ขอบคุณลูกอมมิ้นต์ที่ช่วยชีวิต
ความเย็นที่อบอวลอยู่เต็มปากช่วยบรรเทาความรู้สึกคลื่นไส้ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายเมื่อครู่ลงไปได้ ชวีเสี่ยวปอที่ยืนอยู่ตรงประตูรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เขายืดเส้นยืดสายสองครั้งแล้วหันกลับมามองคนในร้านทั้งสอง คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนนั้นก็กำลังมองตัวเองอยู่เช่นกัน
“เพื่อนของนายทำไมหล่อขนาดนี้เนี่ย” หญิงสาวมองไปยังชวีเสี่ยวปอ แต่จริงๆ แล้วกำลังพูดอยู่กับเซี่ยเจิง เธอรู้ว่ายังไงซะชวีเสี่ยวปอที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ไม่ได้ยินที่เขาทั้งสองคุยกันหรอก ดังนั้นถึงได้กล้าที่จะส่งยิ้มไปให้เขา
“เอ่อ” ชวีเสี่ยงปอถูกเธอส่งยิ้มให้อย่างแปลกๆ จึงพยักหน้าให้ไปตามสถานการณ์ แล้วรีบหันหน้ากลับมา แต่กลับยังรู้สึกเย็นวาบที่หลังท้ายทอยอยู่
เซี่ยเจิงมองดูแผ่นหลังที่อยู่ด้านนอก ชวีเสี่ยวปอไม่ใช่คนที่ดูผอมแห้ง แต่เขามีไหล่ที่กว้าง แม้ว่าจะถูกปกปิดไว้ด้วยเสื้อบางๆ เพียงหนึ่งชั้นแต่ก็ยังพอที่จะมองเห็นรอยเส้นที่ลื่นไหลของกล้ามเนื้อได้รางๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมแม้แต่ด้านหลังของเขา ก็ยังทำให้รู้สึกว่าทั้งตัวเขามีกลิ่นอายที่แสดงถึงความไม่เกรงใจใครแผ่ขยายออกมาได้ หรือจะเป็นเพราะมีแผ่นหลังที่ตั้งตรง ถ้าหากไม่ได้โยกไปโยกมาไม่หยุด ก็ดูจะเหมือนกับต้นไป่หยางเงิน[1] ที่มีชีวิตต้นหนึ่ง
“ใช่มั้ง?” เซี่ยเจิงดึงสายตากลับมา เล่นเหรียญหนึ่งเหรียญที่อยู่ในมือ โยนขึ้น โยนลง จับไว้ทำแบบนี้ซ้ำๆ แล้วพึมพำด้วยเสียงเบาๆ ให้แค่ตัวเองได้ยินว่า “น่าเสียดายที่โง่ไปหน่อย”
ห้านาทีต่อมา ท่ามกลางความสกปรกและความระเกะระกะนี้ แม้ว่าขี้เมาที่เล่นแง่คนนี้จะขัดขืนและต่อต้านเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมในการถูกตำรวจจับขึ้นรถไปได้ เมื่อรถตำรวจขับออกไป ชวีเสี่ยวปอกลับยังรู้สึกว่าข้างหูตัวเองยังมีเสียงตะโกนโวยวายของคนคนนั้นอยู่ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องของตัวเองแต่อย่างใด แต่ชวีเสี่ยวปอกลับมีความสุขราวกับได้ส่งเทพเจ้าแห่งเชื้อโรคนี้ออกไปได้
“ฉันว่า…” ชวีเสี่ยวปอดีดนิ้ว กำลังจะพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ จู่ๆ เขาก็พบว่าไม่มีใครสนใจเขาเลย
ไม่รู้ว่าเซี่ยเจิงและหญิงสาวคนนั้นเริ่มเข้าไปเก็บกวาดทำความสะอาดในร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ คนหนึ่งกวาดพื้น ส่วนอีกคนถูพื้น เข้าขากันดีเหมือนทำสัญญาลับเอาไว้
ชวีเสี่ยวปอที่ยืนอยู่หน้าประตูมองเข้าไปด้านใน ทั้งสองคนทำงานกันเงียบๆ อย่างสุดกำลัง ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินไปครู่หนึ่ง จึงได้ถามออกไปว่า “ให้ฉันช่วยถูนะ? ” จริงๆ แล้วตอนที่ชวีเสี่ยวปออยู่บ้านไม่เคยได้ทำงานอะไรสักอย่าง เนื่องจากมีแม่บ้าน และต่อให้บางครั้งแม่บ้านไม่อยู่ ชวีเสี่ยวปออยากจับไม้ถูพื้นสักหน่อย เวินลี่ก็จะตะโกนร้องออกมาว่า “วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวแม่ทำเอง”
“ไม่ต้อง” เซี่ยเจิงยืนตรงขึ้นมา มือข้างหนึ่งจับไม้ถูพื้นไว้แล้วมองมายังชวีเสี่ยวปอ แต่เมื่อปฎิเสธออกไปแล้วกลับนึกอะไรขึ้นได้ จึงกลับคำแล้วพูดออกไปว่า “ถ้านายอยากช่วยจริงๆ ก็เอามันฝรั่งทอดสองลังนั้นเรียงขึ้นไปบนชั้นให้หน่อยละกัน เอาวางไว้รวมกันทุกรสเลยนะ”
“ได้เลย” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้า ทั้งยังทำตามที่เซี่ยเจิงบอกเป๊ะๆ จริงๆ แล้วตอนเด็กชวีเสี่ยวปอมีความใฝ่ฝันที่คิดว่ายิ่งใหญ่สำหรับตอนนั้น ซึ่งก็คือการเปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ เป็นของตัวเอง ตอนขายของก็หยิบขนมกินได้ตามใจชอบโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน ดังนั้นในตอนที่ชวีเสี่ยวปอจัดวางมันฝรั่งทอดจึงดูตั้งใจมาก อีกทั้งงานที่ใช้แรงน้อยแบบนี้ก็เหมือนได้เล่นไปด้วย
เซี่ยเจิงถูพื้นสะอาดเรียบร้อย และพาพนักงานหญิงไปส่งที่หน้าประตูแล้ว ในตอนที่หันหลังกลับมา ก็เห็นเข้ากับชวีเสี่ยวปอที่กำลังถือถุงมันฝรั่งทอดอยู่ ปากก็พูดงึมงำๆ
“รสออกใหม่เหรอ ไม่เคยกินเลยอะ” ชวีเสี่ยวปอพูดพึมพำกับตัวเอง
“อยากกินไหม ฉันเลี้ยง”
“ดีเลยๆ ขอบใจนะ……ว้าว! ” ชวีเสี่ยวปอตอบกับไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก พอหันกลับไปก็เห็นเซี่ยเจิงยืนพิงไม้ถูพื้นที่อยู่ด้านข้างแล้วยิ้มมุมปากมองมาที่ตัวเอง เกือบจะเป็นเหมือนปฏิกิริยาตอบสนอง จึงได้พูดออกไปอีกว่า “ถ้างั้นไม่ต้อง”
“ไม่ต้องอะไร? ” เซี่ยเจิงมองชวีเสี่ยวปอที่ไม่ได้ปิดบังการตอบสนองที่มาจากใจจริงนี้เอาไว้เลยสักนิด จึงอยากที่จะหัวเราะออกมา เขาเลยจงใจเดินเข้าไปใกล้อีกสองก้าว
“ไม่มีอะไร” ชวีเสี่ยวปอวางมันฝรั่งทอดไว้บนชั้นวางสินค้า ส่ายหัวอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งยังมองด้านหลังของเซี่ยเจิง แล้วหาเรื่องอื่นคุย “เพื่อนร่วมงานนายกลับไปแล้วเหรอ? ”
“อืม เลิกงานแล้ว” เซี่ยเจิงตอบ
เงียบสงัด……
ความเงียบที่แสนจะอึดอัด
ทั้งสองคนล้วนรู้ดีว่าไม่มีอะไรจะพูดกับอีกฝ่าย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้มันจำเป็นต้องหาเรื่องอะไรมาคุยกันสักหน่อย ทว่าจะให้หาเรื่องมาคุยกันจริงๆ ก็กลับไม่มีหัวข้ออะไรที่จะสนทนาด้วย
เมื่อชวีเสี่ยวปอลังเลว่าจะหยิบมันฝรั่งทอดที่เพิ่งวางลงไปขึ้นมาดีไหม ในตอนที่กำลังอ่านตารางส่วนผสมอย่างละเอียดอยู่นั้น เซี่ยเจิงก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“แล้วที่นายมาหาฉันมีเรื่องอะไร? ”
อ้อ ใช่
ชวีเสี่ยวปอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าที่จริงแล้วเขามาที่นี่ทำไม
“วันนี้ฉันบังเอิญเจอ……”
บังเอิญสุดๆ
ท้องของชวีเสี่ยวปอร้องจ๊อกๆ ออกมาอย่างกั้นเอาไว้ไม่อยู่
ที่จริงแล้วฉันควรจะได้กินบาร์บีคิว !
ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิงด้วยสายที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ ในใจก็คิดว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากติดหนี้บุคุณนายนะ ไม่อยากให้ไอ้บ้านี่โดนอัดจนเละนะ ฉันก็ไม่ต้องทนหิววิ่งหน้าตั้งมาดูขี้เมาอ้วกเต็มไปทั้งพื้นและยังต้องมาท้องร้องอีก
เวรกรรมจริงๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงท้องร้องดังเกินไปหรือเปล่า เซี่ยเจิงจึง เสนอออกมาว่า “กินข้าวกันก่อนไหม? ” ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้ปฏิเสธ
อีกทั้งเขายังคิดถึงบาร์บีคิวที่วันนั้นไม่ได้กินเพราะมีเรื่องชกต่อยกับต้วนเหล่ย
เมื่อเห็นเซี่ยเจิงปิดประตูอย่างรวดเร็ว และนำป้าย “อยู่ระหว่างพักผ่อน” ไปแขวนไว้ ชวีเสี่ยวปอกำลังอยากจะชี้ไปที่ร้านบาร์บีคิวทางนั้น เซี่ยเจิงก็เปิดปากพูดออกมาว่า “ตามฉันมา” แล้วเดินตรงไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
ชวีเสี่ยวปอเดินตามเซี่ยเจิงอยู่ด้านหลัง จนกระทั่งทั้งสองคนเดินผ่านตรอกไปแล้วสองซอยโดยที่ยังคงเงียบสงัดไม่พูดไม่จากัน ไฟที่มืดมิดจนดูเหมือนที่ที่ไม่มีอะไรสามารถกินได้เลยสักนิด ชวีเสี่ยวปอเริ่มมองไปยังขายาวๆ ของเซี่ยเจิงที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งบ่นพึมพำ
หลานชายคนนี้คงไม่ได้อยากหาที่ที่ไม่มีคนแล้วลอบทำร้ายเขาหรอกนะ หรือว่าจะชิ่งหนีไปก่อนดี ดูเหมือนว่าจะไม่เลวนะ……
“ถึงแล้ว”
จู่ๆเซี่ยเจิง ก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน
“อ่า” ชวีเสี่ยวปอที่มีความรู้สึกราวกับเหมือนถูกจับยัดใส่กระเป๋าและเมื่อหนึ่งวินาทีที่แล้วยังสงสัยว่า “ควรจะลงมือตอนเหมาะเจาะ” ดีไหม แต่ว่าถึงแล้ว?
ในตรอกเล็กๆ นี้มีที่ที่ให้กินข้าวที่ไหนกัน
“ตรงนี้แหละ” เซี่ยเจิงยิ้มออกมา แล้วจึงยื่นมือออกไปผลักประตูเหล็กที่อยู่ด้านข้างของบ้านธรรมดาๆ หลังหนึ่ง
พรึบ
ด้านหน้าของชวีเสี่ยวปอมีแสงไฟสว่างขึ้นมา
เขาคิดไม่ถึงว่าลานบ้านเล็กๆ ธรรมดาๆ นี้จะสามารถซ่อนร้านขายหมาล่าทั่ง[2] ที่ครึกครื้นเช่นนี้เอาไว้ได้
จริงๆ แล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากถนนด้านนอกสักเท่าไหร่ ลานบ้านที่ไม่ใหญ่มากมีรถเข็นขายของที่มีแก๊สบรรจุอยู่ด้วยตั้งไว้สองคัน เนื้อสัตว์เสียบไม้นานาชนิดถูกต้มในน้ำเดือดปุดๆ พื้นที่เล็กขนาดนี้แต่กลับมีคนกว่าสิบคนกำลังกินอยู่รอบๆ รถเข็นอย่างน่าเอร็ดอร่อย อาจเป็นเพราะกลัวว่าจะรบกวนเหล่าผู้คน ในลานบ้านเล็กๆ นี้แม้ว่าจะมีไฟแขวนอยู่แต่ก็ไม่ได้แขวนไว้สูงนัก ดังนั้นภายใต้แสงไฟชวีเสี่ยวปอจึงเห็นไอความร้อนที่ลอยขึ้นมาและเลือนหายไปได้อย่างชัดเจน จนกระทั่งลอยเข้ามายังจมูกของตน
ฮึดฮัด
สุดยอด ! ชวีเสี่ยวปอแตะไปที่ท้องของเขา ทั้งยังกลืนน้ำลายลงคอไป
“คุณลุงครับ” เซี่ยเจิงเดินเข้าไปทักทายคุณลุงวัยกลางคนที่กำลังยื่นเบียร์ให้ลูกค้า
“มาแล้วเหรอ !” คุณลุงหันกลับมาแล้วเห็นเป็นเซี่ยเจิงจึงพูดออกไปว่า “วันนี้เลิกงานเร็วนะ ! มาแล้วเหรอ? ” ส่วนประโยคหลังที่พูดว่า “มาแล้วเหรอ” คุณลุงพูดกับชวีเสี่ยวปอ ดูแล้วเซี่ยเจิงน่าจะเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ แม้แต่ชวีเสี่ยวปอคุณลุงก็ยังต้อนรับอย่างอบอุ่น
“ครับ ครับ” ชวีเสี่ยวปอรีบพยักหน้า “สวัสดีครับคุณลุง”
“คุณลุงไปทำงานต่อเถอะครับ” เซี่ยเจิงกล่าว “เดี๋ยวพวกเราหาที่นั่งกันเองครับ”
“ได้เลย” คุณลุงยกผ้ากันเปื้อนที่มีโลโก้เบสน้ำซุปของหม้อไฟขึ้นมาเช็ดศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเหงื่อ “ถ้าเนื้อเสียบไม้ไม่พอบอกลุงนะ !”
ทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่ด้านหน้า คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังตรงข้างๆ รถเข็น ซึ่งเป็นที่ที่เพิ่งจะมีคนหลบให้เขาทั้งสองได้มีที่ยืน กลิ่นหอมเผ็ดที่เดือดขึ้นมาจากหน้าร้านยิ่งพุ่งตรงและยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอไม่ทันได้สังเกตว่าเซี่ยเจิงเตรียมชามและตะเกียบไว้ให้เขาแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อเสียงพูดคุยเงียบไปครู่หนึ่งทั้งสองก็กินกันไปประมาณสิบห้านาทีได้ ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็วางตะเกียบในมือลง กางมือออกมาแล้วลูบไปที่หน้าท้อง อืม อิ่มไปครึ่งกระเพาะ
แล้วก็ว่างที่จะพูดแล้ว
“นายเจอที่นี่ได้ยังไงอะ”
“แต่ก่อนคุณลุงคนนี้ขายของอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ” เซี่ยเจิงคีบผักชีลงไปในชาม พลางพูดต่อไปว่า “แต่ถูกเจ้าหน้าที่จัดระเบียบในเมืองไล่ เลยต้องย้ายมาเปิดที่บ้านอย่างช่วยไม่ได้ แล้วก็เปิดแค่ตอนกลางคืนด้วย”
“อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอหยิบเห็ดเข็มทองขึ้นมาอีกหนึ่งไม้ “แต่อร่อยมากเลยนะ”
“ต้องงั้นอยู่แล้ว !” และจู่ๆ ก็มีคนมาตีเข้าที่ด้านหลัง เห็ดเข็มทองที่กำลังจะใส่เข้าไปในปากของชวีเสี่ยวปอหล่นลงมาใส่ชามอีกครั้ง ชวีเสี่ยวปอเงียบไปสักพักหนึ่ง พอหันหลังไปก็เห็นคุณลุงยืนหัวเราะเขาอยู่ “เธอคือเพื่อนของเซี่ยเจิงสินะ? ”
“ใช่ครับ…” ใช่กับผีนะสิ
“เซี่ยเจิงพาเพื่อนมาที่นี่ครั้งแรกเลยนะเนี่ย อีกหน่อยเธอก็มาบ่อยๆ นะ” คุณลุงวางน้ำอัดลมในมือลงที่ด้านหน้าเขาทั้งสอง “ลุงให้”
“ขอบคุณครับคุณลุง” เซี่ยเจิงไม่ได้เกรงใจสักเท่าไหร่ แล้วยังพูดต่ออีกว่า “แล้วก็ต้มบะหมี่ให้ผมด้วยนะครับ แล้วนายล่ะ? จะกินบะหมี่ด้วยไหม? ”
“งั้นผมขอด้วยชามหนึ่งครับ” ชวีเสี่ยวปอหันไปยังคุณลุงและเผยให้เห็นฟันเขี้ยวของเขา
“ทีนี้ก็พูดได้แล้วใช่ไหมว่ามาหาฉันทำไม” เซี่ยเจิงยื่นนิ้วออกไปเคาะขวดแก้วอย่างเป็นจังหวะทำให้เกิดเสียงใสที่เบาบางขึ้น
“ต้วนเหล่ย” ชวีเสี่ยวปอเงยหน้ากระดกน้ำอัดลมไปหนึ่งที ทั้งปากเต็มไปด้วยรสส้มที่หวานเลี่ยน “นายรู้ใช่ไหม”
“ไม่รู้” เซี่ยเจิงไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
“ก็วันนั้นคนที่มีเรื่องกับฉันไง” ชวีเสี่ยวปอจ้องเขาอย่างไม่มีมารยาท แต่กลับรู้สึกว่าแปลกๆ กับตัวเองเป็นอย่างมาก เซี่ยเจิงน่าจะไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ
“วันนั้นคนที่มีเรื่องกับนายเยอะมากเลยนะ ฉันไม่รู้ว่าคนไหน” ดีมาก เหตุผลเพียงพอสุดๆ
“ก็คนที่…” ชวีเสี่ยวปอเกาหัวไปมา ไม่รู้จะบรรยายลักษณะยังไง สักพักก็คิดออกมาได้ประโยคหนึ่ง “คนที่ดูโง่เง่าที่สุดอะ”
“งั้นก็รู้แล้ว” เซี่ยเจิงดีดนิ้วขึ้นมาหนึ่งที แล้วถามกลับไปว่า “แล้วยังไง? ”
“ความโง่เง่าของต้วนเหล่ยเด่นขนาดนั้นเลย? ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะอย่างสะใจ “วันนี้ฉันไปบังเอิญเจอมันมา วันนั้นนายพูดว่าแจ้งตำรวจไม่ใช่หรือไง? ต้วนเหล่ยมันจะย้อนกลับมาหานาย ดังนั้น……”
ดังนั้นฉันเลยกลัวนายโดนอัดจนเละ
ชวีเสี่ยวปอติดอยู่ที่คำพูดนี้ เขาไม่อยากที่จะพูดความจริงออกไป
“ฉันกำลังกลุ้มใจอยู่ไม่รู้จะเจอกับมันได้ที่ไหน” เมื่อชวีเสี่ยวปอพูดเหตุผลที่แต่งขึ้นมานี้ก็ดูไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย
“อ๋อ” เซี่ยเจิงยังคงเคาะขวดแก้วเป็นจังหวะอยู่ ไม่มีท่าทีตอบสนองสักเท่าไหร่
อ๋อกับปู่นายสิ ชวีเสี่ยวปอรู้สึกอึดอัดใจ
“กำลังกลุ้มใจอยู่ไม่รู้จะเจอกับมันได้ที่ไหนเหรอ”
ในที่สุดเซี่ยเจิงก็หยุดการเคลื่อนไหวที่มือของเขา แล้วขมวดคิ้ว แต่ความจริงแล้วการขมวดคิ้วของเขานั้นดูเหมือนจะเป็นการจงใจทำขึ้น พอมองก็ไปแวบแรกก็รู้เลยว่าเขาจงใจที่จะแสดงท่าทางสงสัย
เซี่ยเจิงลากเสียงยาว “เมื่อครู่ใครพูดนะว่าวันนี้บังเอิญเจอกับต้วนเหล่ย”
“แย่ละ……” ชวีเสี่ยวปอมองไปที่หมาล่าทั่งตรงหน้าและความหอมก็หายไปอย่างฉับพลัน วินาทีต่อมาจึงได้ยื่นมือออกไปบีบเข้าที่คอของเซียเจิง “เซี่ยเจิงฉันกับนายตายกันไปข้างหนึ่ง”
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ” หญิงสาวสามคนที่นั่งข้างหลังเขาสองหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีมารยาทเอาซะเลย
ชวีเสี่ยวปอเอียงคอและมองไปยังหญิงสาวสามคนนั้นด้วยความงุนงง
“พวกนายตีกันเลย ตีกันเลย” หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวที่สวมแว่นตากลมๆ คนหนึ่งพูดพึมพำขึ้นมา แต่ก็ยังยากที่จะปกปิดรอยยิ้มนั้นได้ “ไม่ต้องสนใจพวกเรา”
ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ? ? ” ทำไมยังมีคนประเภทที่ชอบดูคนทะเลาะกันเป็นงานอดิเรกอีกเนี่ย
เหมาะเจาะกับที่คุณลุงยกบะหมี่มาเสิร์ฟพอดี ชวีเสี่ยวปอเลยไม่อยากที่จะทะเลาะกันต่อ ทั้งสองคนจึงเริ่มกินบะหมี่อย่างเงียบๆ
แต่ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวสามคนที่อยู่ตรงข้ามนั้นกระซิบกระซาบกันไม่เลิก
“หล่อมากเลยอะ”
“ชอบมาก ชอบสุดๆ เลยอะ”
แต่ใครจะไปรู้เล่า ว่าชวีเสี่ยวปอกินอย่างไม่มีความสุขสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะตอนที่เสียงดูดบะหมี่ของเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ชวีเสี่ยวปอถึงขนาดคิดว่าเป็นการยั่วยุแบบหนึ่งของเขา
ดังนั้นจึงดูดเสียงดังขึ้นไปอีกเพื่อตอบโต้เขา
หญิงสาวที่อยู่ตรงข้าม : “พวกเธอรู้อยู่แล้วละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“อย่าแกล้ง พอแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ? ? ” ฉันไม่เข้าใจ ! ใครโดนตีนะ?
และแน่นอนเขาก็ไม่อยากที่จะถามเซี่ยเจิงว่าเข้าใจไหมเหมือนกัน
ทั้งสองคนกินบะหมี่เสร็จไปพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวทั้งสาม ทั้งยังเดินไปคิดเงินจนออกจากร้านไปภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาอันร้อนแรงอย่างแปลกประหลาดของหญิงสาวทั้งสามคนนั้น
ดีมาก
ทันทีที่เดินเข้ามาในตรอก ชวีเสี่ยวปอก็เริ่มพิจารณาแล้วว่าจะเตะเซี่ยเจิงไปทีหนึ่ง หรือจะล็อกคอเขาจากด้านหลังดี ทั้งยังคิดว่าจะไม่ปล่อยจนกว่าเขาจะเรียกตัวเองว่าพ่อ
“ขอบใจนายมาก” เซี่ยเจิงเดินไปข้างหน้าสองก้าว หลังจากนั้นเขาก็หยุดเดินและหันหลังกลับมา เป็นอีกครั้งที่ความคิดทั้งหมดของชวีเสี่ยวปอถูกตัดตอนลง “ถ้าต้วนเหล่ยมาหาฉันพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งจริงๆ ฉันคิดว่าฉันสามารถรับมือกับพวกมันได้ ต่อให้รับมือได้ แต่ถ้ามันมาพังร้านฉันก็รับไม่ไหวอยู่ดี”
“อ่อ” ชวีเสี่ยวปอถูกกระแทกด้วยคำว่า “ขอบใจ” จนรู้สึกเวียนหัว แถมในใจยังคิดอีกว่าทำไมคนคนนี้ถึงไม่ออกไพ่ไปตามเกม
“ไม่ใช่อะไรหรอก…” ชวีเสี่ยวปอเอาทั้งสองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วแสร้งทำท่าทางเมินเฉย “ยังไงซะวันนั้นก็เป็นเพราะฉันไม่ใช่เหรอ ถ้าต้วนเหล่ยมาทำอะไรนายจริงๆ ฉันคงจะรู้สึกแบบนั้นสุดๆ”
“แบบไหนอะ” ครั้งนี้เซี่ยเจิงหัวเราะออกมา
“ทวดนายสิ !” ชวีเสี่ยวปอโกรธเกรี้ยว
ทั้งสองคนคุยกันเข้าใจแล้วจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยเลย ทว่าตลอดทั้งทางก็ยังคงถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด จนกระทั่งกลับมาถึงร้านสะดวกซื้อ ชวีเสี่ยวปอเดินไปที่ข้างหลังของเซี่ยเจิง แล้วจึงพูดว่า “สี่ทุ่มละกัน ฉันอยู่ที่นี่จนถึงสี่ทุ่มละกัน” ความหมายของคำพูดนี้ก็คือ ถ้าหากก่อนสี่ทุ่มต้วนเหล่ยไม่มา คิดว่าวันนี้ก็คงไม่มาแล้วละ
“ได้” เซี่ยเจิงไม่ได้ปฏิเสธ พอพูดจบก็เลื่อนเก้าอี้ไปวางไว้ที่ข้างเคาน์เตอร์คิดเงิน “นั่งสิ”
หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอนั่งลงแล้ว จึงหยิบมือถือออกมาเล่นเวยป๋อสักพัก ดูข่าวล่าสุดของดาราแต่ละคนไปรอบหนึ่ง และยังเปิดวีแชทดูโมเมนต์ของเพื่อนไปอีกหนึ่งรอบ ทั้งยังกดถูกใจมีมติ๊งต๊องที่ซือจวิ้นส่งมาให้ด้วย
น่าเบื่อ
มีผู้คนอาศัยอยู่แถวนี้ไม่เยอะมาก คนที่มาซื้อของในร้านสะดวกซื้อนี้ก็เป็นเพียงคนที่ผ่านทางมาซื้อบุหรี่อะไรทำนองนั้น ผ่านไปกว่าสิบนาทีก็ยังไม่มีใครเข้ามาสักคน
ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นเดินวนไปวนมาในร้านสะดวกซื้อประมาณสามสี่รอบได้ ทั้งยังรู้สึกว่าตัวเองเกือบจะจำราคาสินค้าได้ทั้งหมดแล้ว แต่สุดท้ายก็กลับมายืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์คิดเงินเช่นเดิม
เซี่ยเจิงกดปิดวิดีโอบาสเกตบอลที่ตนกำลังดูอยู่ แล้วเหลือบมองขึ้นมา “มีอะไร? ”
………………………..
เชิงอรรถ
[1] ต้นไป่หยางเงิน เป็นไม้ยืนต้นที่พุ่งทะยานขึ้นสู่ยอดสูง มีลำต้นตั้งตรง กิ่งก้านตรง กิ่งก้านทั้งหมดนั้นพุ่งตรงขึ้นไป ไม่เอนเอียงออกนอกทิศทาง
[2] หมาล่าทั่ง คือการนำเนื้อสัตว์ และผักต่างๆ ลงไปใส่ในน้ำซุปหมาล่าที่มีรสเผ็ดชา โดยคำว่า “หมา” แปลว่าชา “ล่า” แปลว่าเผ็ด และ “ทั่ง” แปลว่าน้ำซุปที่ร้อน