งานทางนี้ยังไม่ทันเริ่ม แต่งานอีกทางหนึ่งกลับจบเสียแล้ว
นี่คือประโยคที่เหมาะจะใช้อธิบายตระกูลหนีในเวลานี้ได้ดีที่สุด
ตอนแรกพวกเขาตั้งใจที่จะแสดงฝีไม้ลายมือในการขับไล่วิญญาณร้ายหลังจากแมลงกินซากศพวิ่งผ่านไป
แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของตระกูลหนีหรือแม้กระทั่งตัวหนีเปียวเองต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงขวัญเกิดขึ้นได้!
หนีหู่ถึงกับยืนตัวแข็งและพึมพำกับตัวเองว่า ”เป็นไปไม่ได้! มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
แม้กระทั่งผู้เฒ่าหลี่ก็ยังตกตะลึง แม้เขาจะใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตบุกค้นและปล้นสุสานมาเกือบทั้งชีวิต แต่เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่สามารถไล่แมลงกินซากศพด้วยคำว่า ’ไปให้พ้น!’ เพียงคำเดียวได้ น่าทึ่งจริงๆ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้ามาหาเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ มือเรียวของเขาไม่แปดเปื้อนแม้แต่เศษฝุ่น ปลายแขนเสื้อและชายชุดคลุมอันประณีตและสง่างามนั้นช่วยขับเน้นให้เห็นรูปร่างสูงเพรียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อเทียบกับท่าทางอันสง่างามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว การกระทำของหนีหู่เมื่อครู่นี้ย่อมไม่สามารถเทียบได้ติดฝุ่น
หากเขาเงียบปากอยู่เฉยๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่หลังจากที่เขาพูดจบ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากกลุ่มอื่นก็พลันหันกลับไปมองที่เขาด้วยสายตาดูถูกทันที
คำพูดของหนีหู่ก่อนที่แมลงกินซากศพจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของพวกเขา
เขาเอาแต่พึ่งพาพี่สาวที่เป็นพระชายามาเกิดใหม่ และดูถูกทุกคนด้วยการพูดว่า พี่สาวของข้าเป็นคนรอบรู้แต่รู้จักถ่อมตน ไม่เหมือนคนบางคนที่นี่ที่มีความรู้เพียงเล็กน้อยกลับเอาแต่อวดภูมิ คนประเภทนั้นอาจเก่งแต่ปาก แต่หลังจากนี้ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง พวกเขาอาจจะกลัวจนหยุดหายใจเลยก็ได้ ดูอย่างแมลงกินซากศพพวกนี้สิ บางคนยังปวดหัวกับพวกมัน และหาทางสลัดพวกมันออกจากตัวอยู่เลย”
ผลสุดท้าย คนที่ดีแต่ปากและกลัวพวกมันจนแทบตายกลับกลายเป็นเขาเสียเอง
หลังเหตุการณ์นี้จบลง ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ จึงได้เห็นธาตุแท้ของหนีหู่ ต่อจากนี้ไม่ว่าเขาจะพูดสิ่งใดออกมา ก็คงไม่มีใครเชื่อใจเขาอีกต่อไป ทุกคนต่างมองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
หนีหู่อ้าปากขึ้น แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่เก็บคำพูดนั้นไว้กับตัวเอง
เขาเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ของตัวเองดี และรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะความอับอายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ดวงตาของหนีเปียวดำทะมึนถึงขีดสุด
เห็นได้ชัดว่าความสามารถของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้
หากพวกเขาไม่สามารถกำจัดกลุ่มของจูเก่ออวิ๋นได้ในเร็วๆ นี้ละก็ เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องแบ่งพระสรีระกัน มันต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม
เมื่อคิดได้ดังนั้น หนีเปียวจึงเคลื่อนสายตาส่งสัญญาณให้กับผู้ช่วยของตัวเองที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มอื่น ผู้ช่วยคนนั้นเข้าใจความหมายของเขาได้อย่างรวดเร็ว และพยักหน้าเล็กน้อย
แต่ถึงกระนั้นภาพลักษณ์ของตระกูลหนีก็ยังถูกทำลายจนย่อยยับต่อหน้าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคน กลับกัน ตระกูลจูเก่อกลับทำให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายประหลาดใจได้หลายต่อหลายครั้งจนถึงกับพูดไม่ออก
แต่เมื่อคิดให้ดีแล้ว จูเก่ออวิ๋นไม่ได้ทำอะไรเลย
เมื่อเทียบกันแล้ว อีกสองคนที่น่าจะเป็นมือใหม่ในการขับไล่วิญญาณร้ายนั้นคนหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุสานโบราณ ส่วนอีกคนหนึ่งก็มีความสามารถไม่ธรรมดา
เมื่อสองคนนี้มาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน มันจึงยิ่งสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!
“นายน้อยอวิ๋น ท่านไปเจอยอดฝีมือสองคนนี้เข้าที่ใดหรือ พวกเขาเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายรับจ้างหรือ ค่าตัวของคนพวกนั้นแพงมากทีเดียวใช่หรือไม่”
เมื่อได้ฟังคำถามอันเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมนั้น จูเก่ออวิ๋นก็แทบจะพูดไม่ออก เขาเกาศีรษะตัวเองและยังอายเกินกว่าจะตอบคำถามนั้นได้ เพราะจนกระทั่งถึงตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขารู้ก็มีเพียงชื่อผู้มีพระคุณของตัวเองเท่านั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขามาจากไหน…
ผลงานของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้เพียงแค่ดึงดูดบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายและเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับพวกเขาได้เท่านั้น แต่มันยังดึงดูดความสนใจจากหนีเฟิ่งได้เช่นกัน
อันที่จริงนั้น นางสังเกตเห็นผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
นางเคยเห็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมาก็มาก แต่นางไม่เคยเจอคนที่หล่อเหลาและแข็งแกร่งจนสามารถทำให้ทุกคนประทับใจได้เช่นเขามาก่อน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใบหน้าของหนีเฟิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าไหมสีขาวก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ
ถ้านางได้อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับผู้ชายคนนี้ นางคงสามารถค้นหาพระสรีระได้เร็วกว่านี้แน่นอน
โชคไม่ดีที่เขาไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับตระกูลหนี
แต่ก็ช่างเถอะ เมื่อถึงเวลานั้น นางจะไว้ชีวิตเขา
ส่วนคนที่เหลือ นางจะเอาชีวิตของคนที่สมควรตายไปให้หมด โดยเฉพาะคนที่ยืนทำตัวอวดรู้อยู่ข้างๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรามีทางเลือกอยู่สี่ทาง พวกเราต้องเลือกหนึ่งจากสี่ทางนั้น พวกท่านคิดว่าเส้นทางไหนเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดหรือ” ผู้เฒ่าหลี่หันกลับมาถามผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่ด้านหลัง
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคิดไม่ออก พวกเขาทำได้เพียงแค่มองหน้ากันไปมา และไม่สามารถหาข้อสรุปสำหรับคำถามนี้ได้
จูเก่ออวิ๋นคิดว่าการถามคำตอบจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาน่าจะเป็นการกระทำที่ปลอดภัยที่สุดเมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ ดังนั้นเขาจึงลดเสียงลงแล้วถามว่า ”พี่เว่ย ท่านว่าเส้นทางไหนดีที่สุดหรือขอรับ”
“ทางใต้” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างมั่นใจด้วยเสียงอันเบา นอกจากคนที่ยืนอยู่ใกล้กับพวกเขาอย่างมาก ก็ไม่มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนใดจะสามารถได้ยินบทสนทนาของทั้งสองได้
จูเก่ออวิ๋นไม่เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำตอบนั้น ”ทำไมล่ะขอรับ” คนอื่นๆ ยังตัดสินใจกันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ทำไมนางถึงได้มั่นใจนักล่ะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยดูไม่กังวลแต่อย่างใด ”เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว มันเป็นแค่เหตุผลธรรมดาๆ เท่านั้น ที่ใดที่มีแมลงกินซากศพมาก ที่นั่นย่อมเป็นสุสานของบรรดาข้ารับใช้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วศพส่วนมากก็น่าจะเป็นสาวใช้ ในสถานที่เช่นนั้นคงไม่มีโลงศพของคนสำคัญหรอก เจ้าลองคิดเช่นนี้ดูสิ คงไม่มีฮ่องเต้พระองค์ใดยอมให้วางพระศพของตัวเองไว้ในสถานที่ที่มีศพนอนเบียดกันอยู่แน่นอน ใกล้ๆ กับเขาน่าจะมีโลงศพและศพอยู่เพียงไม่หนึ่งก็สองศพเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเป็นประตูทางทิศตะวันออกแน่”
“แล้วประตูทางทิศตะวันตกกับทิศเหนือล่ะขอรับ ทำไมถึงไม่ใช่” จูเก่ออวิ๋นยิ่งรู้สึกสนใจอยากรู้เหตุผลอื่นหลังจากได้ฟังคำตอบของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยชี้นิ้วไปทางที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสองคนสิ้นใจ ”จุดนั้นเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับประตูทางทิศตะวันตกที่สุด ตอนที่พวกเขากำลังมองรูปสลักหินอยู่ มีเพียงประตูทางทิศตะวันตกเท่านั้นที่เป็นจุดบอดในวิสัยทัศน์ของพวกเรา มันจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ศิษย์ทั้งสองคนจากตระกูลหนีจะหนีไปจากที่นี่หลังจากกลายเป็นผีดิบแล้ว มันเป็นประตูที่คนตายผ่านเข้าไป แล้วคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะเดินเข้าไปได้อย่างไร ส่วนประตูทางทิศเหนือนั้น หากว่ากันตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว ไม่มีใครหันหน้าไปทางทิศเหนือหลังจากตาย เรื่องนี้เจ้าที่เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็น่าจะรู้”
จูเก่ออวิ๋นพูดไม่ออกและรู้สึกท้อแท้อย่างมาก หลักฮวงจุ้ยว่าไว้ว่า ’ทิศเหนือเป็นลางร้าย ไม่เหมาะสมกับการตั้งศพ’ แต่เขากลับลืมความรู้พื้นฐานนี้ไปเสียได้
ยิ่งกว่านั้น แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่พี่เว่ยก็ยังสามารถนึกถึงหลักฮวงจุ้ยขึ้นมาได้ เขาต้องยอมรับเลยว่าเขาชื่นชมพี่เว่ยจากใจจริง!
ที่สำคัญก็คือ คนธรรมดาทั่วไปคงไม่สามารถไตร่ตรองทุกอย่างได้ละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นจุดบอดในวิสัยทัศน์นั้นได้!
แม้แต่ตัวเขาเองก็นึกอยากถามอยู่เหมือนกันว่าเขาไปหาคนสองคนนี้มาจากไหน! พวกเขาช่างสุดยอดเสียไม่มี!
ในระหว่างที่จูเก่ออวิ๋นกำลังตื่นเต้นอยู่นั้น คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนีที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาถัดไปสองสามก้าวก็ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลฟังสบายหูเอ่ยขึ้นว่า ”เส้นทางที่ดีที่สุดคือประตูทางทิศใต้”
จูเก่ออวิ๋นตกตะลึง!
เขารีบหันหน้ากลับไปมองหนีเฟิ่งทันที!
แม้เขาจะไม่อยากยอมรับ แต่คุณหนูคนโตของตระกูลหนีผู้นี้เองก็เก่งทีเดียว
จูเก่ออวิ๋นคิดกับตัวเองเงียบๆ ขณะที่เขากำลังแสดงความเคารพและชื่นชมหนีเฟิ่งอยู่นั้น เขาก็ได้ยินผู้เฒ่าหลี่ถามหาเหตุผลเบื้องหลังคำตอบนี้กับนาง
หนีเฟิ่งไอออกมาเบาๆ นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ”เพราะบริเวณที่มีแมลงกินซากศพอยู่เป็นจำนวนมากย่อมเต็มไปด้วยซากศพ…”