เด็กสาวได้นั่งรถเกวียนเป็นเวลากว่า 1 อาทิตย์ถึงจะมาถึงยังที่หมายปลายทาง ขณะเดินทางอยู่ก็ไม่ได้เกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เด็กสาวต้องตกอยู่ในอันตรายเลยแม้แต่น้อย การเดินทางในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น มีแวะพักตามเมืองหรือหมู่บ้านตามข้างทางบ้างแต่ก็ทุกอย่างก็ปกติสุขดี
ครั้นเมื่อเกวียนที่เด็กสาวได้นั่งอยู่เดินทางมาถึงเมืองหลวงของประเทศแล้ว เด็กสาวก็ได้ก้าวเท้าของตนลงมาจากเกวียนที่นั่งอยู่ ทำให้ทัศนวิสัยของเด็กสาวเบิกกว้างขึ้นมา ภาพของผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังเดินสวนกันบนท้องถนน รถม้าที่กำลังเดินทางเข้าออกจากตัวเมือง อาคารขนาดใหญ่ที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม และพระราชวังขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางของเมือง
“ว้าววว~~”
สำหรับเด็กสาวที่เติบโตมาในป่าเขาใกล้ชานเมืองแล้วนั้นภาพเมืองตรงหน้าถือเป็นเรื่องที่ตระการตาตระการใจเป็นอย่างมาก เพราะขนาดของเมืองที่ต่างกันลิบลับระหว่างเมืองหลวงของประเทศกับเมืองที่เธออาศัยอยู่
“นี่ แม่หนูตรงนั้นน่ะ พึ่งจะมาที่เมืองหลวงครั้งแรกเหรอ?”
ขณะที่เด็กสาวกำลังเดินสังเกตรอบๆตัวเมืองก็ได้มีชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดคุยกับเด็กสาว เขานั้นสวมชุดเครื่องแบบทางการสีดำที่ดูหรูหราพร้อมด้วยเครื่องประดับรูปดาบสีเงินสองเล่มไหว้กันติดไว้ที่ไหล่ข้างซ้ายของเขา อีกทั้งยังมีบั้งที่แสดงถึงยศทางการทหารติดไว้อยู่ที่หน้าอกข้างขวาของเขา ทำให้เด็กสาวสามารถอนุมานได้ว่าบุคคลตรงหน้าตนนั้นสามารถไว้ใจได้ในระดับนึง
“ค่ะ พอดีว่าหนูเดินทางมาจากเมืองทางทิศเหนือน่ะค่ะ เลยไม่รู้จักทางในเมืองหลวงเลย”
เด็กสาวได้ตอบกลับนายทหารคนนั้นกลับไปพร้อมค้อมตัวเพื่อเป็นการทักทายเล็กน้อย
ก่อนที่จะเดินทางมาที่เมืองหลวงเด็กสาวได้รับการเรียนรู้เรื่องกิริยามารยาทและการใช้คำพูดจากบิดาของเธอ ว่าต้องปฏิบัติกับคนอื่นๆหรือใหญ่คนโตในเมืองหลวงอย่างไร เธอจึงต้องตั้งใจเรียนรู้เรื่องต่างๆทั้งหมดที่บิดาของเธอเป็นคนสอนให้หมดเพื่อที่เธอจะได้มีปัญหากับคนอื่น
แล้วบิดาของเธอยังได้พาเธอไปตัดชุดใหม่ให้ด้วย ทั้งชุดสำหรับเดินทาง ชุดสำหรับออกงาน ชุดนอน แถมแต่ละชุดที่สั่งตัดออกมานั้นยังทำมาจากวัสดุชั้นยอดอีก ทำให้ชุดเสื้อผ้าที่เด็กสาวกำลังใส่อยู่ตอนนี้นั้นไม่ต่างอะไรจากชนชั้นสูงเลย ซึ่งอาจจะทำให้คนรอบข้างเข้าใจผิดได้ด้วย
“โอ้ งั้นเหรอ? ว่าแต่แม่หนูต้องการจะไปที่ไหนเหรอ เห็นเดินไปเดินมาอยู่แถวๆนี้ได้สักแล้วน่ะ”
นายทหารคนนั้นได้เอ่ยคำถามออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะมองดูเด็กสาวที่กำลังเดินไปเดินมารอบๆมาได้สักพักแล้วก่อนที่เขานั้นจะเดินเข้ามาพูดคุยกับเด็กสาว
“พอดีว่าหนูได้รับจดหมายฉบับนี้มาน่ะค่ะ พอที่จะรบกวนสละเวลาสักเล็กน้อยมาช่วยนำทางให้หน่อยได้ไหมคะ?”
เด็กสาวได้ยื่นซองจดหมายที่ตนได้รับมาก่อนที่จะมาเมืองหลวงออกไปให้นายทหารคนนั้นได้ดู เมื่อนายทหารหนุ่มได้เห็นตราประทับของจดหมายก็เกิดความตกใจและรีบทำการปรับกิริยาท่าทางการแสดงออกของตัวเองในทันที เขาคุกเข่าข้างซ้ายของตัวเองพร้อมด้วยนำมือขวาของตนมาปกหน้าอกข้างซ้ายไว้และก้มศีรษะของตัวเองลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทำความเคารพต่อผู้ที่อยู่ตรงหน้า
“ขออภัยในความเสียมารยาทของกระหม่อมก่อนหน้านี้ด้วย เพราะกระหม่อมไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ทางมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้เชิญตัวมา กระหม่อมจะนำทางท่านไปยังที่หมายเอง ได้โปรดตามกระหม่อมมาด้วย”
เขาขอโทษที่เสียมารยาทก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะลุกขึ้นจากพื้นพร้อมเริ่มที่จะเดินนำทางให้เด็กสาว เด็กสาวครั้นเห็นว่านายทหารคนนี้นั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุตรตรีของขุนนางจากเมืองทางเหนือที่ได้รับเชิญจากมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ให้มาศึกษาต่อที่เมืองหลวง เมื่อเห็นดังนั้น เด็กสาวจึงได้รีบแก้ไขความเข้าใจผิดของนายทหารหนุ่มคนนี้ทันทีเสีย
“ขอโทษด้วยนะคะ แต่หนูไม่ใช่ขุนนางจากที่ไหนสักที่หรอกนะคะ หนูเป็นแค่เด็กสาวสามัญชนปกติทั่วไปเท่านั้นค่ะ ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับหนูแบบนั้นก็ได้ค่ะ”
เมื่อได้ยินเด็กสาวที่เอ่ยออกมาเช่นนี้ นายทหารหนุ่มคนนี้จึงได้หันกลับมามองที่ตัวของเด็กสาวพร้อมกับกล่าวว่า
“ไม่หรอกครับ เพราะถึงแม้จะเป็นสามัญชนคนทั่วไปแต่กลับเป็นเด็กที่มีมารยาทงดงามได้ถึงเพียงนี้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะถูกอบรมเลี้ยงดูสั่งสอนมาอย่างดีก็คงเป็นอย่างอื่นใดไปไม่ได้หรอกครับ อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอกของท่านที่งดงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งเครื่องแต่งกายที่ถูกถักทอมาเป็นอย่างดี กระหม่อมเห็นครั้งแรกก็พลันเข้าใจว่าท่านเป็นบุตรของพ่อค้าไปแล้ว แต่พอเห็นจดหมายที่ท่านพกติดตัวมาจึงได้เข้าใจว่าท่านนั้นเป็นบุตรตรีของขุนนาง หากว่าท่านเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาแต่กลับได้รับจดหมายฉบับนี้ก็แสดงว่าท่านต้องเป็นบุคคลที่จะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้อย่างแน่นอน และเพราะเหตุนั้นเองกระหม่อมก็ควรที่จะช่วยเหลือท่านไว้เพื่อสร้างบุญคุณ เผื่อว่าในอนาคตท่านอาจจะเป็นฝ่ายมาช่วยเหลือกระหม่อมนั้นเองครับ”
นายทหารหนุ่มได้อธิบายขึ้นมา ว่าการที่เขานั้นช่วยเหลือเด็กสาวนั้นก็เพื่อที่ในอนาคตเด็กสาวคนนี้อาจจะมาช่วยเหลือเขาได้เมื่อยามที่ตนลำบาก เด็กสาวเห็นเช่นนั้นจึงเข้าใจความหมายที่ทหารนายนี้ต้องการจะสื่อจึงได้ตอบเขากลับไป
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนนำทางให้ด้วยนะคะ… แล้วก็ ขอบคุณนะคะ…”
เด็กสาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าปกติเล็กน้อยปนอาการเขินอายจากการที่ตัวเองโดนชายหนุ่มตรงหน้าชม
“เข้าใจแล้วครับ”
ครั้นได้เห็นเด็กสาวผู้งดงามตรงหน้าออกอาการเขินอายให้ได้เห็น เขาก็ตอบรับคำขอนั้นอย่าง่ายดายพลางหัวเราะน้อยๆในใจ
———
จากนั้นไม่นานนายทหารหนุ่มคนนี้ก็ได้นำทางเด็กสาวมาที่ด้านหน้าของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ บัดนี้เบื้องหน้าของเด็กสาวคือสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ เสาค้ำขนาดใหญ่ที่วางเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ด้านบนกำแพงวิหารประกอบไปด้วยลวดลายต่างๆมากมายที่มีความหมายถึงการบอกเล่าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เมื่อนายทหารหนุ่มกับเด็กสาวเดินเข้าไปด้านในวิหารแล้วก็เจอเข้ากับนักบวชท่านนึงกำลังเดินผ่านมาทางที่เด็กสาวอยู่พอดี นายทหารหนุ่มที่เดินนำอยู่ด้านหน้าของเด็กสาวจึงได้เอ่ยขึ้นมา
“ท่านนักบวชที่กำลังเดินอยู่ตรงนั้นน่ะ ขอเวลาสักครู่หน่อยได้ไหมครับ?”
นักบวชท่านนั้นได้ยินเช่นนั้นจึงหันหน้ามามองที่ตัวของนายทหารหนุ่มคนนั้นก่อนที่จะเลื่อนสายตาออกไปข้างหลังของเขา
“มีอะไรเหรอครับ? อ๊ะ…”
นักบวชท่านนี้ได้กวาดสายตามามองเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของนายทหาร เมื่อสังเกตเห็นสายตาของเขาเช่นนั้นเด็กสาวก็ได้จับชายกระโปรงของตัวเองขึ้นพร้อมค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทายนักบวชตรงหน้า
“สวัสดีค่ะท่านนักบวช พอดีว่าดิฉันได้รับจดหมายฉบับนี้มา จึงอยากจะสอบถามว่าต้องไปรายงานตัวพร้อมจดหมายฉบับนี้ ณ สถานที่ใดกันน่ะค่ะ”
เมื่อนักบวชคนนี้ได้เห็นอากัปกิริยาที่งดงามพร้อมด้วยรูปลักษณ์ของเด็กสาวจึงเกิดความตกใจอยู่ชั่วครู่ พลันคิดว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าของตนนั้นจะต้องเป็นบุตรของขุนนางเป็นแน่แท้ ทั้งนายทหารที่น่าจะเป็นคนคุ้มกันที่นำทางมาและพอสังเกตดูว่าจดหมายที่เด็กสาวนำติดตัวมาเป็นจดหมายแนะนำตัวพิเศษของมหาวิหาร ก็เกิดความตกใจขึ้นอีกครั้ง
จดหมายฉบับพิเศษนี้เป็นจดหมายเฉพาะสำหรับขุนนางชั้นสูงระดับเอิร์ลหรือมาร์ควิสขึ้นไปเท่านั้นมี่จะได้รับ เมื่อเห็นดังนี้นัดบวชท่านนี้จึงปรับลักษณะท่าทางของตนเองในทันที
“กระผมไม่ทราบว่าท่านเป็นบุตรตรีชั้นสูง ต้องขออภัยด้วยถ้าหากกระผมเสียมารยาทไป ไม่ทราบว่าท่านมาจากตระกูลใดหรือ?”
นักบวชท่านนี้เอ่ยขึ้นมา เขานั้นใคร่รู้เป็นอย่างมาก ว่าคนที่ตรงหน้าของตนนั้นมาจากตระกูลขุนนางตระกูลใด เด็กสาวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเกิดความกระอักกระอ่วนอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับนักบวชท่านนี้กลับไป
“ต้องขออภัยด้วยค่ะหากท่านเข้าใจผิด แต่ตัวของดิฉันนั้นหาใช่บุตรขุนนาง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องสุภาพกับหนูก็ได้ค่ะ สามารถพูดแบบปกติได้เลยค่ะ เพราะตัวของดิฉันนั้นเป็นเพียงแค่สามัญชนคนทั่วไปที่พบได้ตามท้องถนน”
เมื่อนายทหารหนุ่มได้ยินเด็กสาวพูดเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกมา เพราะเมื่อครู่ก่อนตัวเองก็โดนเด็กสาวคนนี้เอ่ยคำในทำนองนี้ใส่ตนเองเหมือนกัน และนักบวชตรงหน้าที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้กล่าวออกมา
“ไม่มีทางที่คนทั่วไปจะได้จดหมายแบบนี้ได้หรอกนะครับ เว้นแต่จะเป็นบุคคลสำคัญหรือขุนนางเก่าแก่ชั้นสูงเท่านั้นครับ ไม่ทราบว่าครอบครัวของคุณหนูมีท่านใดที่เป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือเชื้อสายขุนนางบ้างเหรอครับ?”
เด็กสาวได้ยินที่นักบวชท่านนี้กล่าวออกมาก็เริ่มใช้ความคิดว่าบุคคลในครอบครัวของตนเองมีชื่อเสียงอย่างไร ตัวเธอนั้นตั้งแต่เด็กจนโตก็อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ของตนเองมาโดยตลอด ไม่มีญาติหรือพี่น้องเลยแม้แต่คนเดียว ฉะนั้นเด็กสาวจึงสรุปความคิดของตนได้ว่า บิดาและมารดาของตนน่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง เพราะผู้คนในเมืองที่เธออยู่นั้นต่างก็รู้จักบิดาและมารดาของเธอกันทั้งนั้น
“ดิฉันไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าคุณพ่อคุณแม่ของหนูน่าจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง บอกแค่ชื่อกับอาชีพของพวกท่านก็น่าจะพอแล้วสินะคะ?”
“ครับ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
นักบวชท่านนั้นตอบกลับมา เด็กสาวสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง เรียบเรียงคำพูดในหัวก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“คุณพ่อของหนูชื่อ เค็น เป็นนักดาบค่ะส่วนคุณแม่ชื่อ แอนนา เป็นจอมเวทย์ค่ะ”
เด็กสาวได้เอ่ยนามผู้เป็นบิดาและมารดาของตนออกมา ขณะที่เอ่ยชื่อของผู้เป็นบิดานั้นไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรออกมาจากทั้งทหารหนุ่มและนักบวชเลย แต่เมื่อครั้นที่เด็กสาวเอ่ยชื่อและอาชีพของผู้เป็นมารดาเสร็จทั้งนักบวชและนายทหารหนุ่มก็ได้ตกตะลึงกับชื่อและอาชีพนั้น
“นะ… นี่ คุณหนู ที่บอกว่าคุณแม่ของคุณหนูคือคนๆนั้นน่ะเรื่องจริงเหรอ? ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหม? จอมเวทย์แอนนา ที่ยืนอยู่ในสมรภูมิชั้นแนวหน้าก่อนที่จะหายตัวไปเมื่อประมาณเจ็ดถึงแปดปีก่อนน่ะเหรอ!?”
“อืมม…? หนูก็ไม่คิดที่จะโกหกหรอกนะคะ อีกอย่าง คุณพ่อก็บอกอยู่เสมอด้วยว่าหนูเหมือนกับคุณแม่มากๆ”
จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าของตนนั้นดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด พอคิดได้เช่นนั้นทั้งสองจึงรู้สึกตกใจอีกครั้ง ว่าบุคคลตรงหน้านั้นเป็นบุตรีของคนๆนั้นจริงๆ
“อย่าบอกนะว่าคุณหนูก็มีค่าสถานะพิเศษเหมือนกับคุณแม่ของคุณหนูด้วยน่ะ”
นักบวชหนุ่มได้ถามคำถามออกไป เมื่อได้ยินคำถามนี้เด็กสาวจึงได้ใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับนักบวชท่านนี้กลับไป
“ค่ะ หนูก็มีค่าสถานะแปลกๆเหมือนกับคุณแม่ของหนูเลย รบกวนทั้งสองท่านเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้ไหมคะ…?”
เด็กสาวกล่าวด้วยท่าทางอ่อนช้อยพร้อมเงยหน้าของตนขึ้นมาและเอียงลงไปประทับกับฝามือที่ประกบกันอยู่ตรงบริเวณไหล่ข้างซ้าย บังเกิดเป็นความน่ารักที่มิอาจบรรยายได้ด้วยตัวอักษร ท่าทางนี้เป็นท่าทางที่เธอเลียนแบบมาจากมารดาของตนเมื่อครั้งอดีตเธอนั้นเอง
“นะ แน่นอนอยู่แล้ว! จริงไหมพวก!?”
“นั่นสินะ! เรื่องแบบนี้ไม่สามารถเอาไปเผยแพร่ได้หรอกเนอะ! ขืนทำแบบนั้นคงได้มีแต่ปัญหาตามมาแน่นอน! ฉะนั้นมาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับกันเถอะ!”
ทั้งสองคนพยักหน้า อืมๆ พร้อมกันก่อนที่จะนำทางเด็กสาวไปที่จุดสำหรับลงทะเบียนเข้าเรียน และเมื่อเด็กสาวยื่นจดหมายของตนเองให้เจ้าหน้าที่ได้ดู ก็เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง…
———
เช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องสว่างลอดผ่านช่องของผ้าม่านเข้ามาประทับลงบนพื้นห้อง นำพาให้เด็กสาวตื่นขึ้นจากนิทรา เด็กสาวตื่นขึ้นมา เปลี่ยนเครื่องแต่งกายของตนเองและออกมาจากห้องพักที่ทางมหาวิหารได้ตระเตรียมไว้ให้ และมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนที่ตั้งอยู่ถัดจากหอพัก
โรงเรียนประจำของเมืองหลวงเป็นโรงเรียนที่สามารถเข้าเรียนได้ทั้งสามัญชนและขุนนางตราบใดที่คุณมีความสามารถมากเพียงพอคุณก็สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ ชั้นเรียนของคนทั่วไปกับขุนนางนั้นจะอยู่แยกกันคนละอาคาร ชั้นเรียนของขุนนางนั้นจะอยู่ด้านขวาส่วนชั้นเรียนของคนทั่วไปจะอยู่ด้านซ้ายโดยมีหอประชุมคั้นอยู่ตรงกลาง และสถานที่ที่เด็กสาวกำลังมุ่งหน้าไปก็คือหอประชุมนั้นเอง
ครั้นเมื่อเข้ามาภายในหอประชุมแล้วเด็กสาวก็มองเห็นคนจำนวนนึงที่ได้มานั่งรออยู่ข้างในอยู่แล้ว เด็กสาวได้เดินผ่านคนเหล่านั้นไปนั่งยังพื้นที่ด้านหน้าสุดของแถว ซึ่งก็ได้มีสายตาจับจ้องมาที่เธอเป็นจำนวนนึงด้วยเหมือนกัน เวลาผ่านไปไม่นาน ภายในหอประชุมก็เต็มไปด้วยคนจำนวนมากมายนั่งกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ก่อนที่จะมีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบด้วยนะครับ! จากนี้ไปงานปฐมนิเทศกำลังจะเริ่มแล้วครับ!”
มีคนคนนึงขึ้นมายืนอยู่บนเวทีด้านหน้าและกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ดังกว่าเสียงคุยกันของคนภายในหอประชุม ทำให้ผู้คนในหอประชุมกลับสู่ความสงบและความเงียบก็เข้าปกคุมภายในหอประชุมอยู่สักพัก จนกระทั่งคนบนเวทีก่อนหน้านี้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“จากนี้ไปจะเริ่มการปฐมนิเทศแล้วนะครับ ขอให้ทุกท่านนั่งที่ให้เรียบร้อยด้วย”
และแล้วการปฐมนิเทศก็ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งลากยาวจากตอนรุ่งเช้าไปจนถึงเวลาหลังเที่ยง
หลังจากจบพิธีปฐมนิเทศเด็กสาวในสภาพอ่อนล้าจากการปฐมนิเทศอันยาวนานก็กลับมาที่ห้องพักของตนเองอีกครั้ง และสักเกตเห็นจดหมายฉบับนึงอยู่บนโต๊ะภายในห้อง ในจดหมายฉบับนั้นเขียนเรื่องที่ต้องเรียนทั้งหมดอยู่ด้านในการแนะนำห้องเรียนต่างๆตลอดจนถึงห้องเรียนของตัวเอง หลังอ่านเนื้อหาภายในเสร็จเด็กสาวก็ได้เก็บจดหมายฉบับนี้เอาไว้ แล้วเตรียมตัวเข้านอนเพื่อไปโรงเรียนในเช้าวันต่อไป
———
อันนี้แอดตัดมาจากตอนทั้งตอนที่เขียนไว้นะ สังเกตได้ว่ามันจะดูค้างๆแปลกๆ แล้วก็อาจจะใช้คำไม่ค่อยสวยตรงบ้างจุดเพราะแอดไม่ค่อยมีเวลาเช็คเท่าไหร่ ที่แอดลงช้าน่ะเหรอ? เฮอะๆ เพราะแอดติดงาน ติดสอบ ติดเรียน ไหนจะเล่นเกม ไหนจะดูหนังอีก แต่ว่าก็ใกล้จะปิดเทอมล่ะด้วยสิเท่านี้แอดก็จะได้มีเวลาว่างมาปั่นนิยายต่อสักที ไว้มีอะไรแอดจะอัพลงไว้ที่หน้าเพจเด้อ
ลิ้งเพจ : Facebook