เหตุผลที่เลือกบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศมีอีกหนึ่งประการ
มูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาของเดินทางสู่ประจิมทิศนั้นสูงมาก!
สูงถึงกระทั่งผู้สร้างภาพยนตร์หลายรายมุ่งความสนใจไปในการถ่ายทำเกี่ยวกับฉีเทียนต้าเซิ่งซุนอู้คง และถ่ายทำลิงหลายเวอร์ชันจนนับไม่ถ้วนซ้ำไปซ้ำมา ทำเอาเส้นขนแปดหมื่นสี่พันเส้นของลิงร่วงจนหัวแทบล้าน
อย่าว่าแต่ขนแปดหมื่นสี่พันเส้น
เกรงว่าแม้แต่เส้นขนช่วยชีวิตทั้งสามเส้นที่พระโพธิสัตว์กวนอินมอบให้ซุนอู้คงจะไม่เพียงพอสำหรับคนกลุ่มนั้น
แต่ผู้ชมก็ยังซื้อ
นี่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของลิงตัวนี้ได้คร่าวๆ
ทุกคนดูอย่างไม่เบื่อหน่าย
ถ้าหากไม่ใช่เพราะของแบบนี้สร้างรายได้มหาศาล ทำไมทุกคนถึงลงทุนลงแรงกับลิงตัวนี้ได้ทุกปีล่ะ
ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว
บลูสตาร์ไม่มีบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
เช่นนั้นมีขนลิงมากมายเช่นนี้ ก็เพียงพอให้หลินเยวียนค่อยๆ กอบโกยรายได้แล้ว
[1] เงื่อนไขคือหลินเยวียนต้องสร้างอิทธิพลของเรื่องบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศให้ได้เสียก่อน
เรื่องนี้ถูกกำหนดชะตามาให้เป็นโครงการใหญ่
โชคดีที่หลินเยวียนมีสตาร์ไลท์อยู่เบื้องหลัง
หากต้องการสร้างอิทธิพลให้กับเรื่องบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ ย่อมจำเป็นต้องสร้างซีรีส์และการ์ตูนชุดบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเช่นกัน เรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากบริษัทบันเทิง
เมื่อตัดสินใจแล้ว
หลินเยวียนจึงควักเงินก้อนใหญ่[2] เพื่อสั่ง ‘บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ’ จากระบบ!
รายละเอียดราคา หลินเยวียนทนพูดต่อไปไม่ไหวหรอก
เรียกว่าแพงจนเหลือเชื่อเลยละ
ผลปรากฏว่าเมื่อได้รับนิยาย หลินเยวียนเป็นต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าระบบจัดเตรียมนิยายไว้ให้ตนสองเวอร์ชัน
หนึ่งคือบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเวอร์ชันต้นฉบับ
สองคือบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเวอร์ชันสมัยใหม่
หลินเยวียนรู้สึกว่าเงินถูกจ่ายไปอย่างคุ้มค่า
ในวรรณกรรมทั้งสองเวอร์ชัน เวอร์ชันโบราณมีเสน่ห์มากกว่าและเปี่ยมไปด้วยคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมในขณะที่เวอร์ชันสมัยใหม่อ่านได้ราบรื่นและมีพล็อตเรื่องที่แข็งแรงกว่า ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ต้องบอกว่า
การจัดเตรียมของระบบ (ผู้อ่าน)ในครั้งนี้รอบคอบมากทีเดียว
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ทุกคนชื่นชอบบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเวอร์ชันต้นฉบับ เพราะมาตรฐานในการอ่านนั้นสูงมาก ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจภาษาโบราณ และดื่มด่ำกับเสน่ห์ของวรรณกรรมเรื่องนี้ได้มากพอ
เมื่อเทียบกับแล้ว
รูปแบบของเวอร์ชันสมัยใหม่นั้นเหมาะสมกับพฤติกรรมการอ่านของทุกคนมากกว่า
นอกจากนั้นสิ่งที่เรียกว่าเวอร์ชันสมัยใหม่ รูปแบบการเขียนจะค่อนไปทางงานเขียนคลาสสิกมากขึ้น เพราะฉะนั้นจึงอ่านได้อย่างสบาย ให้ความรู้สึกเหมือนนิยายเทพเซียนกำลังภายในแบบดั้งเดิมเล็กน้อย และบทสนทนาในนั้นก็มีกลิ่นอายของยุคโบราณ ราวกับพบจุดสมดุลอันเหมาะสมระหว่างผลงานต้นฉบับและผลงานสมัยใหม่
ในนั้นยังมีการดัดแปลงอีกส่วนหนึ่ง
โดยเพิ่มการตีความส่วนหนึ่งของคนรุ่ นหลังในบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
ด้วยเหตุนี้ การเล่าเรื่องราวในนิยายโดยภาพรวมจึงได้รับการยกระดับและเสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่อ่านฉากซุนอู้คงบุกอาละวาดตำหนักสวรรค์ หลินเยวียนรู้สึกสนุกจนติดงอมแงม
“เขียนทั้งสองเวอร์ชันเลยแล้วกัน”
อย่างไรเสีย เนื้อเรื่องบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศก็ไม่ได้นับว่ายาว รวมแล้วเพียงแค่ 80-90 ล้านตัวอักษร
เขียนทั้งสองเวอร์ชันยังไม่ถึง 200 ล้านตัวอักษร
สำหรับนักเขียนที่ ‘พิมพ์เร็วประหนึ่งพญาอินทรี’ อย่างหลินเยวียน จึงไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก
เมื่อตัดสินใจแล้ว
หลินเยวียนจึงเริ่มลงมือพิมพ์
เขาไม่ได้เขียนเวอร์ชันใดเวอร์ชันหนึ่ง แต่เขียนสองเวอร์ชันควบคู่กันไป
เขียนบทแรกของต้นฉบับก่อน จากนั้นจึงค่อยเขียนบทแรกของเวอร์ชันใหม่
หลินเยวียนรู้สึกว่าการเขียนเช่นนี้ให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม ราวกับได้เข้าใจเรื่องราวของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
……
ขณะที่เขียนบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ หลินเยวียนก็ใช้เวลาว่างในการคิดบทภาพยนตร์เรื่องใหม่ด้วย
นี่คือบทภาพยนตร์ซึ่งเตรียมไว้สำหรับอี้เฉิงกง
ความสามารถในการถ่ายทอดบทภาพยนตร์ของอี้เฉิงกงนั้นสูงมาก หน้าหากฉากที่ถ่ายทำไม่ได้มียากเย็น เขาก็สามารถนำเสนอความตั้งใจในบทภาพยนตร์ของหลินเยวียนออกมาได้เป็นอย่างดี
เพราะฉะนั้น…
สุดท้ายแล้ว บทภาพยนตร์ซึ่งหลินเยวียนเตรียมไว้สำหรับอี้เฉิงกงคือ ‘ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์’!
นี่เป็นภาพยนตร์ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยแต่ความคิดสร้างสรรค์บรรเจิดสุดๆ
ตัวเอกในเรื่องมีชื่อว่าทรูแมน
ตั้งแต่เขาเกิดมา ก็ได้เป็นตัวเอกของรายการวาไรตียอดนิยม
ผู้ชมนับไม่ถ้วนล้วนเฝ้าดู ‘ชีวิต’ ของเขา
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาล้วนเป็นเท็จ
ญาติและเพื่อนของเขาล้วนเป็นนักแสดง
ทว่าตัวเขากลับไม่รู้เรื่องนี้
ชีวิตของทรูแมนผ่านการจัดเตรียมมาอย่างชัดเจนโดยผู้กำกับรายการ
จุดพลิกผันของเรื่องราว คือทรูแมนนึกอยากออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ซึ่งจะส่งผลให้ชีวิตของเขาหลุดออกจากการควบคุมของทีมงานรายการ
ผู้คนรอบตัวต่างพยายามห้ามปราม
และเขาก็พบพิรุธจากความพยายามหยุดยั้งเขาของผู้คน…
ในแง่ของความยอดเยี่ยมของบท ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นรองชีวิตอัศจรรย์ของพาย!
หลินเยวียนเชื่อว่าด้วยฝีมือของอี้เฉิงกง ย่อมรับมือกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น
ความคล้ายคลึงกันระหว่างภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ ก็คือภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องล้วนที่มีคุณลักษณะของภาพยนตร์เชิงศิลปะ
จริงอยู่ที่ภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ทำกำไรได้มากว่า
เรื่องสไปเดอร์แมนซึ่งออกจากโรงไปแล้วกอบโกยรายได้มาไม่น้อย
แต่ในแง่ของการเก็บเกี่ยวชื่อเสียง กลับป็นภาพยนตร์เชิงศิลปะที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ดังนั้นหลินเยวียนจึงผลิตภาพยนตร์เชิงศิลปะสองเรื่องไปพร้อมกัน
รอจนกระทั่งภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้เข้าฉายแล้ว หลินเยวียนค่อยคิดเรื่องการผลิตภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ต่อ
ทั้งรายได้และชื่อเสียง สองมือจำเป็นต้องคว้าไว้ และต้องคว้าไว้ให้มั่น
และหลังจากส่งบทภาพยนตร์ให้กับอี้เฉิงกงแล้ว หลินเยวียนไม่ได้ไปสนใจเรื่องอื่นอีก
เขามาถึงกองถ่ายรายการเพลงของเรา
วันนี้หลินเยวียนไม่ต้องลงแข่ง เขาจึงปรากฏตัวเพื่อจับสลากในช่วงท้ายของรายการ นับว่ามาเป็นผู้ชมท่านหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม…
เมื่อหลินเยวียนปรากฏตัวในการถ่ายทอดสด คอมเมนต์ในรายการกลับคึกคักขึ้นมาในชั่วพริบตา
‘เซี่ยนอวี๋มาแล้ว!’
‘รีบจับเว่ยห่าวอวิ้นไว้เร็ว!’
‘เวทีต่อไปห้ามให้เซี่ยนอวี๋กับเว่ยห่าวอวิ้นร่วมทีมกันอีก!’
‘สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วเหมือนหูฝันร้าย!’
‘ไม่เอากิจกรรมเต้นรำกลางจัตุรัส แล้วก็ไม่เอาโชคดีมาแล้ว!’
‘ใครจะคู่กับเซี่ยนอวี๋ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เว่ยห่าวอวิ้น!’
‘นักประพันธ์เพลงคนไหนใจดีช่วยมารับเว่ยห่าวอวิ้นไปหน่อย!’
‘…’
กล้องจับภาพไปยังใบหน้าของเว่ยห่าวอวิ้น
ใบหน้าของเว่ยห่าวอวิ้นเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือล้น
สีหน้าของหลินเยวียนกลับเรียบเฉยเหมือนเคย
หลังจากนั้น
นักประพันธ์เพลงต่างผลัดกันจับสลาก
เมื่อถึงคราวของเซี่ยนอวี๋ ผู้ชมหน้าจอนับไม่ถ้วนล้วนกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
อย่าให้คู่กับเว่ยห่าวอวิ้นเชียว!
ในที่สุด
หลินเยวียนก็จับสลากขึ้นมาแล้ว
ทันใดนั้น ทุกคนล้วนจับจ้องไปยังกระดาษในมือของหลินเยวียน
ขณะเดียวกัน
ผู้ชมก็จ้องมองจนตาโต
และท่ามกลายสายตานับหมื่นคู่ หลินเยวียนแสดงชื่อบนสลาก
“เอ่อนี่มัน…”
ทุกคนตกตะลึง
นักร้องตกตะลึง
แม้แต่บรรดานักประพันธ์เพลงต่างเผยสีหน้าพิลึก
ไม่ใช่เพราะหลินเยวียนจับสลากได้เว่ยห่าวอวิ้น ในรอบนี้เขาไม่ได้จับได้เว่ยห่าวอวิ้น คนที่เขาจับได้ก็คือ…
เฟ่ยหยาง!
ราชาเพลงเฟ่ย!
ผ่านไปเพียงชั่วลัดนิ้วมือ ทั้งห้องส่งและหน้าจอพลันโกลาหลขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน หลายคนหลุดหัวเราะออกมา
‘นี่มันความบังเอิญใช่ไหม’
‘นี่มันคู่เทพเซียนอะไรล่ะเนี่ย!’
‘พ่อเพลงอวี๋จับได้ลูกคนรองตลอดกาล!’
‘คนที่ทำให้เฟ่ยหยางเป็นลูกคนรองตลอดกาลไม่รู้กี่ครั้งต้องมาร่วมงานกับเฟ่ยหยาง!’
‘22222222!!!’
‘แน่ใจใช่ไหมว่ารายการนี้ไม่มีสคริปต์’
‘ต่อให้มีสคริปต์ก็ยอม จัดเต็มขนาดนี้ สุดจัดปลัดบอก!’
‘ฉันฝันถึงฉากนี้ทุกครั้งที่มีการจับสลาก และแล้ววันนี้ความฝันของฉันก็เป็นจริง!’
‘…’
ตำแหน่งลูกคนรองตลอดกาลของเฟ่ยหย่าง เดิมทีได้รับการสถาปนาโดยเซี่ยนอวี๋
รวมไปถึงในรายการราชาหน้ากากนักร้องก่อนหน้านี้ เฟ่ยหยางภายใต้หน้ากากมหาราชาก็ปราชัยต่อเซี่ยนอยู่ในคราบหลานหลิงอ๋อง
และในตอนนี้
ลูกคนรองตลอดกาลและเซี่ยนอวี๋ต้องร่วมงานกันแล้ว!
ช่างแปลกใหม่!
ชื่นใจที่ได้เห็น!
สนุกสุดเหวี่ยง!
ในเวลานี้กล้องฉายไปยังใบหน้าของเฟ่ยหยาง
ใบหน้าของเฟ่ยหยางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาตกอยู่ในสภาวะมึนงง แม้แต่ผู้ชมหน้าจอยังสัมผัสได้ถึงแววตาสับสนและตกตะลึงของเขา…
ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เฟ่ยหยางคิดอะไร
ทว่าท่าทางงุนงงเช่นนี้ของเฟ่ยหยาง กลับทำให้ผู้ชมตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหว
ทีมงานรายรู้งานใช้ได้!
จะเป็นเซี่ยนอวี๋ซึ่งคว้าอันดับหนึ่งติดต่อกัน มาฉีกป้ายลูกคนรองตลอดกาลที่ตนมอบให้เฟ่ยหยาง และแก้ปมซึ่งตนเป็นคนผูกไว้
หรือว่าเฟ่ยหยางซึ่งครองอันดับที่สอง จะใช้ความสามารถพิสูจน์ว่าปณิธานอันดับ ‘สอง’ จะแข็งแกร่งสักเท่าไหร่กันเชียว?