“พี่เว่ย” จูเก่ออวิ๋นมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเป็นกังวล ”ท่านช่วยบอกให้พี่เจวี๋ยกลับมาได้หรือไม่ขอรับ การเปิดประตูสุสานไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ ให้ข้าไปแทนเถิดขอรับ ถ้าข้าเป็นคนไปเอง อย่างน้อยก็น่าจะมีโอกาสรอดชีวิตอยู่สักเล็กน้อย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะพร้อมกับบอกว่า ”นายน้อยอวิ๋น เจ้าต้องรู้จักเชื่อใจสหายร่วมทีมของตัวเองเสียบ้างนะ”
จูเก่ออวิ๋นพูดไม่ออก เขาไม่ได้เพียงแค่เชื่อใจอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ถ้าให้พูดตามตรง เขายังกลัวพี่เจวี๋ยมากอีกด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ขอให้พี่เว่ยช่วยเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายแน่
“ไม่ต้องห่วง” เฮ่อเหลียนเวยเวยตบบ่าเด็กหนุ่ม ”ก็แค่เปิดประตูเท่านั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
จูเก่ออวิ๋นแทบจะตะโกนออกมาว่า ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับที่ว่ามันเป็นเพียงแค่การเปิดประตู ที่นี่ไม่ใช่บ้านของพวกท่าน แต่เป็นสุสานนะขอรับ มิหนำซ้ำยังเป็นสุสานหลวงอายุนับพันปีอีกด้วย!
จูเก่ออวิ๋นรู้ว่าถ้าพี่เว่ยยังคงเงียบอยู่เช่นนี้ พี่เจวี๋ยก็อาจจะไม่กลับมา ใบหน้าของเขาซีดเผือดด้วยความทุกข์ใจพร้อมกำกระบี่ไม้ท้อในมือของตัวเองแน่นขึ้น
หนีหู่โล่งใจหลังจากได้เห็นภาพนี้ รอยยิ้มที่มุมปากของเขาเหยียดกว้างขึ้น เขาอยากเห็นกลุ่มของจูเก่ออวิ๋นร้องเสียงหลง!
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่สนใจเขา ผมยาวหยักศกของเขาทิ้งตัวลงบนเสื้อคลุมขณะที่เขาก้าวเดินขึ้นไปยังขั้นบันไดอันเย็นเฉียบ ท่าทางของเขาลึกล้ำราวกับรัตติกาลอันมืดมิด
เขายกมือขึ้นอย่างไม่รีบร้อนภายใต้แสงสลัวจากคบเพลิง ฟันขาวของเขาปัดผ่านถุงมือสีดำขณะดึงมันให้กระชับ ใบหน้าบริสุทธิ์หล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันโอหัง มันเป็นเพียงแค่การเคลื่อนไหวธรรมดาๆ แต่เขากลับสามารถปล่อยบรรยากาศแห่งความสูงศักดิ์และไร้พ่ายออกมา เขาดูเหมือนกับขุนนางที่จะปรากฏตัวขึ้นแต่ในภาพยนตร์จากค่ายยักษ์ใหญ่เท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา นางไม่เคยรู้สึกว่าเขาสมกับเป็นปีศาจเท่ายามนี้มาก่อน
นอกจากจะหลอกตาคนได้แล้ว ยังล่อลวงจิตใจให้สับสนอีกด้วย
ดูเหมือนว่าธรรมชาติความเป็นปีศาจของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่มาถึงสุสานโบราณแห่งนี้
ท่าทางอันห่างเหินและเปี่ยมไปด้วยอำนาจนั้นกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไม่มีใครรู้ว่าอันที่จริงนั้นในสายตาของหนีหู่ อีกฝ่ายเป็นเพียงชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเท่านั้น
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนก้าวถอยหลัง พวกเขาคิดว่าเขาอาจต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเปิดประตูบานนั้น
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่ได้ทำอะไรมาก เขาเผยรอยยิ้มออกมาแล้วแนบนิ้วที่อยู่ภายใต้ถุงมือสีดำเข้ากับประตูสุสาน
เขาออกแรงเพียงเล็กน้อย เสียงดังปังก็ดังก้องไปทั่วอากาศ
ขนนกสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นและล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าจนเกิดเป็นเสียงดังโหยหวนอย่างยาวนาน
ขนนกที่ลอยอยู่บนฟ้าร่วงลงมาราวกับพวกมันมีชีวิต
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างตกตะลึง พวกเขาคว้ากระบี่ไม้ท้อของตัวเองขึ้นแล้วชี้มันไปยังทางเข้าสุสาน!
จะมีก็แต่เพียงร่างสูงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่านั้นที่ยังคงนิ่ง ขายาวของเขาก้าวออกมาจากขนนกกลุ่มนั้น เมื่อขนนกตกลงสู่พื้น ทุกสิ่งภายในสุสานโบราณแห่งนี้ก็ราวกับพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาและกลายเป็นเพียงฉากหลังให้กับเขาเท่านั้น
สีดำทะยานขึ้นก่อนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
เขายืนอยู่ใต้เงาของขนนก พร้อมกับเผยสีหน้าราวกับกำลังยิ้มแย้มออกมา เส้นโค้งที่ปรากฏขึ้นบนคางของเขาทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงภาพที่นางเคยเห็นในแดนปีศาจตอนที่นางได้พบกับเขา
ภายในรัศมีเก้าพันเก้าร้อยแปดสิบลี้ล้วนแต่มีดอกไม้บานสะพรั่งทั่วทุกซอกทุกมุม
เขาเดินหลังตรงเข้าไปข้างใน แค่เสื้อคลุมตัวยาวที่ปลิวอยู่ในอากาศของเขาอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ขนของสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งชันได้
จากท่าทางที่เขาแสดงออกในเวลานี้ ทุกคนต่างก็สามารถบอกได้ว่าเขาคือผู้ปกครองความมืดอย่างแท้จริง
เมื่อเทียบกับความสง่างามและความสงบเยือกเย็นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว คนที่เหลือก็ดูเหมือนคนเสียสติขึ้นมาทันที พวกเขาเก็บกระบี่ แล้วเริ่มปัดขนนกประหลาดนั้นออกเพราะพวกเขากลัวที่จะแตะต้องกับสิ่งสกปรกทั้งปวง
แต่พวกเขาก็คาดไม่ถึงว่าทันทีที่พวกเขายกมือขึ้น ขนนกเหล่านั้นจะหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“นี่มันอะไรกัน” หนีหู่ไม่เคยพบเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้มาก่อน เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อคิดว่าขนนกเหล่านี้อาจจะลอยทะลุร่างของเขาไปแล้วก็เป็นได้
ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนในยุคโบราณ สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดถึงจึงมีแต่เรื่องของภูตผีวิญญาณเท่านั้น
ทันทีที่พวกเขาตระหนักได้ว่าศาสตร์แห่งเต๋าของตัวเองไม่สามารถใช้การได้ พวกเขาจึงย่อมรู้สึกตื่นตระหนกเป็นธรรมดา
หนีเปียวยังคงมีสีหน้าปกติดังเดิม แต่คนอื่นๆ กลับไม่สามารถปิดบังความกลัวที่อยู่บนใบหน้าได้
ความจริงที่ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายสำหรับพวกเขาอย่างมาก!
ยิ่งกว่านั้น บนร่างของเขาก็ยังไม่มีรอยบาดแผลเลยแม้แต่รอยเดียว!
เป็นไปได้อย่างไร
หนีหู่ทำตาโตระหว่างจ้องมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”เจ้า ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าเลยล่ะ!” ต่อให้เป็นเขา เขาก็ยังไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้ แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับทำได้ง่ายๆ ราวกับมันเป็นเพียงแค่การเปิดประตูบานหนึ่งเท่านั้น!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา แต่กลับทำเพียงแค่ปัดชุดสีขาวสลับน้ำเงินของตัวเอง
หนีหู่ไม่เคยถูกใครดูแคลนเช่นนี้มาก่อน น้ำเสียงของเขาแหบแห้งขณะที่เอ่ยว่า ”เจ้าจะต้องใช้กลอุบายอะไรกับมันแน่ๆ หรือไม่อย่างนั้นเจ้าก็อาจจะถูกวิญญาณร้ายในขนนกพวกนั้นสิงอยู่ เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงได้…”
“นายน้อยหนี” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนที่หนีหู่จะทันได้พูดจบ ”ขนนกที่เจ้าพูดถึงไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ มันเป็นเพียงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตอนที่เจ้าเปิดประตูสุสานเก่าแก่ เมื่อภาพจิตรกรรมบนฝาผนังอายุนับพันปีในสุสานโบราณสัมผัสกับอากาศ สีบนนั้นจะหลุดร่อนและเริ่มระเหย จนเกิดเป็นปฏิกิริยาอันน่าทึ่งในอากาศ มันอาจดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาในสายตาของเรา แต่อันที่จริงนั้นมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ขนนกเหล่านั้นจะหายไปได้อย่างไรล่ะ นายน้อยหนี คราวหน้าคราวหลังเจ้าควรมองดูสิ่งที่อยู่บนผนังของสุสานแห่งนี้ให้ดี และใช้สมองของตัวเองคิดไตร่ตรองให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อนที่จะสงสัยใคร”
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้น ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจึงเพิ่งสังเกตเห็นภาพขนนกที่สลักอยู่บนผนัง
ทุกคนระเบิดหัวเราะออกมาทันที
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหัวเราะเยาะให้กับคำพูดของหนีหู่
ใบหน้าของหนีหู่กลายเป็นสีแดง แต่เขาก็ไม่สามารถหาคำพูดใดมาปฏิเสธเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้จึงมีเพียงแค่การยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะสามารถเรียกคำพูดที่ตัวเองพูดออกไปก่อนหน้านี้กลับมาได้!
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายยังไม่สามารถหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองลงได้
แต่หากลองคิดดูให้ดี เมื่อครู่นี้แม้แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอย่างพวกเขาก็ยังตกอยู่ในอาการแตกตื่น แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดา
คนคนเดียวที่ยังคงความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคุณหนูคนโตจากตระกูลหนีที่ยืนอยู่ห่างออกไป และผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองทั้งสองเท่านั้น
นอกจากนั้น การระเหยที่คนคนนี้พูดถึงนั้นหมายความว่าอย่างไร
มันเป็นสิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถรู้ได้หรือ
แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนต่างก็ต้องประหลาดใจก็คือโจรปล้นสุสานชราเอ่ยขึ้นเป็นการยืนยันว่า ”คุณชายผู้นี้กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นขณะเปิดประตูสุสานเมื่อครู่นี้ เป็นสถานการณ์ที่เราสามารถพบเจอได้เป็นครั้งคราวในระหว่างการบุกค้นสุสาน”
ถ้าคนคนนี้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็คงลืมไปนานแล้ว เขาทำตัวไม่สมกับอาชีพตัวเองเอาเสียเลย ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายชราก็หันไปเผชิญหน้ากับคนกลุ่มนั้นแล้วกล่าวว่า ”มีคุณชายท่านนี้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนแก่ตามมาด้วย เขารู้มากกว่าผู้เฒ่าอย่างข้าเสียอีก ยังมีคนที่เปิดประตูสุสานอย่างกล้าหาญอีก ข้าไม่เคยพบคนเช่นนี้มาก่อน น่านับถืออย่างยิ่ง”
“อย่าพูดถึงเพียงนั้นเลย ข้าเองก็รู้เพียงแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น พวกเรายังจำเป็นต้องมีท่านอยู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนสุภาพและมีมารยาทอยู่เสมอ นางค้อมศีรษะให้กับชายชราด้วยท่าทางเคารพนับถือ
ทันใดนั้นโจรปล้นสุสานชราก็พลันตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง เหมือนมาก เหมือนกันจริงๆ…