“สถานที่เช่นนั้นน่าจะเป็นสุสานสำหรับฝังข้ารับใช้ไปพร้อมกับคนตาย และศพที่มีก็คงจะเป็นศพของสาวใช้เสียเป็นส่วนใหญ่ ในที่แบบนั้นคงไม่มีโลงศพของคนสำคัญอยู่แน่ เพราะคงไม่มีฮ่องเต้พระองค์ใดยอมให้วางพระศพของตัวเองไว้ในสถานที่ที่มีศพอยู่กันเป็นจำนวนมาก ใกล้ๆ กับเขาน่าจะมีโลงศพหรือศพอยู่เพียงแค่หนึ่งหรือสองศพเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ประตูทางทิศตะวันออก…”
จูเก่ออวิ๋นตระหนักได้ว่าเหตุผลที่หนีเฟิ่งให้นั้นฟังดูคล้ายกับเหตุผลของพี่เว่ยอย่างคาดไม่ถึง ระดับความใกล้เคียงกันน่าจะมีมากกว่าเก้าส่วนเสียอีก ตอนแรกนั้นเขาเพียงคิดว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญ
จนกระทั่งถึงช่วงท้ายตอนที่หนีเฟิ่งใช้คำว่า ’จุดบอดในวิสัยทัศน์’ มาอธิบายเหตุผลที่นางไม่เลือกประตูทางทิศตะวันตกนั่นเอง ดวงตาของเขาถึงได้เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง!
นี่มัน นี่มันคือสิ่งที่พี่เว่ยกล่าวถึงไปเมื่อครู่นี้ชัดๆ!
แม้จูเก่ออวิ๋นจะยังเด็ก แต่เขาก็ไม่ได้โง่จนบอกไม่ได้ว่าสถานการณ์ในเวลานี้คืออะไร!
สาเหตุที่หนีเฟิ่งรู้ว่าการเลือกประตูทางทิศใต้เป็นตัวเลือกที่ดีกว่านั้นล้วนแต่เป็นเพราะว่านางได้ยินบทสนทนาที่เขาคุยกับพี่เว่ย!
พูดอีกอย่างก็คือ นางขโมยคำพูดของพี่เว่ยมานั่นเอง!
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นแดงก่ำด้วยแรงโทสะ เขาก้าวเท้าออกไปหมายจะคุยกับหนีเฟิ่งให้รู้เรื่อง แต่ก็ถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยขวางทางเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“พี่เว่ย ท่านขวางข้าทำไมขอรับ” จูเก่ออวิ๋นกัดฟันด้วยความโกรธ ”ท่านก็ได้ยินที่หนีเฟิ่งพูดแล้วนี่ขอรับ นางรู้คำตอบเพราะนางบังเอิญได้ยินที่พวกเราคุยกัน ตอนนี้นางกำลังทำเหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นความคิดของนางนะขอรับ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังสุขุมเยือกเย็นดังเดิม ”เจ้ามีหลักฐานที่พิสูจน์ได้หรือว่าความคิดนั้นไม่ได้มาจากนาง แต่มาจากสิ่งที่พวกเราคุยกัน เจ้าถึงได้จะเข้าไปปะทะกับนางเช่นนั้น”
จูเก่ออวิ๋นชะงักเมื่อได้ยินคำถาม จริงสิ เขามีหลักฐานที่ไหนกัน
“ความคิดเป็นของคนที่พูดมันออกมาคนแรก” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจแม้แต่น้อย นางยังคงมีรอยยิ้มติดอยู่ที่มุมปาก ”นี่คือสิ่งที่หนีเฟิ่งมั่นใจ ด้วยเหตุนี้นางถึงสามารถโกหกได้อย่างหน้าไม่อาย และไม่กลัวว่าจะถูกเปิดโปง เจ้าคงเห็นจากสีหน้าของพวกเขาแล้วว่าพวกเขาต่างเชื่อหนีเฟิ่งสนิทใจ ถ้าเจ้าไปต่อล้อต่อเถียงกับนางตอนนี้ คนอื่นๆ จะคิดเพียงว่าพวกเราต้องการได้หน้าจากเรื่องนั้น”
ตอนนั้นเองจูเก่ออวิ๋นจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าไม่ใช่แค่ผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่กระทั่งผู้เฒ่าหลี่ก็ยังมองไปที่หนีเฟิ่งด้วยสายตาชื่นชมราวกับเห็นนางเป็นเทพธิดา
“ผู้หญิงไม่ซื่อตรงเช่นนี้ไม่มีทางเป็นพระชายามาเกิดใหม่แน่นอนขอรับ!” จูเก่ออวิ๋นกล่าวอย่างเดือดดาล ”ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ข้าอยากพบไม่มีวันเป็นคนเช่นนางแน่! ข้าล่ะอยากให้พระชายาตัวจริงมาที่นี่เพื่อเปิดโปงหญิงจอมหลอกหลวงผู้นี้จริงๆ ขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไอออกมาเล็กน้อย แล้วตบบ่าเขาด้วยรอยยิ้มที่มีความหมายแฝง ”ความปรารถนาของเจ้าอาจเป็นจริงในเร็วๆ นี้ก็ได้”
“จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ” จูเก่ออวิ๋นตอบด้วยสีหน้าขมขื่น จากนั้นจึงหันมองไปทางหนีเฟิ่งด้วยความโกรธ!
หนีเฟิ่งยังคงดูอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย นางทำราวกับว่าเหตุผลเหล่านั้นเป็นความคิดของนางจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้อื่นแต่อย่างใด
แน่นอนว่าหนีหู่และหนีเปียวย่อมภูมิใจและตื่นเต้นอย่างมาก ต่อให้คนอื่นจะเก่งกาจเพียงใด แต่พวกเขาก็มีพระชายาที่กลับชาติมาเกิดอยู่ในตระกูล!
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ลงเล็กน้อยขณะสังเกตสถานการณ์ในปัจจุบัน นางเริ่มไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด และกำลังคิดว่าจะช่วยทำให้ความปรารถนาของจูเก่ออวิ๋นเป็นจริงดีหรือไม่
“แน่นอนว่าต้องทำสิขอรับ!” ทารกที่ตัวโตกว่าโบกมือเล็กๆ ของตัวเองอย่างแรงด้วยท่าทางภาคภูมิใจราวกับนกยูงรำแพน ”ท่านแม่ ผู้หญิงคนนี้ที่ปลอมตัวเป็นท่านช่างน่าขยะแขยงยิ่งนักขอรับ เห็นแล้วพาลทำเอาข้ากินอะไรไม่ลงทีเดียว”
ทารกที่ตัวเล็กและอ่อนแอกว่าลืมตาขึ้นพร้อมกับจ้องมองผู้เป็นพี่ด้วยความชื่นชม ท่านพี่ของเขามีชีวิตชีวาอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับเขาที่ทำประโยชน์อันใดให้กับท่านแม่ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเขาได้ออกไป เขาจะต้องขยันให้มากกว่านี้
ทารกที่ตัวโตกว่าไม่สามารถเดาได้ว่าทารกที่ตัวเล็กกว่าคิดอะไรอยู่ ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมที่จะดูแลคนอ่อนกว่า และทำตามหน้าที่พี่ชายผู้แสนดีในยุคนี้…
ที่ด้านในของสุสานหลวง คณะเดินทางกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาจากประตูทางทิศใต้ การเดินทางเป็นไปอย่างสงบสุข และแทบจะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นแต่อย่างใด
เมื่อพวกเขามาถึงชั้นสอง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ขยับแขน แต่นางกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆ ทับแขนของนางอยู่และทำให้นางยากจะยกแขนขึ้นมาได้
หนีเปียวรู้สึกว่าเขาจะรออยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป ถ้าบุตรสาวของเขานำทางทุกคนต่อไปเช่นนี้ พวกเขาคงได้ไปถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายพร้อมกันเป็นแน่
ทำไมเขาต้องปล่อยให้คนอื่นได้เปรียบในสถานการณ์นี้ด้วย
นี่เป็นการแข่งขันว่าใครจะเป็นคนที่ได้พระสรีระไป
ในเมื่อมันเป็นการแข่งขัน เช่นนั้นทุกคนก็ควรทำตามกติกา
“ทุกคนฟังทางนี้” หนีเปียวไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง และเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสุภาพ ”ตอนนี้พวกเราทุกคนมาถึงชั้นสองของสุสานหลวงได้อย่างปลอดภัยแล้ว หากว่ากันตามกติกาการแข่งขันแล้ว พวกเราจะมีสิทธิ์ได้เลือกกลุ่มอีกครั้งหลังจากมาถึงสุสานหลวง คนที่ติดตามตระกูลหนีของเราไป สุดท้ายย่อมได้แบ่งปันชัยชนะร่วมกันกับพวกเรา แต่ใครที่ไม่เลือกตระกูลหนี เช่นนั้นเราคงต้องแยกกัน ข้างหน้าเรามีเส้นทางอยู่สองทาง ผู้เฒ่าหลี่จะเขียนหมายเลขลงในกระดาษสองแผ่น ใครเลือกอยู่กลุ่มใดก็ให้ตามกลุ่มของตัวเองเข้าไปในเส้นทางที่กลุ่มนั้นจับฉลากได้”
ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ตระกูลตอนนี้เหลือเพียงแค่สาม เพราะหนึ่งในนั้นไม่มีคนออกจากกลุ่มแม้แต่คนเดียว
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นเรื่อยๆ เพราะสุสานโบราณอายุกว่าพันปีนั้นแตกต่างจากโลกภายนอกที่พวกเขามีหน้าที่เพียงแค่ต้องขับไล่วิญญาณร้ายลิบลับ
ที่นี่มีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ และเห็นได้ชัดว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ด้วยดีถ้าพวกเขาเลือกติดตามตระกูลหนี
กลุ่มของพวกเขามีทั้งหมดสามสิบหกชีวิต และเป็นลูกศิษย์ของตระกูลหนีไปแล้วยี่สิบเจ็ดชีวิต
แน่นอนว่าจูเก่ออวิ๋นย่อมมีกลุ่มเป็นของตัวเองเพราะเขาไม่ได้ร่วมมือกับตระกูลหนี
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะมีคนจำนวนหกคนจากอีกสองกลุ่มที่เหลือเลือกมาอยู่ข้างเดียวกับเฮ่อเหลียนเวยเวยและพรรคพวกของนางอย่างคาดไม่ถึง
เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น หนีเปียวจึงทำได้เพียงยิ้มเยาะเท่านั้น คนที่ไม่เลือกตระกูลหนีนั้นไม่ต่างจากคนที่รนหาที่ตาย พวกเขาไม่มีวันไปถึงใจกลางสุสานได้!
จูเก่ออวิ๋นตื่นเต้นอย่างมาก ตอนเริ่มออกเดินทางพวกเขามีกันแค่เพียงสามคน แต่ตอนนี้กลับมีเก้าคน มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
จูเก่ออวิ๋นจับฉลากแทนกลุ่มของเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาจับได้เส้นทางทางซ้ายมือ
คนทั้งเก้าเดินผ่านประตูเข้าไปทีละคน
ไม่มีอุบัติเหตุอันใดเกิดขึ้น
สถานการณ์ตลอดเส้นทางนี้สงบราบรื่นเกินไป
พวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่นิดเดียวในขณะที่เดินผ่านเส้นทางนี้
สถานการณ์เช่นนี้กลับยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเป็นกังวล
แม้จะเดินกันมากว่าครึ่งชั่วยาม แต่พื้นหินที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้ากลับดูเหมือนอุโมงค์อันไร้ที่สิ้นสุด
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว แล้วยื่นแขนออกไปทำสัญลักษณ์ไว้ที่หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งก่อนจะเดินต่อไป
ครั้งนี้ก็เหมือนครั้งก่อน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
แต่สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเปลี่ยนไป
นางหยุดฝีเท้าลง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ไม่จำเป็นต้องเดินต่อแล้ว”
“อะไรนะ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจำนวนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสับสน
แต่ก็มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอีกส่วนหนึ่งที่ตระหนักถึงสถานการณ์นี้ได้ ”ที่พวกเราไม่จำเป็นต้องเดินต่อก็เพราะว่าพวกเราเดินวนเป็นวงกลมกันอยู่”
ทุกอย่างสงบสุขเกินไปในตอนแรก และสถานการณ์อันสงบสุขนั้นทำให้พวกเขาลดการระวังตัวลง ยิ่งกว่านั้นความเหน็ดเหนื่อยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจก็ยังทำให้พวกเขาลืมที่จะทำสัญลักษณ์ไว้ตามทางอีกด้วย
แต่หลังจากได้เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยทำสัญลักษณ์เอาไว้ที่ก้อนหิน พวกเขาจำนวนหนึ่งจึงเริ่มตระหนักได้ และตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาที่หลัง พวกเขาลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า ”ในเมื่อพวกเราเอาแต่เดินวนกันเป็นวงกลมเช่นนี้ พวกเราอาจจะหลงทางเข้าแล้วก็ได้…”