อันที่จริงหลินเยวียนได้วางแผนที่จะเขียนนิยายแฟนตาซีต่อไป เพียงแต่ในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมานี้เขาเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องยาว นิยายทั้งชุดยาวมาก และกินเวลาไปไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้จับปากกาสักที
ทว่าในตอนนี้…
เมื่อมีความเย้ายวนของหุ้นและรางวัลเทพสูงสุดมาวางตรงหน้า หลินเยวียนรู้สึกว่าตนทนไม่ไหวแล้ว!
ก็แค่นิยายแฟนตาซีไม่ใช่หรือไง?
เขียนสิครับรออะไร!
ไม่ใช่แค่เขียน แต่ยังต้องเขียนผลงานที่มีความน่าเชื่อถือมากพอ ถึงอย่างไรตำแหน่งเทพสูงสุดก็ไม่ได้มาอย่างง่ายดายปานนั้น หนำซ้ำจินมู่ยังบอกว่าตนเพียงแค่พอผ่านเกณฑ์ได้เท่านั้น หากคิดจะคว้าตำแหน่งเทพสูงสุด จำเป็นต้องเขียนนิยายเทพเซียนหนึ่งถึงสองเรื่อง
หนึ่งถึงสองเรื่อง หมายความว่าหนึ่งเรื่องก็ยังมีหวัง โดยมีเงื่อนไขคือนิยายเรื่องนี้ต้องมีคุณภาพเทียบเท่ากับสองเรื่อง!
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้านิยายที่เขียนออกมานั้นไม่ดีพอ เขาจะไปเจรจากับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้อย่างไร
เมื่อคิดเช่นนี้ หลินเยวียนจึงเริ่มขบคิดว่าช่วงนี้ควรปล่อยหนังสือเรื่องไหนจึงจะเหมาะสม
วรรณกรรมตะวันตก?
หรือวรรณกรรมตะวันออก?
หลินเยวียนลังเลอยู่สักพัก คิดว่าในครั้งนี้ตนควรเขียนวรรณกรรมตะวันออก เพราะนิยายแฟนตาซีที่ปัจจุบันที่ฉู่ขวงเขียนล้วนเป็นนิยายจากฝั่งตะวันออก
เหตุผลนั้นง่ายมาก
เขียนนิยายสืบสวนสอบสวนจากฝั่งตะวันตกมานาน หลินเยวียนเองก็เริ่มเบื่อแล้ว
สำหรับความชอบในการอ่านส่วนตัว หลินเยวียนชอบสไตล์ของฝั่งตะวันออกมากกว่าอย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ หลินเยวียนจึงค่อยๆ มีทิศทาง
อย่างไรก็ตาม หลินเยวียนยังคงขอความคิดเห็นจากผู้จัดการจินมู่
“ตอนนี้ในวงการนิยายแฟนตาซี นิยายแนวไหนดังที่สุดครับ?”
“…”
จินมู่ใจเต้นระรัว
เขารู้สึกว่าคำถามนี้คุ้นเคยเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้หลินเยวียนเคยถามคำถามที่คล้ายคลึงกันกับเขา หลังจากนั้นเขาได้ให้คำตอบว่า ‘สืบสวนสอบสวน’
ในตอนนั้น จินมู่คิดเพียงว่านั่นเป็นเพียงการคุยเล่น นึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากเขาให้คำตอบนั้นไป หัวหน้าจะกระโจนเข้าสู่วงการวรรณกรรมสืบสวนสอบสวน และยังผละออกมาไม่ได้จนถึงตอนนี้…
ดังนั้นคำถามนี้จึงสำคัญกว่าที่ตนจินตนาการไว้!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จินมู่จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบ
ผ่านไปหลายนาที กว่าเขาจะทำลายความเงียบ และตอบกลับไป “นิยายแฟนตาซีทุกประเภทก็ดีเหมือนกันแหละครับ แต่ประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้คือเทพเซียนกำลังภายในที่หัวหน้าคิดค้น…”
“เทพเซียนกำลังภายใน?”
“ใช่แล้วครับ”
จินมู่เอ่ยอย่างรอบรู้ “ตั้งแต่หัวหน้าบุกเบิกแนวเทพเซียนกำลังภายในด้วยเรื่องกระบี่เทพสังหาร นักเขียนนิยายแฟนตาซีในวงการก็เริ่มสร้างสรรค์ผลงานแนวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในหกอันดับแรกนิยายแฟนตาซีขายดี มีสามเรื่องเป็นเทพเซียนกำลังภายใน อีกสามเรื่องเป็นแนวผจญภัยในต่างโลก และอันดับอื่นๆ ที่เหลือไม่คงที่ นิยายแต่ละประเภทต่างก็มีโอกาสติดอันดับ…”
จู่ๆ หลินเยวียนก็ถามขึ้น “มีใครเขียนเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเทพเซียนกำลังภายในไหมครับ”
จินมู่ชะงัก “ต้นกำเนิด? คุณหมายถึงเทพปรณัมเกี่ยวกับการสร้างโลกที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ขุนเขามหาสมุทรน่ะหรือครับ?”
หลินเยวียนพยักหน้า
จินมู่ยิ้ม พลางเอ่ยตอบ “คนโบราณสรุปไว้แล้วไม่ใช่เหรอครับ ตั้งแต่เริ่มคัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร จนกระทั่งนิยายชุดบรรพกาล และนิยายชุดกำเนิดเทพเจ้า…”
หลินเยวียนพยักหน้าอย่างพอเข้าใจขึ้นมาบ้าง
ฟังจากที่จินมู่บอก บลูสตาร์คล้ายกับมีรูปแบบของนิยายแนวกำเนิดโลกที่สมบูรณ์อยู่แล้ว
ถ้าไม่มีละก็ หลินเยวียนอาจเขียนนิยายแนวนี้ออกมา และนี่คือเหตุผลที่เขาถามคำถามนี้
จินมู่รู้สึกงุงงงเล็กน้อย
เขานึกไม่ถึงว่าหัวหน้าผู้มีความสามารถครอบจักรวาลคนนี้ จะไม่รู้เรื่องพื้นฐานนี้…
ต้องหยอกล้อตนเล่นสินะ?
จินมู่คิดว่าเป็นเช่นนั้น
หลินเยวียนไม่ได้สนทนากับจินมู่ต่อ เขาเปิดคอมพิวเตอร์และค้นหานิยายแนวกำเนิดโลก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
หลินเยวียนพยักหน้า
ดูเหมือนว่าบนโลกนี้จะมีนิยายแนวกำเนิดโลกจริงๆ
แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่ได้แกล้งจินมู่
ถ้าหากไม่ลองค้นคว้าบนอินเทอร์เน็ต เขาจะไม่รู้เลยว่าบนโลกนี้มีนิยายแนวกำเนิดโลกจริงหรือไม่
เขามาจากอีกโลกหนึ่ง
เทพปกรณัมของแดนมังกรบนโลกนั้นวุ่นวายเกินไป ไม่มีใครมาจัดเรียง
จนกระทั่งภายหลังเมิ่งรู่เสินจีเขียน ‘พุทธคือเต๋า’ ออกมา และสรุปเทพปกรณัมนับไม่ถ้วนไว้ในนิยาย นิยายกำเนิดจึงเริ่มกลายเป็นที่นิยม
ในแง่ของยุคสมัย นิยายกำเนิดโลกคือต้นกำเนิดของนิยายเทพเซียนกำลังภายใน
เพราะฉะนั้นหลินเยวียนจึงคิดว่าบลูสตาร์ไม่มีนิยายกำเนิดโลก
ใครจะรู้ว่าวัฒนธรรมของบลูสตาร์ได้รับการสืบทอดมาเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องมีเมิ่งหรูเสินจี วรรณกรรมแนวกำเนิดโลกได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์ ผ่านบทสรุปในผลงานของบรรพบุรุษ
เทพปกรณัมจำนวนมากมีต้นแบบ
บริบททั้งหมดได้รับการจัดการอย่างชัดเจน
เห็นทีเขาคงไม่ต้องเขียน ‘ตำนานสถาปนาเทพยดา[1]’ คงไม่ต้องเขียนแล้ว
ใช่แล้ว
เดิมทีหลินเยวียนเองก็คิดว่าจะเขียน ‘ตำนานสถาปนาเทพยดา’ เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะสามารถจัดระเบียบวรรณกรรมกำเนิดโลกได้ ทว่ามีคนจัดระเบียบเรื่องราวที่คล้ายกันออกแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นแล้ว
แต่ว่า…
ในกระบวนการค้นหาข้อมูล หลินเยวียนได้พบว่าความเป็นมาของนิยายกำเนิดโลก ไม่มีการพัฒนาเรื่องราวเพิ่มเติม
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
ไม่มีบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ!
ไม่สำคัญว่าบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศจะเป็นวรรณกรรมกำเนิดโลกหรือไม่ แต่ต่อให้นำเพียงเรื่องราวของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศออกมา อิทธิพลก็นับว่าสามารถปลิดชีพได้ในชั่วพริบตา!
นอกจากนั้น
อันที่จริงตัวละครมากมายในบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ นั้นมีตัวตนอยู่ในยุคกำเนิดโลก ยกตัวอย่างเช่นไท่ซั่งเหล่าจวิน…
แต่บลูสตาร์ไม่มี ‘บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ[2]’!
นี่เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับโลกที่ถูกชี้นำโดยอารยธรรมตะวันออก และในฐานะนักเดินทางข้ามเวลา เขาไม่ควรปล่อยผ่านความน่าเสียดายนี้ไปโดยไม่เติมเต็ม
ในขณะนั้น
ต่อให้หลินเยวียนเป็นคนสุขุม หัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่!
บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเชียวนะ!
หนึ่งในสี่ยอดวรรณกรรมจีนเชียวนะ!
และในวันนี้ เรื่องราวเช่นนี้กลับกำลังจะมาจากปลายปากกาของหลินเยวียน หรือจะเรียกว่ามาจากปลายปากกาของฉู่ขวงก็ได้!
หลินเยวียนจะไม่ตื่นเต้นได้หรือ
ซุนอู้คงเป็นไอดอลในวัยเด็กของเขาเชียวนะ!
ฉีเทียนต้าเซิ่ง[3]ซุนอู้คง คือเป้าหมายของใครหลายคน!
หลินเยวียนมั่นใจว่า ทันทีที่บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเผยแพร่ออกไป นิยายเทพเซียนกำลังภายในทุกเรื่องจะถูกบดขยี้!
ส่วนเรื่องที่บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศนับว่าเป็นนิยายเทพเซียนกำลังภายในหรือไม่นั้นไม่สำคัญ
ถึงอย่างไรในโลกของวรรณกรรมเรื่องนี้ เทพเซียนก็มีอยู่ทุกหนแห่ง สัตว์ประหลาดมีมากมายประหนึ่งสุนัข
เรื่องราวของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ นับว่าเป็นเทพปกรณัม
เหมือนกับวรรณกรรมแนวกำเนิดโลก
แต่ว่า…
ยุคสมัยที่บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเกิดขึ้นนั้นมีความพิเศษ
จะเห็นได้จากพื้นหลังของเรื่องว่ามีคำอธิบายเกี่ยวกับเทพเซียนมากมายนับไม่ถ้วน สวรรค์ปกครองโลก และแม้แต่บุคคลสำคัญในบรรพกาลก็ยังรับใช้ในสวรรค์
เพราะฉะนั้น
จะเข้าใจว่าบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากยุคกำเนิดโลกก็คงได้
ขณะเดียวกันก็นับว่าเป็นเรื่องราวซึ่งซึ่งถือกำเนิดขึ้นก่อนภูมิหลังยุคสมัยในนิยายเทพเซียนกำลังภายในเช่นกัน
สานต่อเรื่องราวในอดีต เพื่อสืบทอดแก่คนรุ่นหลัง
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเรื่องราวของกระบี่เทพสังหารเกิดขึ้นก่อนบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
ค่าพลังของตัวละครในกระบี่เทพสังหาร เมื่อรวมกันแล้วยังไม่ติดอันดับในบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศด้วยซ้ำไป
ก็เทพปกรณัมนี่เนอะ
ยิ่งย้อนยุคสมัยกลับไปไกลเท่าไหร่ ค่าพลังก็ยิ่งสูง ต่อให้ใส่พระพุทธเจ้าเข้าไปในยุคกำเนิดโลก ค่าพลังย่อมไม่นับว่าสูง
ยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้
สายตาของหลินเยวียนพราวประกายขึ้นมา
เขาตัดสินใจแล้ว ว่าจะเขียน ‘บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ’ เป็นนิยายแฟนตาซีเรื่องต่อไป!
นิยายเรื่องนี้ คือเป็นการผสมผสานระหว่างเทพปกรณัมและอารยธรรมเทพเซียนกำลังภายในเข้าด้วยกัน นับว่าเป็นนวนิยายแฟนตาซีตะวันออกที่บริสุทธิ์ที่สุดอย่างแท้จริง
นี่คือเรื่องราวซึ่งส่งอิทธิพลต่อคนรุ่นหนึ่ง หรือหลายรุ่นได้อย่างแน่นอน!
หลินเยวียนจึงจริงจังมาก!
แน่นอน
ต้นฉบับเรื่องบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ มีเหล่าอู๋เป็นผู้เขียน
อู๋เฉิงเอินคือคนสมัยโบราณ คำพูดและประโยคของเขาล้วนใช้ร้อยแก้วโบราณเป็นหลัก
ส่วนบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศของหลินเยวียนจะเปลี่ยนรูปแบบการเขียนให้ทันสมัยและเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
ทว่าถ้าหากทำเช่นนั้น ตนจะยังรับประกันความถูกต้องและอรรถรสดั้งเดิมของเรื่องได้ไหม?
หลินเยวียนรู้สึกกังวล
ในขณะนั้นเอง
ระบบปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเสียงติ๊งต่อง
“จากข้อเท็จจริงที่โฮสต์ต้องการเขียนบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ ระบบได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเขียนบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศให้ทันสมัยยิ่งขึ้น รวมถึงปรับเปลี่ยนเรื่องราวพื้นหลังสำเร็จแล้ว”
ระบบให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเผยแพร่วัฒนธรรม
หลินเยวียนอยากเขียนเรื่องราวของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ ระบบก็รีบออกตัวช่วยเหลือทันทีโดยไม่คิดเงิน!
เพราะว่า…
จะลืมบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศได้อย่างไร?
————————
ปล. ผู้อ่านที่มีความรู้เกี่ยวกับบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ (ไซอิ๋ว) สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ ผู้เขียนอ่านต้นฉบับไม่จบ แต่ได้ดูซีรีส์และอนิเมชันมาไม่น้อย เพราะฉะนั้นจึงทำความเข้าใจผ่านการวิเคราะห์และบทสรุปต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต แต่นิยายเรื่องนี้จำเป็นต้องเขียน ถึงอย่างไรก็มีลิงเป็นตัวละครหลัก หลังจากนี้จะมีพล็อตเรื่องตามมา
[1] ตำนานสถาปนาเทพยดา หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ห้องสินเอี้ยนหงี’ ตามภาษาฮกเกี้ยน
[2] บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ไซอิ๋ว’ จากภาษาแต้จิ๋ว ประพันธ์โดยอู๋เฉิงเอิน
[3] ฉีเทียนต้าเซิ่ง คือฉายาที่ซุนอู้คง (ซุนหงอคง) เรียกตนเอง แปลตรงตัวคือผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน