยดี ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังพบของบางอย่างอีกด้วย หนายยย ลองทายซิ? ว่าฉันพบอะไรเอ่ย?”
“อะไรหรือครับ?”
เสียงอันตื่นเต้นของเฟลิซีทำให้อินกองอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เฟลิซีพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เพื่อกระซิบบอกบางอย่างให้กับเขา
“พลังเวทในวัดศิลานี้เป็นของอันเคลไงละ พยานอันเคลผู้เป็นหนึ่งในหกมังกรบรรพกาลเชียวนะ!”
เสียงของนางดังเกินกว่าจะเรียกว่ากระซิบ แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้น
แววตาของนางรวมถึงเดเลียและดาฟเน่ที่อยู่ด้านหลัง ลุกโชติช่วงเป็นประกาย
ความจริงเรื่องนี้สร้างความตื่นเต้นให้ทั้งสามเป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะพวกนางไม่รู้ว่า เทพารักษ์กรีนวินด์ถือกำเนิดขึ้นมาจากเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของอันเคล และพลังเวทของอันเคลยังคงอยู่ในไวท์อีเกิ้ล
อินกองอยากจะบอกความจริงกับทั้งสาม ทว่าสีหน้าอันตื่นเต้นของพวกนางทำให้เขาพูดไม่ออก
“โอ! ดีใจด้วยครับ!”
‘นายท่านดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย’
เสียงของกรีนวินด์ทักขึ้นมา ก่อนอินกองจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นธรรมชาติขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นเหมือนกับทั่งวัชรกรสินะครับ?”
“ใช่แล้ว เรียกได้ว่าใกล้เคียงเลยทีเดียว นั่นก็เพราะทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นมรดกของเหล่ามังกรบรรพกาลที่ยังคงเหลืออยู่”
เฟลิซียังคงตื่นเต้นกับการค้นพบ ทำให้นางไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติในน้ำเสียงและท่าทางของอินกอง
นางยังคงพูดเพิ่มเติมโดยไม่มีทีท่าจะหยุด
“ฉันยังไม่รู้ถึงข้อเชื่อมโยงระหว่างอันเคลกับกรีนวินด์หรอกนะ แต่เท่าที่ฉันใช้เวลาหลายวันศึกษาดูกับดาฟเน่ ดูเหมือนพลังเวทที่ใช้ปลุกเหล่าทรีเอนท์ขึ้นมาจะเป็นพลังเวทของอันเคล และนั่นทำให้มันมีความเป็นไปได้ที่เราจะให้เหล่าทรีเอนท์คอยปกป้องวัดศิลาแห่งนี้ รวมไปถึงที่ราบอินคา”
“สุดยอดครับ เฟลิซีนูนะ”
“หืม แน่นอนอยู่แล้ว”
เฟลิซีเงยหน้าแอ่นอกขึ้นมาอย่างยินดีกับคำชมเชย ลักษณะของนางดูไม่ต่างจากกรีนวินด์
คารัคที่เฝ้ามองการสนธนาของเจ้านายทั้งสองอย่างเงียบเงียบ เอ่ยขึ้น
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นงานที่นี่ก็เสร็จแล้ว องค์หญิงองค์ชายจะกลับวังกันเลยหรือเปล่า?”
อินกองเก็บกวาดเหล่าคาเซียเสร็จเรียบร้อย ส่วนการสำรวจวัดของเฟลิซีก็ลุล่วงด้วยดี
เฟลิซีพยักหน้า
“ถูกต้องแล้ว อันที่จริงก็ยังมีเรื่องที่ฉันอยากจะอยู่ค้นคว้าต่อหรอกนะ แต่ก็คงต้องปล่อยมันไว้ก่อน ตอนนี้ฉันต้องกลับวังเพื่อส่งรายงานการสำรวจให้ทางวังได้รับรู้”
ปฏิบัติการปราบปรามคาเซียในครั้งนี้ต่างไปจากทุกปี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการค้นพบวัดศิลาที่คาดว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับมังกรบรรพกาล นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก
“พวกขุนนางจะต้องตกใจกับรายงานครั้งนี้แน่ แล้วพวกนั้นก็จะได้รับรู้ว่า การที่อะบามามะขานชื่อของเธอในที่ประชุม มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
เฟลิซีตบไหล่อินกองในลักษณะเดียวกับที่คริสต์ทำประจำ เป็นการตบไหล่ที่แสดงออกถึงความเป็นกันเอง
ในเช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากเตรียมการสำหรับการเดินทางเสร็จสิ้น อินกองก็หันมาหาเฟโรเชียสอาย
หัวหน้าเผ่าเซนทอร์จ้องตรงไปยังดวงตาของอินกอง ก่อนจะกล่าวออกมา
“ฟ้าเก้า ผู้ส่งสาส์นแห่งองค์กรีนวินด์ ผู้สืบทอดไวท์อีเกิ้ล เรียกขาน พวกข้าเคียงข้าง”
แววตาของเฟโรเชียสอายยังคงดุดัน ทว่าอินกองเข้าใจในสิ่งที่เซนทอร์ตนนี้สื่อ เขายื่นมือออกจากบนหลังของเดรโก้ พร้อมกับตอบออกไป
“เราก็เช่นกัน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง เฟโรเชียสอาย”
เฟโรเชียสอายจับมือของอินกอง ในบทกวีแห่งผู้กล้า แม่ทัพเซนทอร์ตนนี้เป็นศัตรูกับเขามาโดยตลอด ทว่าในตอนนี้อินกองได้เฟโรเชียสอายมาเป็นพันธมิตรในที่สุด
หลังจากการร่ำลาของเหล่าเซนทอร์ อินกองก็เดินทางออกจากหมู่บ้านเผ่ากูณฑ์ตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนมิติ โดยมีเฟลิซี เดเลีย ดาฟเน่ คารัค กัมมะ และกรีนวินด์ร่วมเดินทางไปด้วย
ทั้งหมดมีกัมมะเป็นผู้นำทาง กัมมะ ที่กลายเป็นผู้ติดตามตนที่สองของอินกองหลังจากคารัค
ส่วนกรีนวินด์… ก็สร้างความหงุดหงิดให้กับอินกองเล็กน้อย
‘นายท่าน ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี’
‘นายท่าน ข้าหายใจไม่ออก’
‘พวกเราจะไปจากที่ราบอินคาจริงๆหรือนายท่าน?’
‘ตอบข้าด้วยนายท่าน’
กรีนวินด์ถือกำเนิดและใช้ทั้งชีวิตของนางเฝ้าปกป้องที่ราบอินคาแห่งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางกำลังจะออกจากแผ่นดินเกิด นางรู้สึกไม่ปลอดภัย วิตกกังวล และหวาดกลัวต่อสถานที่แห่งใหม่ที่นางกำลังจะไปสู่
พวกเขาใช้เวลาในการเดินทางและปลอบประโลมกรีนวินด์สองวัน ขั้นตอนถัดไปหลังจากที่พวกเขามาถึงค่ายกลเป็นไปอย่างราบรื่น เข้าไปกลางค่ายกล หลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นมายังสถานที่แห่งใหม่
“เฟลิซี”
“องค์หญิง”
“เฟลิซีออนนี่!”
สถานการณ์อันไม่แตกต่างจากเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง เหล่าผู้ติดตามของเฟลิซีต่างเฝ้ารอ ต้อนรับการกลับมาของนาง
#ไอดอลเกาหลีเดินลงจากเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ
เฟลิซียิ้มแย้มอย่างเป็นพิธีพลางโบกมือให้กับเด็กเด็กที่มารอต้อนรับนาง
ทั้งหมดไม่ต่างจากเดิม จนกระทั่ง…
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบองค์ชาย”
“ข้าพระพุทธเจ้ามาเฝ้ารับเสด็จองค์ชายพระพุทธเจ้าข้า”
“เราได้ข่าวว่าท่านสร้างผลงานในภารกิจครั้งนี้มากมาย”
ในการกลับวังครั้งที่แล้ว อินกองเสมือนไร้ซึ่งตัวตน
‘ว้าววว… ’
ว่าบางอย่างได้เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจหรือประจบประแจง แต่ทั้งหมดก็ไม่สามารถมองข้ามฉัตรได้อีกต่อไป
เฟลิซีหันมาขยิบตาให้กับอินกอง นั่นทำให้เหล่าผู้ติดตามของนางมองอินกองอย่างเคารพและเป็นมิตรมากขึ้น
ดาฟเน่อยู่ไม่ห่างไปจากเฟลิซี นางเป็นผู้ติดตามของแซเฟียร์ในบทกวีแห่งผู้กล้า แต่ในตอนนี้นางยังคงรวมกลุ่มกับลูกนางกำนัลตนอื่น
“องค์ชาย”
คารัคกระซิบบอกอินกองพลางชำเลืองมองสายตาไปยังมุมหนึ่ง และอินกองก็เข้าใจสาเหตุได้ไม่นาน
ไม่ใช่ทั้งหมดที่ยินดีกับอินกอง มีบางส่วนที่มองมายังพวกเขาด้วยสายตาอันไม่เป็นมิตร
นี่เป็นผลจากการที่จอมมารขานชื่อของฉัตรออกมาในที่ประชุม และก็เป็นสาเหตุให้เฟลิซีอาสาเป็นผู้ไปตรวจสอบที่ราบอินคาเอง
‘พวกนั้น… เหมือนจะเป็นฝ่ายของอนาสทาเชียหมดเลยปะเนี่ย?’
เจ้าหญิงลำดับที่สี่ อนาสทาเชีย เนคริออน หรือที่เรียกกันในบทกวีแห่งผู้กล้าว่าแซเฟียร์หญิง ฝ่ายที่มีสมาชิกมากที่สุดในสามฝั่งขั้วอำนาจ
แม้อินกองจะต้องการผูกมิตรกับบรรดาทายาทจอมมารที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับแซเฟียร์ แต่ดูเหมือนโลกนี้จะโหดร้ายกว่าที่เขาคิด
ที่ผ่านมา การที่ทายาทจอมมารตนอื่นเข้ามาญาติดีกับฉัตรล้วนไม่มีอะไรแอบแฝง เฟลิซีกับเคทลินไม่มีความคิดที่จะสืบบัลลังค์ แม้คริสต์จะทะเยอทะยาน แต่นั่นก็เป็นไปในฐานะกษัตริย์ของเผ่าไลแคนโทรปเผื่อปกป้องเผ่า
ทั้งสามจึงไม่ได้อิจฉาฉัตรแต่อย่างใด ในทางตรงข้าม กลับร่วมแสดงความยินดีกับเขาเสียด้วยซ้ำ
ทว่าอนาสทาเชียนั้นต่างออกไป นางเป็นผู้นำหนึ่งขั้วอำนาจ ฉัตรเปรียบเสมือนสิ่งกีดขวางที่ปรากฏขึ้นในเส้นทางของนาง ทายาทจอมมารที่โดดเด่นแต่ไม่ฝักฝ่ายใด เป็นได้แต่เพียงเหยื่อเท่านั้น
#จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน
‘เอาวะ อย่างน้อยตอนนี้เฟลิซีก็ไม่ได้อยู่ฝ่ายอนาสทาเชีย’
ในเหตุการณ์วันล้างบาง ทั้งเฟลิซีและพี่ชายของนางต่างสังกัดฝ่ายของอนาสทาเชีย ทว่าอินกองไม่รู้ว่าพวกเขาเข้าร่วมกับอนาสทาเชียตอนไหน
ตอนนี้ยังคงเป็นปี 512 อยู่ และแน่นอนว่าเฟลิซียังไม่ได้สังกัดฝ่ายของอนาสทาเชีย
หากเฟลิซีอยู่ฝ่ายเดียวกับอนาสทาเชียแล้ว นางคงไม่ยอมให้เฟลิซีเข้ามาสนิทสนมกับฉัตรแบบนี้เป็นแน่แท้
อินกองหันกลับมาสนใจเฟลิซีอีกครั้ง รอบตัวนางรายล้อมไปด้วยเหล่าผู้ติดตามและลูกนางกำนัล ทว่าภาพที่เห็นดูเหมือนวัยรุ่นจับกลุ่มคุยกัน มากกว่ากลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
‘ถึงจะไม่มาก แต่เราจะปั้นพวกนี้ให้เป็นประโยชน์ได้มั้ยนะ?’
สาวกทั้งสามผู้คลั่งไคล้เฟลิซี(?)
ทั้งสามอายุน้อยกว่าเฟลิซี ยกเว้นฟอเล่นเบียริ่ง
กุรปะ เผ่ายักษ์ที่ดูมีอายุรุ่นราวยี่สิบปี ทว่าความจริงเป็นเพียงหนุ่มน้อยวัยสิบห้าปี
แอนนา โรส ลูกสาวราชินีเผ่าแฟรี่
เบียริ่ง เผ่าฟอเล่นผู้มีผิวสีขาวซีดพร้อมปีสีดำ ชื่นชอบศิลปะและการดนตรี นั่นทำให้มีกลุ่มผู้เล่นชื่นชอบมากมายในบทกวีแห่งผู้กล้า ถึงแม้จะไม่สามารถทำประโยชน์ในการรบได้มากมายนัก
กุรปะมีร่างกายบึกบึนเช่นเดียวกับคารัค แต่ด้วยสีผิวที่ออกแดงของเผ่ายักษ์ ทำให้มีภาพลักษณ์ดูน่ายำเกรงกว่า จุดเด่นก็คือกุรปะแข็งแกร่งมากกว่าที่เห็นเพียงผิวเผิน แต่จุดด้อยก็คือกุรปะในตอนนี้ยังไม่ได้เรียนรู้เวทมนตร์อะไรทั้งสิ้น
ที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มก็คือแอนนา โรส สาวน้อยอายุสิบเอ็ดปี นางถือเป็นตัวเต็งด้วยศักยภาพของนาง แต่ด้วยอายุของนาง ทำให้นางมีบทบาทได้เพียงเล็กน้อยในตอนนี้
‘ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรละนะ ยังไงเราก็ยังเหลือดาฟเน่อยู่’
อินกองมองดูเหล่าผู้ติดตามของเฟลิซีอย่างยินดี ก่อนกลุ่มของนางจะเริ่มพูดคุยซุบซิบ
“เฟลิซีออนนี่รู้หรือยังคะ? ในครั้งนี้ก็จะมีการจัดประชุมสภาพขึ้นด้วย”
แอนนาพูดออกมาอย่างตื่นเต้นพร้อมขยับปีกที่คล้ายคลึงกับผีเสื้อของนาง นั่นทำให้เฟลิซีอดแปลกใจไม่ได้
“ฮะ? อีกแล้วหรือ?”
ถึงแม้ว่าในภารกิจครั้งนี้ อินกองสร้างความดีความชอบมากกว่าปฏิบัติการปราบปรามคาเซียที่เคยมีมาอย่างเทียบไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะเรียกประชุมสภา
หรือว่าข่าวลือที่ว่าจอมมารโปรดปรานฉัตรจะเป็นเรื่องจริง?
เบียริ่งหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเริ่มอธิบาย
“การประชุมครั้งนี้จัดเพื่อแสดงความยินดีให้กับองค์หญิงเฟลิซี องค์ชายฉัตร รวมไปถึงแขกอีกหนึ่งท่าน เป็นการจัดให้สำหรับผู้สร้างผลงานทั้งสาม”
มีทายาทจอมมารสร้างผลงานใหญ่โตอีกหนึ่ง นั่นดูสมเหตุสมผล
เฟลิซีรีบถามต่อ
“แล้วแขกอีกหนึ่งที่ว่านั่นเป็นใครกัน?”
คำถามที่อินกองอยากรู้ถูกถามออกมา ก่อนเบียริ่งจะตอบพร้อมรอยยิ้ม
“องค์ชายสองกลับมาแล้ว”
เจ้าชายลำดับที่สอง แซเฟียร์ แร็กนารอส
คำตอบที่ทำให้อินกองได้แต่กลืนน้ำลาย