บางทีมันอาจจะเป็นเหมือนอย่างที่บุตรแห่งราชานรกพูดไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน
อย่างน้อยนางก็จำเขาได้ ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่ยืนอยู่ข้างหลังเขา และทำเพียงแค่มองเขาเดินจากไป
ดวงตาคู่งามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลึกล้ำ ถ้าพวกเขาเคยรู้จักกันจริงๆ เช่นนั้นมันต้องมีอะไรเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะร่วงลงมาจากสวรรค์เป็นแน่
“อะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตใบหน้าด้านข้างของเขา ”ตอบยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ข้าว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราคงเป็นแบบทั้งรักทั้งชังกระมัง ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกับปีศาจ นับว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดีทีเดียว!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม ”ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหรือ นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาคิดต่างหาก อันที่จริงแล้วในสมัยนั้นเจ้าไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ”
“หากไม่ใช่มนุษย์ เช่นนั้นข้าเป็นอะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบนางเสียงเบาว่า ”เทพ”
เจ้าเป็นนกเพลิงที่มีต้นกำเนิดอยู่บนสวรรค์
คนที่มีพลังธรรมะสูงส่งเช่นนี้ย่อมมีโอกาสสูงที่จะมีความเกี่ยวข้องกับเทพที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ่งมีสีหน้างุนงงขึ้นไปอีก จากนั้นนางจึงพึมพำว่า ”ถ้าข้าเป็นเทพ ข้าก็คงออกตามล่าและทำร้ายท่านไปแล้วมิใช่หรือ เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเราไม่เคยสู้กันมาก่อน ข้าพลาดโอกาสดีขนาดนั้นไปได้อย่างไร!”
“เจ้าอยากสู้กับข้าจริงหรือ” ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หันกลับมา แล้วจูบข้างหูนางตอนที่ไม่มีใครมอง มันเป็นจูบที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล ”ย่อมได้ แต่ถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะจัดการสำเร็จโทษเจ้าให้หนำใจเชียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ตอบ แต่ใบหน้าของนางกลับเปลี่ยนเป็นสีแดง
เมื่อจูเก่ออวิ๋นหันหน้ากลับมา ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสับสนงุนงง เกิดอะไรขึ้นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระแอมออกมาเบาๆ แล้วจึงเดินต่อด้วยสีหน้าเกียจคร้าน
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ที่มุมปากของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น แสงจากคบเพลิงสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ผิวของเขาส่องประกายจางๆ ราวกับเพชรขณะแสงสีทองอันชั่วร้ายวาบขึ้นในดวงตา
จูเก่ออวิ๋นอยากเดินเข้าไปมองใกล้ๆ แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองไปที่เขา ท่าทางสูงส่งและสง่างามนั้นแทบจะเรียกได้ว่าน่าหลงใหลทีเดียว
จูเก่ออวิ๋นส่ายหน้า ข้าคงเข้าใจผิดไปเอง คนเช่นเขาจะมีพลังปีศาจได้อย่างไร
แต่จูเก่ออวิ๋นที่เป็นมนุษย์ธรรมดาย่อมไม่รู้ว่าปีศาจมีทักษะการเลียนแบบสูงส่งเพียงใด
ตั้งแต่วันแรกที่ย่างเท้าก้าวเข้ามาในโลกมนุษย์ พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามนุษย์ยึดติดกับความโลภและลุ่มหลงอย่างที่สุด
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ปีศาจเก่งๆ หลายตนสามารถลอกเลียนแบบมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่จูเก่ออวิ๋นที่ยังเด็กและไร้ซึ่งประสบการณ์ย่อมไม่ได้สนใจกับเรื่องนั้นเท่าใดนัก และทำเพียงเดินตามทุกคนไป
ทุกคนจงใจเลี่ยงโลงศพไม้สีดำเก่าแก่โลงนั้น
ชายชราพูดถูก โลงศพโบราณที่ว่านั่นแปลกประหลาดจริงๆ
โลงศพเต็มไปด้วยร่องรอยจากยันต์ที่แปะอยู่ด้านบน หากดูจากยันต์แล้วทุกคนย่อมสามารถบอกได้ว่ามันมีอายุเก่าแก่เพียงใด หากไม่ใช่เพราะโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬตรึงอสูร ยันต์พวกนี้ก็คงถูกน้ำพัดจนหลุดลอกไปนานแล้ว โชคดีที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสามารถต้านทานพลังภายนอกนั้นได้
แต่ทุกคนก็ไม่ควรประมาทแต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าหนีหู่คิดไปเองหรือไม่ แต่เขาสัมผัสได้ว่าโลงศพไม้สีดำเก่าแก่โลงนั้นหมุนตามทิศทางที่พวกเขาเดินไป
ในที่สุดพวกเขาก็ข้ามแม่น้ำหยินและมาจนถึงระยะที่สามารถเปิดประตูสุสานหลวงได้
ตอนนั้นเองที่หนีหู่กลอกตาไปมา แผนการชั่วร้ายแวบเข้ามาในความคิดของเขา ”พี่อวิ๋น ในเมื่อพวกท่านมาถึงที่นี่เป็นคนแรก เช่นนั้นพวกท่านก็ควรจะรับผิดชอบในการเปิดประตูทางเข้าสุสานหลวงมิใช่หรือ”
“อะไรนะ” จูเก่ออวิ๋นนึกไม่ถึงว่าหนีหู่จะเรียกร้องให้พวกเขาทำเช่นนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หนีเปียวเข้าใจเจตนาของบุตรชายสุดที่รักดี เขาชำเลืองมองไปยังทั้งสองฝั่ง จากนั้นลูกศิษย์สองคนจากตระกูลหนีก็รีบเก็บเชือกตรึงวิญญาณและโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬที่เตรียมไว้ทันที
หนีหู่หัวเราะอย่างอวดดี ”มีอะไรหรือ ท่านกลัวหรือพี่อวิ๋น คงเป็นไปไม่ได้กระมัง พวกท่านเป็นกลุ่มแรกที่มาถึงทางเข้าสุสานมิใช่หรือ แค่เปิดประตูบานเดียวท่านจะไปกลัวได้อย่างไร”
จูเก่ออวิ๋นรู้ว่าหนีหู่จงใจทำเช่นนี้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนรู้ว่าคนแรกที่ถูกเลือกให้เปิดประตูสู่สุสานหลวงต้องแบกรับความเสี่ยงเพียงใด เพราะก๊าซไร้สีไร้กลิ่นที่อยู่ในพื้นจะทะลักออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นไม่มีพลังวิญญาณล้นเหลือ ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่คนคนนั้นจะตายเพราะก๊าซที่ว่านั่น
ที่สำคัญกว่านั้น ที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่สุสานธรรมดา แต่เป็นสุสานหลวงอายุนับพันปี
ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อประตูสุสานถูกเปิดออก
“พี่อวิ๋น พวกเราทุกคนรอท่านอยู่ รีบๆ เข้าสิ เวลาใกล้หมดเต็มทีแล้ว” หนีหู่กระหยิ่มยิ้มย่องพร้อมกับเร่งอีกฝ่าย เขากำลังรอที่จะได้เห็นพวกเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้ตัวเองต้องขายหน้า
แม้จูเก่ออวิ๋นจะมีพลังวิญญาณกล้าแกร่งที่สุดในคนรุ่นเดียวกัน แต่หนีหู่ก็รู้ดีว่าพลังของจูเก่ออวิ๋นอยู่ในขั้นใด
การจะเปิดประตูสุสานหลวงด้วยพลังที่เขามีย่อมเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายเสียเอง
ส่วนผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมือสมัครเล่นสองคนนั้นไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของหนีหู่เลยด้วยซ้ำ ถึงพวกเขาจะสู้เป็น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีความสามารถมากพอจะต้านทานสุสานอันเต็มไปด้วยปริศนานี้ได้ ยิ่งดูจากการที่พวกเขามีเพียงมือเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งยันต์หรือเชือกตรึงวิญญาณแล้ว เป็นใครก็คงสามารถบอกได้ว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสักนิดเดียว เจ้าพวกนี้มารนหาที่ตายชัดๆ!
เขาไม่กลัวว่าจูเก่ออวิ๋นจะปฏิเสธคำขอแต่อย่างใด
ถ้าเขาเลือกที่จะปฏิเสธ การแข่งขันในรอบที่จูเก่ออวิ๋นมาถึงที่นี่เป็นคนแรกก็จะเสียเปล่า
ตระกูลหนีได้เปรียบในสถานการณ์นี้
แม้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ จะรู้ว่าการกระทำของหนีหู่ขัดต่อหลักจริยธรรม แต่อย่างไรนี่ก็เป็นกฎกติกาในการแข่งขันนี้
อย่างไรการแข่งขันก็คือการแข่งขัน
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทำตามกฎ หากคนเราไม่สามารถยอมรับในชัยชนะได้ ต่อให้แข่งขันกันไปก็ไร้ค่า
จูเก่ออวิ๋นมองไปที่ท่าทางยั่วยุของหนีหู่ เขารู้ว่าตัวเองต้องยอมรับคำขอนี้ ”ได้ แต่ข้าขอเรื่องหนึ่ง อย่างไรมันก็เป็นเพียงแค่การเปิดประตูสุสาน เช่นนั้นข้าจะไปคนเดียว สหายอีกสองคนในกลุ่มของข้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“ย่อมได้ ข้าเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ตราบใดที่พี่อวิ๋นทำตามกติกาของการแข่งและเป็นผู้เปิดประตูสุสานเอง” หนีหู่เยาะอยู่ในใจ สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือการทำให้ใครสักคนในพวกเขาตาย ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั้น มันยังพอมีเวลาอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
จูเก่ออวิ๋นกัดริมฝีปากและกำลังจะสาวเท้าออกไปพร้อมกับกระบี่ไม้ท้อในมือ
แต่ร่างเพรียวร่างหนึ่งกลับเดินเข้ามาขวางทางเขาไว้เสียก่อน ร่างที่ทั้งสูงและยืนตรงอยู่ตรงนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายราวกับผู้ทรงศีล ”ข้าจะเป็นคนเปิดเอง”
จูเก่ออวิ๋นชะงักไปและทำท่าจะปฏิเสธ
แต่องค์ชายเป็นคนที่ทำอะไรตามใจตัวเองมาโดยตลอด เขาไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครได้พูดต่อ
เขาเพียงแค่ค่อยๆ เดินเข้าไปหาประตูบานนั้นพร้อมกับกระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังยิ้มอยู่
หนีหู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบทันทีที่เขาสบตากับองค์ชาย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงจากสุสานหรือเป็นเพราะผิวที่ขาวเกินไปของอีกฝ่าย หรืออาจจะเป็นเพราะชุดสีขาวน้ำเงินที่เขาสวมอยู่ จึงทำให้อารมณ์ที่อยู่ในดวงตาของเขาดูเย็นชาอย่างมาก แม้ว่าในดวงตาคู่นั้นจะสะท้อนแสงสีทองสว่างออกมาก็ตาม
หนีหู่งง ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงดูตื่นเต้นนักล่ะ
“ไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้อาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้” หนีเปียวยิ้ม แล้วเอ่ยต่อ คำพูดของเขาแฝงไปด้วยการเหน็บแนม ”เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาผลักประตูสุสานหลวงเข้าไป จึงยังสามารถทำตัวหยิ่งผยองและยอมรับคำท้านี้ได้ ไม่เหมือนกับคนแก่อย่างพวกเรา พวกเราคงไม่กล้าทำในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถทำได้เช่นนี้แน่”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ส่ายศีรษะไปมาด้วยความสงสารและทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นห่วงไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ดูเหมือนเขาจะคิดว่าไป๋หลี่เจียเจวี่ยคงไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาคิดว่าภารกิจนี้ไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ ดังนั้นคนนอกย่อมไม่มีความสามารถพอที่จะทำมันสำเร็จได้อย่างแน่นอน