“แค่ถามเฉยๆ เอง” ซือจวิ้นรู้สึกว่าท่าทีตอบกลับของชวีเสี่ยวปอรุนแรงเกินไปหน่อย “แต่ว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ของนายกับเขาก็แน่นแฟ้นขึ้นไม่น้อยเลยไม่ใช่เหรอ? เรื่องของต้วนเหล่ยเขาก็เป็นคนบอกนาย แล้วอีกอย่างตอนเรียนฉันก็เห็นนายสองคนคุยกระซิบกระซาบกันตลอดเลย”
“พูดอะไรเหลวไหล !” ชวีเสี่ยวปอรีบปฏิเสธออกไป “แล้วตอนเรียนนายหันมามองฉันตลอดทำไม? ”
ซือจวิ้นหัวเราะแหะๆ ออกมาสองทีเหมือนกำลังจะพยายามกลบเกลื่อน แต่ชวีเสี่ยวปอก็เลือกที่จะขยับข้อมือ “ให้การสั่งสอน” เขาสักหน่อย
ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือ ก็ถูกคนคนหนึ่งมาตีเข้าที่ด้านหลัง
“เห้ย !”
ชวีเสี่ยวปอหันกลับไปดู จ้าวชิวเจียก็กำลังหัวเราะอยู่โดยใช้มือป้องปากทั้งยังมองมาที่ตัวเขา
“เธอโดดเรียนเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเลิกคิ้ว
“อะไรกัน” จ้าวชิวเจียชี้ไปยังเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่บนสนาม “นายไม่รู้เลยเหรอว่าชั้นเรียนของพวกเราสองคนเรียนวิชาพละด้วยกันน่ะ !”
“อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าจะเรียนวิชาพลศึกษาด้วยกันกับเธอหรือเปล่า แต่เขากลับสนใจเหตุการณ์ในสนามบาสเกตบอลมากกว่า จ้าวชิวเจียมองไปตามสายตาของเขา แล้วเธอก็หลุดหัวเราะออกมา :
“นายดูเซี่ยเจิงล่ะสิ? พวกเราสองคนถูกแบ่งให้ไปอยู่ห้องเดียวกันแล้ว”
ชวีเสี่ยวปอผงะไปครู่หนึ่ง เมื่อครู่พูดว่ายังไงนะเขากับเธออยู่ห้องเดียวกัน ก็เห็นอยู่เขาอยู่ห้องเดียวกับฉันชัดๆ เมื่อเขารู้สึกตัวถึงได้เข้าใจขึ้นมา : “เซี่ยเจิงก็อยู่ด้วยเหรอ? ”
“ใช่แล้ว” จ้าวชิวเจียหรี่ตาลง แล้วชี้ไปยังทางนั้น “นั่นไง คนที่ถือขวดน้ำอยู่น่ะ”
ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอเห็นเธอแล้ว เพราะเซี่ยเจิงถูกเพื่อนผู้หญิงที่อยู่รอบๆ ตัวเธอดันออกมาพอดี เธอยังคงใช้มือเกี่ยวผมมาทัดหูอยู่อย่างเหมือนเคย ราวกับกำลังปกปิดความเขินอายของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นเธอก็เดินอย่างนวยนาดไปหาเซี่ยเจิงที่เพิ่งจะออกจากสนามไปได้ไม่นาน หลังจากนั้นก็ยื่นน้ำในมือส่งให้เขา
“หึย——” ผู้ชายหลายคนในสนามส่งเสียงโห่ร้องด้วยความอิจฉา
“ฉันรู้สึกว่า” จ้าวชิวเจียเดินกอดอกไปยืนอยู่ข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ “ด้านนี้ของพวกเขาสองคนก็ไม่แย่เหมือนกันนะ”
“ด้านไหน” ชวีเสี่ยวปอขี้เกียจสนใจแล้วว่าในสนามจะเกิดอะไรขึ้นอีก จึงได้หันหลังกลับมา
“รู้แล้วยังจะถามอีก” จ้าวชิวเจียดวงตาเป็นประกาย “ฉันว่านะ นายจะไม่พิจารณาฉันดูหน่อยเหรอ? ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดูแย่กว่าเซี่ยเจิงตรงไหนนะ”
“นี่มันไม่ใช่เรื่องของดูแย่หรือไม่ดูแย่ ผู้หญิงท่านนี้ฉันยอมแล้วปล่อยฉันไปเถอะนะ” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้า “ถือว่าฉันขอได้ไหม? อย่ามาคอยตามฉันอีกเลยนะ”
“เชอะ ไม่มีทาง” จ้าวชิวเจียเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงดื้อดึงและดึงดันได้ถึงเพียงนี้ เธอก็น่าจะรู้ว่าชวีเสี่ยวปอปฏิเสธทั้งต่อหน้าและลับหลังไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งถ้าจะปฏิเสธเพิ่มไปอีกสักครั้งก็คงจะไม่เป็นไร “ได้ ครั้งนี้ฉันแพ้แล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ”
“เจ้ากรรมนายเวรจริงๆ ” เมื่อเห็นว่าจ้าวชิวเจียเดินออกไปไกลแล้ว ชวีเสี่ยวปอถึงค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย เขาช่างไม่มีทางเลือกเสียจริง
“นายยังหัวแข็งกว่าเธออีก” ซือจวิ้นพูด “ก่อนหน้านี้นายบอกฉันว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเซี่ยเจิงแล้วไม่ใช่หรอ? แล้วตอนนี้เป็นอะไรขึ้นมาอีกล่ะ? ”
“ใช่ไง” ชวีเสี่ยวปอพูดไปอย่างปากแข็ง “ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว”
“ช่างมันเถอะ” ซือจวิ้นมองชวีเสี่ยวปอด้วยอารมณ์ดูถูก “ฉันน่าจะหากระจกมาให้นายส่องดูตัวเองจริงๆ เลย หน้านายเหมือนกับเดินไปเหยียบถูกขี้หมาติดต่อกันสามครั้งยังไงยังงั้นเลย”
“ขยะแขยง !” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกรังเกียจจนคิ้วขมวดเข้าหากัน แต่จริงๆ แล้วเขาก็กำลังพูดกระซิบกระซาบในใจไปด้วย
มันเห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?
ถึงแม้ว่าช่วงนี้เขาจะไม่ได้คิดถึงเรื่องของเซี่ยเจิงแล้วก็ตาม แต่พอเมื่อครู่เห็นเธอกำลังยื่นน้ำให้เซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกว่าในใจของเขาเองก็ยังคงโลเลอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดที่เซี่ยเจิงบอกกับเขาไปก่อนหน้านี้
เขาปฏิเสธแล้ว เขาไม่ได้ชอบเธอ
แล้วยังไงล่ะ?
ไอ้ชายชั่ว !
ดังนั้น เมื่อชวีเสี่ยวปอกลับไปที่ห้องเรียนหลังจากทานข้าวเสร็จ แล้วเห็นขวดน้ำที่ดื่มไปแล้วครึ่งขวดวางอยู่บนโต๊ะของเซี่ยเจิง ไฟจึงปะทุขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“นายดื่มขวดนี้ !” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วจึงเอาน้ำชาผลไม้ในมือของเขายัดใส่มือของเซี่ยเจิง
“ฉันไม่ดื่ม” เซี่ยเจิงประหลาดใจ
“ดื่ม !” น้ำเสียงนี้ของชวีเสี่ยวปอ ถ้าหากหลับตาฟังเผลอๆ อาจจะคิดว่าตัวเขานั้นกำลังอยู่ในหุบเขาเหลียงซาน แล้วจอมยุทธ์ท่านนี้ก็กำลังขอคารวะเขาเป็นแน่
“ไม่ดื่ม” เซี่ยเจิงวางชาผลไม้ลงบนโต๊ะ “ถ้าฉันดื่มอันนี้ฉันได้นอนไม่หลับแน่”
“แต่ดื่มน้ำเย็นที่ผู้หญิงให้หลับฝันดีเลยล่ะสิ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะอย่างเย้ยหยัน แล้วดึงเก้าอี้ออกมานั่ง
“เป็นอะไรของนายอีกเนี่ย”
เซี่ยเจิงเกือบจะหัวเราะออกมา แท้จริงแล้วเป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง นับวันเขาก็ยิ่งพบว่านิสัยของชวีเสี่ยวปอช่างแตกต่างกับหน้าตาของเขาอย่างสิ้นเชิง ชวีเสี่ยวปอที่ทั้งวันเอาแต่ทำหน้าหยิ่งผยอง แต่ถ้าเมื่อใดมีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองแล้วละก็ เขาก็พร้อมที่แปลงร่างเป็นซาลาเปาน้อยขี้โมโหซึ่งพร้อมที่จะระเบิดให้ทุกคนเห็นได้ตลอดเวลา
“ถ้าฉันไม่รับมา นายจะให้ฉันปฏิเสธเธอหรือยังไง? ” เซี่ยเจิงพิงไปด้านหลัง “ต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนั้นเนี่ยนะ”
อย่างนี้เองเหรอ? ที่เซี่ยเจิงพิจารณาดูแล้วถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ อย่างนั้นเขาก็คิดได้รอบคอบมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเช่นนั้น แต่ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้พูดแย้งออกมา
“แล้วอีกอย่าง นายก็ล้มเลิกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
ท่าทางที่ชวีเสี่ยวปอทำบ่อยที่สุดก็คือนอนคว่ำหน้าลง แขนทั้งสองข้างรองศีรษะเอาไว้ และหน้าหันออกไปด้านข้างเหลือเพียงแต่หลังศีรษะและคอยาวๆ ทิ้งไว้ให้เซี่ยเจิง
ทว่าหลังจากฟังเซี่ยเจิงพูดจบ ชวีเสี่ยวปอก็รีบหันหน้ากลับมาทันที แล้วจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ : “แพ้ให้นายแล้ว ฉันยอมรับ โอเคยัง” หลังจากพูดจบเขาก็หันศีรษะกลับไปอีกครั้ง และหันหลังให้เซี่ยเจิงเหมือนดังเดิม
เซี่ยเจิงมองไปยังศีรษะผมทรงสกินเฮดที่เริ่มมีผมยาวดกขึ้นมาปกคลุม แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากที่จะยื่นมือไปลูบมันขึ้นมา
เรื่องของต้วนเหล่ยทำเอาซะเป็นเรื่องใหญ่ไปเลย
ไม่ใช่เพราะว่าสถานการณ์เกี่ยวกับร่างกายของนายนั่นที่ยังไม่ดีขึ้น แต่เป็นเพราะว่าเรื่องมันเกิดอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียน โรงเรียนในละแวกนี้ก็ค่อนข้างที่จะหนาแน่น ดังนั้นหลายวันติดต่อกันมานี้จึงต้องรีบประชุมกันอย่างแข็งขัน เตือนนักเรียนว่าให้รีบกลับบ้านทันทีหลังจากเลิกเรียน ไม่ให้อยู่บริเวณแถวนอกโรงเรียน และห้ามต่อยตีทะเลาะวิวาทกันโดดเด็ดขาด ถ้าหากตรวจเจอจะลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น ทั้งยังไล่ออกทันที
“ยังหาไม่เจอจริงๆ เหรอว่าใครเป็นคนทำ? มันผิดปกติมากเลยนะ” เขาทั้งสองคนเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำมา และกำลังล้างมืออยู่ตรงอ่างล้างหน้า ซือจวิ้นนึกไม่ถึงว่ามันจะเป็นไปตามที่เขาพูดไว้จริงๆ เมื่อมือเขาสั่น พอเอื้อมไปเปิดก๊อกน้ำเลยเปิดแรงเกินไปหน่อย จึงทำให้น้ำกระเซ็นไปทั่วทั้งตัวชวีเสี่ยวปอ
“เล่นน้ำพุเหรอพี่ชาย? ” ชวีเสี่ยวปอรีบถอยหลังออกมาอยู่หลายก้าว “จะมีอะไรผิดปกติได้ ตรงหลังโรงเรียนแม้แต่ไฟถนนก็ไม่มี บ้านเล็กๆ ซอมซ่อตรงนั้นก็มีคนอยู่แค่ไม่กี่หลัง ถ้าฉันอยากจะทำต้วนเหล่ยก็เลือกที่นั่นเหมือนกันแหละ”
“โยนคำพูดนายทิ้งไปเลยนะนั่น !” ซือจวิ้นยื่นมือออกไปดึงแขนชวีเสี่ยวปอ “นี่นายยังเกิดเรื่องไม่เยอะพออีกเหรอ อย่าพูดพล่อยๆ ถึงเรื่องนี้อีกนะ เมื่อวานยังมีพวกที่เรียนอาชีวะมาถามฉันเลยว่านายเป็นคนทำหรือเปล่า ฉันคิดว่านะพวกแก๊งเล็กๆ ที่ชอบมารวมกับพวกต้วนเหล่ยเผลอๆ จะคิดแบบนี้เหมือนกัน”
“คิดก็คิดไปสิ” ชวีเสี่ยวปอดีดนิ้วอย่างไม่สนใจ “เย็นนี้ไปกินร้านเหลาอู่กัน? ”
ที่จริงแล้วชื่อเต็มๆ ของร้านเหลาอู่คือร้านปู่อู่ปิ้งย่าง เนื้อสามชั้นของเขาย่างได้สุดยอดมาก ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าร้านไหนๆ ก็ย่างให้มีรสชาติแบบร้านนั้นไม่ได้ มันทั้งหอมและอร่อยสุดๆ จึงทำให้นานๆ ครั้งชวีเสี่ยวปอต้องไปกินสักหนึ่งหน ไม่อย่างนั้นก็จะคิดถึงจนรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว และอีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันศุกร์ด้วย คาดว่าคืนนี้ชวีอี้เจี๋ยวน่าจะมาที่บ้าน เขาเลยคิดว่าจะใช้ข้ออ้างของการไปกินข้าวนี้หลบออกมาสักหน่อย
“ได้เลย ฉันก็อยากกินไตย่างร้านนั้นอยู่พอดีเลย” ซือจวิ้นยิ้ม
“กินอะไรก็เสริมอันนั้น” ชวีเสี่ยวปอจิ้มเข้าไปที่ข้างเอวของซือจวิ้น “นายกินไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก !”