ผู้หญิงคนนั้นอ้างว่าถ้าพวกเขาต้องการเอาชนะวิกฤติในครั้งนี้ แต่ละตระกูลจะต้องยอมสังเวยเลือดไม่มากก็น้อย พวกเขาจะต้องเติมเลือดพวกนั้นให้เต็มหม้อ แล้วนำไปวางไว้นอกประตูบ้านในยามจื่อ
ตอนนั้นชายชรายังเป็นเพียงเด็ก แม้เขาจะเริ่มต้นอาชีพในฐานะขุนนางตั้งแต่อายุยังน้อย และไม่ได้เชี่ยวชาญในวิชาเต๋า แต่เขาก็ยังพอจะรู้คร่าวๆ ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร
เขาได้ยินว่าโดยปกตินั้นการขับไล่วิญญาณร้ายมักจะใช้เลือดสุนัขกับยันต์ แต่พวกเขาเคยใช้เลือดมนุษย์ทำเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน
แต่ชายชราก็ยังสั่งให้ชาวบ้านทำตามคำสั่งของผู้หญิงคนนั้น อย่างไรคนจนตรอกเช่นพวกเขาก็ไม่มีทางเลือก!
นึกไม่ถึงว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครในหมู่บ้านฝันเช่นนั้นอีก อีกทั้งยังไม่มีใครตายอย่างไม่รู้สาเหตุอีกด้วย สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นก็คือหม้อเลือดที่ตั้งอยู่หน้าประตูบ้านของพวกเขาถูกใครบางคนเอาไป
ต่อมาปีนั้นน้ำในแม่น้ำทะลักขึ้นท่วมไปทั่วพื้นที่ โลงศพไม้สีดำเก่าแก่โลงนั้นจึงถูกน้ำพัดจมหายลงไปในก้นแม่น้ำ
ตั้งแต่น้ำท่วมครั้งนั้นก็ผ่านมาสี่สิบปีพอดี!
ตอนนี้โลงศพโลงนี้กลับมาปรากฏขึ้นที่นี่อีกครั้งหนึ่ง!
ความหวาดกลัวที่ชายชราได้พบนั้นรุนแรงเกินกว่าใครจะจินตนาการออก ดวงตาของเขาสั่นสะท้าน และหัวใจของเขาก็ดิ่งลงทันทีที่เขามองไปที่โลงศพไม้สีดำเก่าแก่โลงนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเข้าใกล้มันได้
หนีหู่คิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากได้ฟังเรื่องของชายชรา จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย ”เจ้าบอกว่าเด็กสาวที่เจ้าฝันถึงมีลักษณะคล้ายกับพระชายาใช่หรือไม่”
ชายชราพยักหน้า
“นางจะต้องเป็นพระชายาอย่างแน่นอน!” หนีหู่หัวเราะ ”เช่นนั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ข้าจะบอกอะไรให้ พี่สาวของข้าเป็นพระชายามาเกิดใหม่ มองดูนางให้ดีสิ นางดูคล้ายกับผู้หญิงในความฝันของเจ้าหรือไม่”
หนีหู่พูดพร้อมกับชี้ไปทางหนีเฟิ่ง
หนีเฟิ่งยังสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ สิ่งเดียวที่มองเห็นได้จึงมีเพียงแค่ดวงตาอ่อนโยนของนางเท่านั้น แต่บรรยากาศที่นางแผ่ออกมากลับเต็มไปด้วยความเมตตาและทำให้ชายชรารู้สึกคุ้นเคย
เมื่อเห็นว่าชายชราไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเขา หนีหู่ก็ยิ่งรู้สึกพอใจ จากนั้นเขาจึงมองไปทางกลุ่มของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแล้วพูดยิ้มๆ ว่า ”ทุกคนวางใจได้ ตราบใดที่พี่สาวของข้าอยู่ที่นี่ ทุกอย่างจะต้องคลี่คลายไปได้ด้วยดีแน่” เขาเหลือบมองไปทางพวกเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”หลังจากที่พวกเราเข้าไปในสุสานหลวง พวกเราจะแยกเป็นกันไปตามกลุ่มของตัวเอง คนที่ติดตามตระกูลหนีจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ ส่วนคนที่ต่อต้านตระกูลหนีนั้น อย่าตำหนิที่พวกเราไม่ช่วยพวกเจ้าก็แล้วกัน!”
ทุกคนรู้ดีว่าประโยคสุดท้ายนั้นเจาะจงถึงใคร
ตอนแรกหนีหู่คิดว่าเจ้าพวกมือสมัครเล่นทั้งสองคนนั้นจะรู้สึกเสียใจและเข้ามาขอร้องพวกเขา
แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทางว่าจะขอโทษเขาเลย ซ้ำยังเดินนำไปก่อนอีกด้วย
ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินผ่านโจรปล้นสุสานชรา บนใบหน้าของนางยังคงมีรอยยิ้มเกียจคร้านปรากฏอยู่ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงแค่ยืนอยู่ข้างนาง เขายังคงดูอวดดีและสงบเยือกเย็น
โจรปล้นสุสานชราชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วขยี้ตาตัวเอง เขาคงเข้าใจผิดไปเอง คนคนนี้จะเป็นผู้มีพระคุณในความฝันของเขาได้อย่างไร
แม้ชายชราจะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ดวงตาของเขากลับยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ยิ่งเขามองหน้านาง เขาก็ยิ่งสามารถเชื่อมโยงนางเข้ากับภาพในความฝันของเขาได้
แต่เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเป็นคนคนนั้นอย่างแน่นอน
คนคนนั้นควรจะล้อมรอบไปด้วยพลังวิญญาณเช่นเดียวกันกับคุณหนูคนโตของตระกูลหนีที่สวมผ้าคลุมหน้าอยู่
“ถูกหลอกอีกคนแล้ว” จูเก่ออวิ๋นพูดเสียงเบา ดวงตาใสกระจ่างของเขามองตรงไปที่โลงศพที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำหยิน ”ความฝันของชายชราเกี่ยวข้องกับพระชายาก็จริง แต่ถ้าคุณหนูใหญ่คนนั้นไม่ใช่พระชายาล่ะก็ พวกเราจะต้องตกอยู่ในอันตรายทันทีที่พวกเราเข้าไปในสุสานหลวง พี่เว่ย พี่เจวี๋ย ดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ โดยเฉพาะพี่เว่ย ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนฉลาดและมีความรู้ที่คนทั่วไปไม่มี แต่อย่างไรท่านก็ไม่มีพลังวิญญาณปกป้องร่างกาย ท่านจึงไม่ควรอยู่ตัวคนเดียวเด็ดขาด และพวกเราก็ไม่ควรแยกกลุ่มกันด้วยขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ปฏิเสธความใจดีนั้นเพราะเขาเป็นคนจริงใจ ดังนั้นนางจึงส่งยิ้มให้เขาอย่างมีความหมาย ”เข้าใจแล้ว”
นางไม่คิดว่าตัวเองจะเคยปรากฏตัวขึ้นในฝันของใครในชาติที่แล้ว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูน่าสนใจทีเดียว ด้วยเหตุนี้ศีรษะที่ฟูฟ่องของนางจึงขยับไปมาด้วยความตื่นเต้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงนางเข้ามาใกล้ แล้วถามเสียงเบาว่า ”มีความสุขมากหรือ”
“การได้ฟังคนอื่นพูดถึงอดีตชาติของตัวเองนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจดีทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเขาด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงแค่สองคน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องดวงตายิ้มแย้มของนาง เขาไม่พอใจในสถานการณ์ปัจจุบันนี้เป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีคนพวกนี้อยู่ด้วย ป่านนี้เขาคงหอมแก้มนางไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางก็ยังแต่งตัวเป็นบุรุษอยู่ ดังนั้นเขาจึงยิ่งทำอะไรไม่สะดวกนัก
“ถ้าเจ้าอยากได้ยินเรื่องอดีตชาติของตัวเอง เจ้าถามข้าเอาก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามเขาอย่างตื่นเต้นว่า ”ท่านเคยพบข้าเมื่อชาติก่อนด้วยหรือ พวกเรารู้จักกันหรือเปล่า”
“ก็ไม่เชิง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก ”จำที่บุตรแห่งราชานรกพูดถึงผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนที่ข้ากลัวได้หรือเปล่า” เขาพูดเรียบๆ แต่ท่าทางนั้นกลับดูน่าเกรงขามอย่างมาก ”ในชาติก่อนนั้น เจ้าก็คือเด็กสาวที่เป็นพระชายาคนนั้น”
ดวงตาน่ารักของเฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ลงทันทีที่ได้ยินเขา แล้วจากนั้นนางจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ ”เช่นนั้นก็หมายความว่าชาติก่อนข้าแข็งแกร่งกว่าท่านน่ะสิ ข้าเอาชนะท่านได้ใช่หรือเปล่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย : พอเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างพวกเราทีไร ผู้หญิงงี่เง่าคนนี้เป็นได้ทำตัวดื้อรั้นขึ้นมาทุกที
“ข้าคิดว่าเจ้าล้มเลิกความคิดโง่ๆ พรรค์นั้นไปแล้วเสียอีก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่ข้างเขา
ดวงตาของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นดังนั้น ”ไม่ใช่หรือ”
“ย่อมไม่ใช่แน่นอน! พวกเราไม่เคยสู้กัน ไม่เคยกระทั่งพบหน้ากันด้วยซ้ำ” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเยือกเย็นราวกับสายน้ำ แต่ไม่ได้ราบรื่นเพราะคำพูดตะกุกตะกักนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดวงตาดำขลับของอีกฝ่าย แล้วจึงเผยรอยยิ้มเกียจคร้านและสว่างไสวออกมาด้วยท่าทางราวกับนางพญา จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”ข้าก็คิดว่าพวกเราคงไม่เคยเจอกันในชาติที่แล้วเหมือนกัน ถ้ามีชายหน้าตาดีเช่นนั้นโผล่มาให้ข้าเห็น ข้าก็คงจับท่านมาเป็นสามีไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ไม่เป็นไร ชาตินี้พวกเราได้อยู่ด้วยกันก็เหมือนกัน”
“ช่างโง่เขลานัก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเสียงเบา จากนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้หูนาง ความอบอุ่นและอาการชาหนึบปะทะเข้ากับด้านหลังคอของนาง ”เจ้าพูดถูก หากข้าได้พบเจ้าละก็ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่จับเจ้ามัดเอาไว้แล้วสอนบทเรียนให้กับเจ้า”
ทั้งสองรู้จักกันมาเป็นเวลานาน ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเข้าใจดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ จากนั้นนางก็หันหน้าไปอีกทางเพื่อไม่ให้เห็นรอยยิ้มอันน่าหลงใหลนั้น นางรีบเปลี่ยนประเด็นทันทีว่า ”แปลกจัง”
“อะไรแปลกหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับมือเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น
ความจริงแล้วไม่มีใครได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เพราะทุกคนมัวแต่ชื่นชมหนีเฟิ่งอยู่นั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปรอบๆ นางไม่ลืมตอบคำถามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”หากว่ากันตามหลักการแล้ว พวกเราคนหนึ่งเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ส่วนอีกคนก็เป็นปีศาจ พวกเราจึงน่าจะเคยประมือกันมาก่อน ต่อให้พวกเราไม่เคยประมือกัน แต่พวกเราก็น่าจะเคยพบกันนี่ อย่างไรพวกเราก็อยู่กันคนละฝ่าย แต่ทำไมเรื่องระหว่างเราถึงได้สงบสุขนักเล่า”
เจ้าตัวเล็กของเขาฉลาดพอที่จะตรวจพบปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น
คำถามนี้คือสิ่งที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังครุ่นคิดอยู่เช่นกัน…