“ยังดื่มไม่ชินสินะ”
ชวีอี้เจี๋ยกำลังจัดวางกาน้ำชาใบเล็กที่อยู่ในมือ พร้อมทั้งเปิดเผยคำโกหกของชวีเสี่ยวปอที่พูดไปเมื่อครู่
“ครับ มันเทียบกับโค้กไม่ได้เลยครับ” ชวีเสี่ยวปอค้านออกไป รู้สึกราวกับว่าความขมที่อยู่ในปากของตัวเองจะไม่สลายหายไป จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวมาก
“การดื่มชาต้องค่อยๆ ชิม จึงจะรับรู้ถึงรสชาติของมัน” ชวีอี้เจี๋ยเอนตัวพิงไปยังโซฟา “คนก็ต้องค่อยๆ เติบโตเช่นกัน”
ชวีเสี่ยวปอเขี่ยนิ้วเล่นและไม่ได้พูดอะไรออกมา ที่จริงแล้วเขาก็อยากจะพูดว่า “แล้วสองเรื่องนี้มันเกี่ยวกันยังไง? ช่วงนี้พ่ออ่านบทความเกี่ยวกับสุขภาพจิตเยอะเกินไปใช่ไหม” แต่เขาก็ยั้งเอาไว้ก่อน
“ช่วงนี้อยู่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง? ” ในที่สุดชวีอี้เจี๋ยก็เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา
“อยากจะถามอะไร ก็ถามมาตรงๆ เลยครับ” ชวีเสี่ยวปอค่อนข้างที่จะเบื่อหน่ายกับรูปแบบการพูดคุยที่อ้อมค้อมและวกไปวนมาเช่นนี้ของชวีอี้เจี๋ย แล้วจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนชวีอี้เจี๋ยก็ใช้วิธีการพูดแบบนี้กับชวีจิ่งเหมือนกัน จึงทำให้เข้าใจได้เลยว่าทำไมลูกๆ ของชวีอี้เจี๋ยถึงสื่อสารกับเขาไม่ค่อยจะราบรื่นสักเท่าไหร่ “ทำไมแม่ผมถึงร้องไห้ครับ”
“งั้นลูกอธิบายเรื่องต้วนเหล่ยให้พ่อฟังทีได้ไหม? ” เมื่อชวีอี้เจี๋ยถามคำถามนี้ออกมา ชวีเสี่ยปอกลับรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าโรงเรียนนำมาแจ้งผู้ปกครอง หรือว่าคนที่รู้จักในสถานีตำรวจนำมาบอกเขากันแน่ แต่ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกว่าเขารู้มาจากที่ไหน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะชวีเสี่ยวปอคิดเอาไว้อยู่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเร็วเพียงนี้
“ไม่ได้ครับ” ชวีเสี่ยวปอปฏิเสธออกไปตรงๆ “อีกอย่าง พ่อกับแม่ก็รู้เรื่องกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”
“เห้อ” ชวีอี้เจี๋ยถอนหายใจยาว “ลูกเอ๋ย”
ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอแทบอยากจะรีบบินขึ้นไปบนห้อง
“แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราสองคนก็ไม่เคยมานั่งคุยกันดีๆ แบบนี้เลยสักครั้ง ลูกอย่ามองพ่อว่าเป็นศัตรูเช่นนี้เลยจะได้ไหม” ชวีอี้เจี๋ยมองชวีเสี่ยวปอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม “เมื่อตอนบ่ายพอแม่ของลูกรู้เรื่อง ก็ร้องไห้ไม่หยุดเลย ทั้งยังไม่กล้าโทรไปถามอะไรลูกด้วย กลัวลูกจะโมโห”
“……ครับ” ชวีเสี่ยวปอก้มศีรษะลงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เขาสามารถทำเป็นไม่สนใจชวีอี้เจี๋ยได้ แต่ไม่สนใจเวินลี่ไม่ได้เป็นอันขาด
“ลูกก็โตขนาดนี้แล้ว อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ” ชวีอี้เจี๋ยนานๆ ครั้งที่จะเห็นชวีเสี่ยวปอไม่เถียงออกมา จึงใช้โอกาสนี้ในการพูดต่อไปอีกว่า “ครั้งนี้ก็ช่างมันเถอะ เรื่องที่เหลือเดี๋ยวพ่อจัดการเอง จำไว้เป็นบทเรียนและห้ามทำอีกรู้ไหม”
“เรื่องที่เหลือ? ” ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าคำพูดที่ชวีอี้เจี๋ยพูดมันหมายความว่าอะไร
“ทางครอบครัวของต้วนเหล่ยจะไม่สืบหาเรื่องนี้ต่อ” ชวีอี้เจี๋ยนวดไปที่หว่างคิ้วเบาๆ ราวกับว่าเขาได้แก้ไขปัญหาใหญ่ที่ทำให้เขาปวดหัวไปได้เรื่องหนึ่ง “ลูกไปเรียนด้วยความสบายใจ ก็พอแล้ว”
“สืบหา? ” ชวีเสี่ยวปอเหมือนว่าจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาแล้ว จึงลุกขึ้นยืนอย่างหมดความอดทน “เรื่องของต้วนเหล่ยผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง”
ชวีอี้เจี๋ยไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับมองชวีเสี่ยวปอขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “จะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องล้วนไม่สำคัญ อีกเดี๋ยวก็ขึ้นไปขอโทษแม่เขา แล้วก็ไปนอนเถอะ” พอพูดจบชวีอี้เจี๋ยก็ลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อนครับ” ชวีเสี่ยวปอก้าวออกไปยืนขวางหน้าพ่อของเขา แล้วพูดออกไปโดยเน้นทุกตัวอักษรว่า : “ผมบอกแล้วไงครับว่า ที่ต้วนเหล่ยโดนแทง ไม่เกี่ยวข้องกับผม”
เมื่อก่อนไม่เคยได้เปรียบเทียบเลย ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้ ทันใดนั้นชวีอี้เจี๋ยก็รู้สึกว่าตัวเขาดูเหมือนจะละเลยลูกคนนี้ไปมาก ลูกชายเขาคนนี้สูงกว่าตัวเขาไม่ใช่น้อยๆ แล้ว
“แต่พ่อจำได้ว่าวันนั้นที่ไปตกปลาพวกลูกสองคนก็ดูไม่ค่อยชอบหน้ากันสักเท่าไหร่” ชวีอี้เจี๋ยมองชวีเสี่ยวปอเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ชอบต่อต้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง “พอแล้ว เรื่องนี้ก็เอาไว้พอแค่นี้ ตอนบ่ายพ่อคุยกับพ่อของต้วนเหล่ยแล้ว ที่จริงแล้วเขาก็มีเรื่องให้พ่อช่วยอยู่เหมือนกัน พ่อก็เข็นเรือตามน้ำ [1] ตอบตกลงเขาไป แต่ลูกต้องจำเอาไว้ว่าลูกเป็นลูกชายของพ่อ จะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังซะก่อนว่าจะทำให้พ่อขายหน้าหรือเปล่า”
ชวีอี้เจี๋ยคงจะคิดว่าตัวเองพูดได้เข้าใจมากแล้ว ในตอนที่พูดจบเขายังตบเบาๆ ไปที่ไหล่ของชวีเสี่ยวปอด้วย ทว่าเมื่อตอนที่ชวีอี้เจี๋ยกำลังจะขึ้นไปด้านบน ทางด้านหลังของเขาก็มีเสียงอะไรบางอย่างกระแทกลงไปที่พื้นจนแตกละเอียด
กาน้ำชาใบเล็กของชวีอี้เจี๋ยใบนั้นแตกกระจายจนผสมรวมเข้ากับน้ำชาและกากชาเต็มไปทั่วทั้งพื้น
“ผมบอกแล้วไงว่า ผมไม่ได้ทำ”
เสียงของชวีเสี่ยวปอสั่น แต่ว่ากลับใช้พลังใส่ลงไปในทุกคำพูด “แล้วก็ ผมมันเป็นคนที่ทำให้พ่อขายหน้าจริงๆ นั่นแหละ ผมที่เกิดออกมา ก็ทำให้พ่อขายหน้าแล้ว !”
เมื่อชวีเสี่ยวปอพูดจบ ในสมองของเขาก็เหลือไว้เพียงแค่คำว่า หนี
ในที่ที่มีชวีอี้เจี๋ย ก็เป็นเปรียบเสมือนเป็นกรงขังใหญ่แห่งหนึ่ง เขาต้องหนีออกไปจากที่นี่
ตอนที่ออกจากบ้านมาเขาเหมือนจะเห็นเวินลี่เดินออกมาด้วย คิดว่าคงจะมาขว้างเขาไว้ไม่ให้เขาไป แต่ชวีเสี่ยวปอไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น
เขาไม่รู้ว่าเขาวิ่งมานานเท่าไหร่แล้ว แต่พอเมื่อหยุดลงบริเวณโดยรอบก็เงียบสงัดเหลือไว้เพียงแค่เงาที่ทอดยาวไปตามไฟถนนเท่านั้น ชวีเสี่ยวปอจึงนั่งลงไปบนฟุตบาทริมถนน หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง
มีหลายเรื่องที่เราเลือกไม่ได้
อย่างเช่นเลือกเกิด และเลือกพ่อแม่
ก็เหมือนกับในวัยเด็กที่ชวีเสี่ยวปอสงสัยอยู่หลายต่อหลายครั้ง เขาไม่เข้าใจว่า “ลูกนอกสมรส” คำนี้แท้จริงแล้วมันมีความหมายอะไรแฝงไว้กันแน่ แต่เมื่อโตขึ้นเขาจึงรู้ว่า จริงๆ แล้วไม่ต้องเข้าใจมันมากก็ได้ จะได้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจขึ้นอีกสักหน่อย
ทว่าตอนนี้เขาไม่อาจที่จะแกล้งทำเป็นสบายใจได้อีกต่อไป
เขาไม่สามารถที่จะเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโตไปได้ตลอด มัวแต่เฝ้ารอตอนที่พ่อเลิกงานแล้วเอาหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์มเมอร์สและรถแข่งของเล่นกลับมาให้ หลังจากนั้นก็พาเขาไปเตะฟุตบอลที่สนาม และตอนที่เตะเข้าประตูก็โห่ร้องทั้งยังอุ้มเขาขึ้นไปสูงๆ ด้วยความดีใจ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงชัดเจนและลึกซึ้งอยู่เช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมาชวีเสี่ยวปอก็ไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้เลยสักครั้ง
ชวีเสี่ยวปอคิดว่ามนุษย์เราไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีสักนิดที่ชอบแข่นขันกับตัวเอง โดยเฉพาะแข่งกับสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ มันก็คงน่าจะประมาณว่าความทรงจำที่เลวร้ายมักจะชัดเจนอยู่ตลอด แต่ความทรงจำที่มีความสุขกลับมักจะลืมไปอย่างง่ายดาย
บางครั้งชวีเสี่ยวปอก็คิดว่า ตอนแรกที่เวินลี่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์กับชวีอี้เจี๋ย เธอจะเต็มไปด้วยความหวังในการตั้งหน้าตั้งตาที่จะได้มีลูกเหมือนกับพ่อแม่คนอื่นๆ หรือเปล่า?
หรือจะรู้สึกว่ากำลังจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นมาแล้วกันแน่?
ทว่าเขากลับรู้สึกว่า แม้ความสัมพันธ์ของเขากับชวีอี้เจี๋ยจะไม่สนิทสนมกันสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยคนเราก็น่าจะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นเขาเองที่คิดมากเกินไปเอง
หรือว่าในใจของชวีอี้เจี๋ยจะมองว่าตัวเขาเป็นเหมือนกับคนเลวที่ไม่สามารถจะให้อภัยได้ ที่ทั้งไปก่อปัญหาข้างนอกแล้วยังไม่ยอมรับ พอที่บ้านจะช่วยแก้ไขปัญหาก็กลับส่ายหน้าปฏิเสธ
ชวีเสี่ยวปอลูบใบหน้าตัวเองอย่างแรงไปสองครั้ง เบ้าตาที่บวมแดงและมือที่เปียกชื้นเตือนเขาว่าตัวเองในตอนนี้คงจะดูเหมือนจนมุมเข้าแล้วจริงๆ แต่ความเย็นเยือกใต้ก้นของเขาก็ทำให้เขาจำใจต้องลุกขึ้นยืนเหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
ต้องหาที่พักที่พอจะถูๆ ไถๆไปได้สักหนึ่งคืน
แต่ตอนที่เขาออกมานั้นรีบร้อนเกินไปหน่อย กระเป๋าตังค์จึงคงยังอยู่ในกระเป๋าหนังสืออยู่ ไม่มีเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สแกนจ่ายผ่านมือถือได้ แต่ไม่มีบัตรประชาชนนี่สิ คิดว่าไม่ว่าจะไปพักที่ไหนก็คงจะเป็นเรื่องยาก
ร้านอินเทอร์เน็ตเหรอ?
ช่างเถอะ ชวีเสี่ยวปอล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว ร้านอินเทอร์เน็ตเถื่อนที่เข้ารู้จักก็คือร้านที่อยู่แถวๆ โรงเรียน ซึ่งเผลอๆ อาจจะไปเจอเข้ากับคนของต้วนเหล่ยที่นั่น ไม่ต้องรีบเร่งเอาตัวไปจ่อเข้ากับปลายกระบอกปืนเช่นนั้นหรอก
หรือว่าจะไปหาซือจวิ้น?
ก็ไม่ได้อีก เวินลี่รู้เบอร์โทรของซือจวิ้น ไม่แน่ตอนนี้อาจจะโทรไปถามแล้วก็ได้
ชวีเสี่ยวปอยืนย่ำเท้าอยู่ที่เดิม แล้วหยิบมือถือออกเลื่อนดูบันทึกการโทรไปมา แล้วเขาก็พบว่าไม่มีคนที่จะสามารถรับเขาเอาไว้ได้แม้แต่สักคนเดียวเลย
และแล้วเสียงของวีแชทก็ดังขึ้น
ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอเห็นข้อความนั้นส่งมาจากชื่อวีแชทที่เป็นเลขมั่วๆ ชุดหนึ่งนั้น เขาจึงรีบเปิดหน้าแชทขึ้นมาทันที
แต่เขากลับไม่เห็นว่าเซี่ยเจิงพิมพ์อะไรมา เพราะอีกฝ่ายกดยกเลิกข้อความไปแล้ว
………………………..
เชิงอรรถ
[1] เข็นเรือตามน้ำ เป็นสำนวนจีน อุปมาถึงการดำเนินการไปตามสถานการณ์ที่เป็นไป