สิ่งที่เกิดในการประชุมสภาครั้งแรกเป็นเพียงกระแส แต่ในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นคลื่นกระแทกเลยทีเดียว
จอมมารมอบหมายภารกิจในที่ประชุมสภาโดยตรง
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทันทีที่จอมมารออกจากที่ประชุม อินกองก็รีบลี้ภัยไปยังห้องรับรอง เขานั่งลงถอนหายใจพลางใช้มือทั้งสองกุมขมับ
‘จอมมารมันคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย?’
จอมมารมิตร
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าสุร เผ่าที่ชำนาญการต่อสู้มากที่สุด
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จอมมารเพ่งความสนใจมาที่ฉัตร
บางทีจอมมารอาจจะรับรู้ถึงบางอย่างเกี่ยวกับอินกอง การมอบภารกิจให้โดยตรง… นี่เป็นสิ่งแปลกใหม่ในที่ประชุมสภา แน่นอนว่าต้องเป็นข่าวใหญ่และแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว
อินกองนึกใช้ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าจอมมาร ตัวตนที่เขาไม่เคยสนใจในยามที่เล่นบทกวีแห่งผู้กล้า แม้จอมมารจะเข้าร่วมการประชุมสภา แต่ก็มาเพียงแค่เฝ้ามอง โดยไม่เคยเอ่ยปากหรือสั่งการใดใด
ตัวตนของจอมมารเปรียบเสมือนศัตรูตัวสุดท้ายในเหตุการณ์วันล้างบาง
ทว่าเหล่าผู้เล่นต่างเรียกจอมมารเป็น “บอสเก๊” นั่นก็เพราะตัวจอมมารไม่ได้อยู่ในสภาวะปกติ
จอมมารอ่อนแอจากคำสาปและโรคร้ายมากมาย
อินกองไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไร แต่คาดว่าจอมมารน่าจะป่วยมาตลอดเนื้อเรื่องของเกม
จอมมารได้ปิดซ่อนอาการป่วยของตนไว้ นั่นทำให้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความจริงนี้ แม้กระทั้งแซเฟียร์ ก็เพิ่งจะรู้ความจริงในยามที่เผชิญหน้ากับจอมมารเท่านั้น
หากข้อมูลนี้ถึงหูของแซเฟียร์ แน่นอนว่าวันล้างบางย่อมเกิดเร็วขึ้น
สำหรับแซเฟียร์แล้ว ทายาทตนอื่นก็เปรียบเสมือนเบี้ยในกระดานเท่านั้น เขาไม่เคยเกรงกลัวคริสต์หรือใครก็ตามที่เก่งกาจ
แต่สำหรับจอมมารมิตรนั่นต่างออกไป แซเฟียร์ยำเกรงต่อพลังของจอมมาร แซเฟียร์เฝ้าสั่งสมพลังจนเมื่อมั่นใจว่าเหนือกว่าในที่สุด วันล้างบางจึงเกิดขึ้น
จากในมุมมองของอินกองตอนนี้ เขาต้องการหยุดยั้งวันล้างบางเอาไว้ การที่แซเฟียร์ไม่รู้ถึงความจริงเรื่องอาการป่วย นับเป็นเรื่องดีสำหรับเขา เช่นเดียวกับความลับเรื่องชาติกำเนิดของเคทลิน อินกองต้องปิดบังความลับทั้งสองเอาไว้ให้มากที่สุด
‘ถึงจะไม่รู้ว่าจอมมาร****คิดอะไรอยู่ก็เถอะ ถูกจับตามองแบบนี้ถือเป็นเรื่องดีป่าววะ? หรือว่าอยากจะปั้นเราให้ไปต่อกรกับแซเฟียร์?’
หากเป็นเหมือนในบทกวีแห่งผู้กล้า จอมมารมิตรไม่ได้คลุ้มคลั่งแบบแซเฟียร์ กฏหลักของโลกมารคือโลกของผู้ที่แข็งแกร่ง มิตรเข้าใจในกฏนี้ดี และยอมรับว่าเมื่อวันหนึ่งที่ทายาทของเขาแข็งแกร่งกว่าตน จอมมารรุ่นถัดไปก็จะถือกำเนิดขึ้น
แม้กระทั้งในลมหายใจสุดท้ายที่ถูกแซเฟียร์สังหาร แม้จะโกรธเรื่องที่เหล่าทายาทและราชินีล้มตาย แต่มิตรก็พึงพอใจที่แซเฟียร์สามารถก้าวข้ามตนไปได้
‘เรามีข้อมูลน้อยไป ตอบไม่ได้ว่าดีหรือแย่’
พอมองย้อนกลับไป บางทีจอมมารอาจจะต้องการปั้นฉัตร สาเหตุอาจจะเป็นเพราะแม่ของฉัตรตายไปแล้ว ทำให้เขาไม่มีใครหนุนหลัง
อินกองนึกถึงสายตาที่อนาสทาเชียใช้มองมายังเขา วิคเตอร์ที่อยู่ด้านหลังนางก็จ้องมาที่เขาเช่นกัน
แซเฟียร์ที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าอันว่างเปล่า
เป็นใบหน้าที่ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด แต่อินกองจดจำใบหน้าของแซเฟียร์ได้ดี แม้จะเพียงชั่วขณะก็ตาม
ไม่มีความโกรธขุ่นเคืองแต่อย่างใดให้พบ ในทางตรงข้าม กลับรู้สึกได้ถึงความยินดีที่ซ่อนไว้ เช่นเดียวกับที่เขาพบจากจอมมารในการประชุมสภาครั้งแรก
“ฉัตร ฉัตร ฉัตรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร”
เฟลิซีก้าวเท้าเข้ามาหาอินกองอย่างรวดเร็ว พลางร้องออกมาไม่ต่างจากเคทลิน
ทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือ ในหน้าของนางซีดเซียว ไร้ซึ่งดวงตาอันระยิบระยับเป็นประกาย
นางคว้าแขนของอินกองเอาไว้ก่อนจะเริ่มพูดออกมา
“นั่น… มัน… อะบามาม่าคิดเล็งอะไรเธอเอาไว้กันแน่? ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะต้องสร้างปัญหาตามมาให้เธอมากมายก่ายกอง?”
อินกองตาสว่างขึ้นมา ยังเหลือมุมมองอยู่ที่เขาลืมคิดไป
‘จะว่าไปแล้ว มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้?’
อนาสทาเชียต้องเพ่งความสนใจมาที่เขาแน่นอน แซเฟียร์และเผ่ามังกรย่อมไม่อยู่เฉย เหล่าองครักษ์และหลากอำนาจจะเพ่งเล็งและเลือกปฏิบัติกับเขาตามฝักฝ่ายของตน
ไม่ต่างจากการกลั่นแกล้งของจอมมาร
หรือบางที นี่อาจเป็นวิธีที่จอมมารใช้ชุบเลี้ยงฉัตร?
อินกองทิ้งความคิดฟุ้งซ่านของเขาออกไปก่อน ข้อมูลประกอบการตัดสินใจของเขาน้อยเกินไป อย่างไรเสียสถานการณ์ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นให้คิดย้อนกลับไป เหลือแต่เผชิญหน้ากับมันเท่านั้น
“ดูเหมือนคงไม่มีเวลาให้ข้าได้พักผ่อน”
คารัคถอนหายใจออกมา ซึ่งก็ถูกของเจ้าออร์ค ตั้งแต่คืนวานที่พวกเขากลับมา พวกเขายังไม่มีเวลาพักผ่อนแม้แต่น้อย
เฟลิซีนั่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะกอดอกพูดออกมา
“ถึงยังไงนี่มันก็แปลกมาก แปลกเกินไป นอกจากอะบามาม่าจะมอบภารกิจให้โดยตรงแล้ว ภารกิจนั้นยังจะถูกมอบให้กับฉัตรอีก”
น้ำเสียงของนางเคร่งเครียดทีเดียว นั่นทำให้อินกองหันไปหานางในทันที
“หมายความว่ายังไงหรือครับ?”
หรือว่าภารกิจนี้จะถูกรับมอบหมายไว้ก่อนแล้ว?
เฟลิซีขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับมา
“เธอก็ได้ยินไม่ใช่หรือ ที่ว่าแม่ทัพล้มเหลวในปฏิบัติการ? ทั้งหมดต่างก็มั่นใจว่าภารกิจจะถูกส่งต่อให้แซเฟียร์อปป้าแน่นอน แม่ทัพที่ทำพลาดเป็นเผ่ามังกร การที่ภารกิจจะถูกส่งต่อให้แซเฟียร์อปป้าที่เป็นเผ่ามังกรเหมือนกันถือเป็นเรื่องปกติ”
และนั่นก็คือสาเหตุ ที่ทั้งหมดตกตะลึงเมื่อชื่อของฉัตรหลุดลอยออกมา
ไม่มีใครจะคาดคิดว่างานของเจ้าชายแซเฟียร์จะถูกส่งต่อให้เจ้าชายฉัตร การที่ฉัตรจะยึดงานของแซเฟียร์ไปไม่ใช่เรื่องผิด แต่ในโลกมารก็มีธรรมเนียมปฏิบัติบางอย่างอยู่ ทำให้ทั้งหมดคาดคิดว่าภารกิจนี้จะถูกส่งต่อให้แซเฟียร์
อินกองจดจำแววตานั้นได้ดี
ใบหน้าสีขาวประดับด้วยผมสีโกเมนเอก ดูราวกับรูปปั้น
แซเฟียร์ดูคล้ายคลึงกับจอมมารมิตรมาก ไม่มีใครคาดเดาได้ถึงควาดคิดที่ปิดซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้านั้น
คารัคยกมือขึ้นถามหลังจากนั่งฟังมาสักพัก
“ถ้าขนาดแม่ทัพยังทำล้มเหลว ไม่ใช่ว่าภารกิจนี้จะยากเกินไปสำหรับพวกเรา? จะว่าไปแม่ทัพอะไรนั่นเป็นแม่ทัพแบบไหนกัน?”
“แม่ทัพกาซบาลมียศระดับพลโท ต่ำกว่าพลเอกแวนเดลเล็กน้อย”
ผู้ที่ตอบคำถามของเจ้าออร์คคือเดเลีย
ระดับขั้นยศกองทัพของโลกมารจัดแบ่งอย่างง่าย
แม่ทัพองครักษ์หลวงทั้งห้าคือจุดสูงสุด
จากนั้นเป็นพลเอกทั้งสิบ
รองลงมาเป็นพลโทยี่สิบตน แล้วตามด้วยพลตรีสี่สิบตน
แวนเดลเป็นหนึ่งในพลเอกทั้งสิบ
คารัคสบถออกมาหลังได้ยินคำอธิบายจากเดเลีย การที่พลโทล้มเหลว บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง
สีหน้าของอินกองก็ไม่ได้ดีกว่าคารัคสักเท่าไร เฟลิซีถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกมา
“มันช่วยไม่ได้ ฉันจะไปกับเธอด้วย”
“เฟลิซีนูนะ?”
ต่างจากอินกองหรือเคทลิน เฟลิซีสามารถเลือกทำภารกิจของนางได้โดยไม่มีข้อบังคับ
นางส่งเสียง ‘ฮึ’ ออกมาพลางหันหน้าหนี
“ไม่ใช่เพราะเธอสักหน่อย ที่ฉันสนใจก็คือซากอาณาจักรดวอฟต่างหาก”
อินกองหัวเราะให้กับข้ออ้าง ก่อนจะโผเข้ากอดนาง
“ขอบคุณครับ!”
เฟลิซีประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ปัดอินกองออก นางทำเพียงยิ้มออกมา
เดเลียส่งยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนออร์คตนหนึ่งจะพูดขึ้นขัดบรรยากาศ
“แล้วพลโทนั่นทำพลาดได้ยังไง?”
คำถามของคารัคจี้ไปยังจุดที่สำคัญที่สุด
เฟลิซีปัดอินกองออกก่อนจะหันไปถามเดเลีย
“เดเลีย?”
“ข้าพระพุทธเจ้าจะรีบสืบเรื่องให้รวดเร็วที่สุดเพคะ”
เดเลียเพิ่งจะกลับมาถึงวังจอมมารเมื่อคืนวาน การที่ไม่รู้คำตอบจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กระนั้นนางก็รู้สึกผิดที่ไม่สามารถตอบคำถามเจ้านายได้
อินกองมองไปยังเดเลียที่ก้มหน้า
‘ข้อมูล’
ถึงคารัคจะดีขนาดไหน แต่มันก็ไม่มีเส้นสายในวังแต่อย่างใด อย่างที่เฟลิซีมีเดเลีย และเคทลินมีเซร่า อินกองต้องการผู้ที่สามารถสืบค้นข้อมูลจากวังหลวงได้
‘มาดูรายชื่อผู้โชคดีกันดีกว่า’
ในบรรดาลูกนางกำนัล มีจำนวนหนึ่งที่อินกองนึกถึงในทันที เพื่อที่จะได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้ มันจะต้องมาจากข่าววงใน ซึ่งผู้ที่จะอยู่ในกลุ่มวงในได้ก็ต้องเป็นผู้ที่อยู่วัง
#กลุ่มสาวใช้เมาท์มอย ~
เฟลิซีหันมาคุยกับอินกองอีกครั้ง
“รอบนี้เธอน่าจะมีเวลาให้พักหลายวันอยู่ นั่นก็เพราะภารกิจนี้เป็นอะไรที่ต้องเตรียมการให้ดี”
นี่ไม่ใช่ปฏิบัติการอย่างการปราบกบฏสายฟ้าชาด หรือปราบปรามคาเซีย ที่เขาจะเดินทางออกไปต่อสู้กับศัตรูได้ในทันที
“พรุ่งนี้ผมจะแวะไปที่กระทรวงเกียรติยศครับ ผลต้องตรวจสอบแต้มผลงานกับรายละเอียดของภารกิจ”
เป็นเรื่องปกติที่จะแวะไปยังกระทรวงเกียรติยศก่อนและหลังการปฏิบัติภารกิจ เฟลิซีพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อืม อย่าลืมแวะไปดูร้านเหล็กกับคลังแสงด้วยละ”
หากระดับเกียรติยศของพวกเขาไม่ถึงขั้นที่กำหนดไว้ ก็จะไม่สามารถเข้าใช้สถานที่บางแห่งได้ ไม่เว้นแม้แต่กับเหล่าทายาทจอมมาร
อินกองในตอนนี้ยังมีระดับเกียรติยศไม่พอที่จะเข้าใช้หอสมุดหรือหอเวทมนตร์ แต่เขาสามารถใช้ประโยชน์จากโรงเหล็กและคลังแสง
‘เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม’
โรงเหล็กเป็นสถานที่แรกที่นึกถึง แม้อินกองจะมีพสุธากัมปนาทและไวท์อีเกิ้ล แต่นอกเหนือจากนั้นอุปกรณ์ที่เหลือถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน
อินกองต้องหายุทโธปกรณ์ให้ตนเอง คารัค และกัมมะ
เฟลิซีพูดขึ้นต่อ
“ครั้งที่แล้วเธอมีเวลาไม่มาก แต่ในครั้งนี้ต่างออกไป ฉันว่ามีพวกที่อยากพบฉัตรอยู่ไม่น้อยทีเดียว”
คำเชิญงานเลี้ยง คำเชิญร่วมกิจกรรมออกล่า แม้กระทั้งคำเชิญประลองฝีมือ
มีขุนนางมากมายหลากฝ่ายในวังหลวง การพบปะกับขุนนางเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดยืนทางการเมืองของเขา
“อย่าหาว่าฉันจุ้นจ้านเลยนะ… แต่ฉันว่าเธอยังไม่ควรพบใครในตอนนี้ ไว้เธอมีเวลากว่านี้ แล้วฉันจะแนะนำขุนนางดีดีให้รู้จัก”
แน่นอนว่าอินกองเป็นที่ชื่นชอบของเฟลิซี นั่นทำให้นางตั้งใจดูแลเขาอย่างดี
ส่วนขุนนางที่นางตั้งใจจะแนะนำ แน่นอนว่าย่อมเป็นเหล่าคนสนิทของราชินีซิลเวีย ดูมเบลด
‘ก็นะ เป็นเรื่องธรรมดา’
พรรคพวกของอินกองในตอนนี้มีคริสต์ เคทลิน และเฟลิซี เป็นปกติที่เขาควรจะผูกมิตรกับขุนนางที่สนับสนุนราชินีซิลเวีย และราชินีเอเลน ความคิดของเฟลิซีกับอินกองน่าจะใกล้เคียงกัน
“ผมจะทำตามครับ ยังไงผมก็น่าจะวุ่นวายกับการเตรียมตัวสำหรับภารกิจอยู่ดี”
คำตอบของเขาทำให้เฟลิซีพยักหน้าอย่างพอใจ
“ถ้างั้น พวกเราก็กลับกันก่อนเถอะ ฉันเริ่มล้าแล้ว”
อันที่จริง การประชุมสภาเป็นเสมือนงานรื่นเริงให้ทั้งหมดมีโอกาสใส่ชุดสวยมาโอ้อวดกัน ทว่างานรื่นเริงก็เปลี่ยนไปหลังจากการประชุมคราวที่แล้ว
อินกองและเฟลิซีลุกขึ้นเดินไปยังประตู ก่อนเฟลิซีจะพึมพำออกมา
“แต่ฉันก็แอบอิจฉานะ”
“ฮ่ะ?”
“ฉันก็อยากให้อะบามาม่าเรียกชื่อฉันบ้าง”
อินกองกระพริบตา ส่วนเฟลิซีก็เชิดหน้าแล้วกางพัดของนางปกปิดความอายเอาไว้
“ไปกันเถอะ”
ทั้งคู่ก้าวออกจากห้องรับรอง
&
“กระหม่อมขอตามเสด็จองค์ชายในภารกิจครั้งนี้… ”