“อะไรนะ เดินวนเป็นวงกลมหรือ?! ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ?!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ เอะอะเสียงดัง
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า ”ข้าก็เพิ่งรู้ตัวเมื่อครู่นี้เหมือนกัน เจ้าลดเสียงลงหน่อย หยิบยันต์ออกมา แล้วหมุนตัวสามรอบจากนั้นลองเดินออกไปข้างหน้าดูสิ”
การเดินวนเป็นวงกลมไม่ใช่อุปสรรคอันยากจะแก้ไขแต่อย่างใด
แต่มันก็น่ากลัวเพราะถ้าพวกเขาไม่สามารถทำลายอุปสรรคที่ว่านี้ได้ละก็ พวกเขาอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต พวกเขาจะยังคงติดอยู่ที่เดิม และเดินวนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นปีๆ
โชคดีที่พวกเขาเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่รู้จักวิธีรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้
ทุกคนเปิดย่ามแล้วเตรียมที่จะร่ายอาคม
แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ายันต์ในย่ามของพวกเขาหายไปจนหมดเกลี้ยง!
“เป็นไปได้อย่างไร ยันต์ของข้าหายไปไหน”
“ของข้าก็หายไปเหมือนกัน!”
“ค้นดูอีกครั้งสิ!”
“ยังหาไม่เจอเลยสักแผ่นเดียว!”
จูเก่ออวิ๋นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาท่วมไปด้วยเหงื่อ สถานการณ์นี้ชัดเจนแล้วว่ามีใครบางคนวางแผนเล่นงานพวกเขาด้วยการขโมยยันต์ของพวกเขาไป
“ใครกันจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ พวกเขาจะทำเช่นนี้ไปทำไม” จูเก่ออวิ๋นทุบกำปั้นลงกับพื้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย ”ในเมื่อนี่เป็นการแข่งขัน ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมมีการใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นธรรมดา นายน้อยอวิ๋น เจ้าควรทำตัวให้คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เสีย”
“ข้า…” จูเก่ออวิ๋นสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด เขาไม่เคยคิดแม้กระทั่งจะทำร้ายใคร แม้เขาจะรู้ว่าการแข่งขันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีใครทำตัวต่ำช้าเช่นนี้ พวกเขาอยู่ในสุสานหลวง การขโมยยันต์ไปจากพวกเขาจึงไม่ต่างจากการพรากชีวิตของพวกเขาสักนิด!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปรอบตัว จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน แล้วปัดฝุ่นบนมือออก ”เรามีกันเก้าคนตอนออกเดินทาง แต่ตอนนี้มีเพียงแค่แปดคน จะต้องมีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นและหนีไปก่อนแน่ ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้มานานแล้ว”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายพอจะเดาออกว่าเจ้าของอุบายนี้คือใคร คนพวกนั้นต้องเป็นใครบางคนจากตระกูลหนีหรือไม่ก็ตระกูลหลินอย่างแน่นอน มีแค่เพียงสองตระกูลนี้เท่านั้นที่ต้องการขัดขวางไม่ให้ตระกูลจูเก่อได้รับชัยชนะ โดยปกติแล้วกลอุบายอันโหดเหี้ยมเช่นนี้มักจะเป็นคำสั่งจากประมุขของตระกูล
ถ้าเรื่องนี้เกิดจากตระกูลหนี เช่นนั้นสถานการณ์ในเวลานี้ก็ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
พวกเขาเชื่อใจและชื่นชมหนีเปียวอย่างมาก ทั้งยังยกให้เขาเป็นถึงต้นแบบของผู้ขับไล่วิญญาณร้าย!
“ไม่ใช่ตระกูลหนีแน่!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่น เขาปฏิเสธที่จะยอมรับในสิ่งที่ตัวเองคาดเดา
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา แล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า ”เวลานี้ตัวการคือใครย่อมไม่สำคัญ”
“ถูกต้อง” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เขายังคงดูสงบเยือกเย็น ”น้องเว่ยพูดถูก อุบายนี้จะเป็นฝีมือใครไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตอนนี้สิ่งที่พวกเราควรเป็นห่วงคือการหาทางพาตัวเองออกไปจากที่นี่ต่างหาก”
เมื่อไม่มียันต์อยู่กับตัว พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากหมูที่วางอยู่บนเขียง ไม่ว่าปัญหาที่พวกเขาเจอจะเป็นอะไร มันก็มีแต่จะทำให้พวกเขาถูกคนอื่นจัดการได้ทั้งนั้น
ยิ่งกว่านั้น ในสุสานหลวงก็ยังแตกต่างจากโลกภายนอก ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลาต่อไป
การเผชิญหน้ากับความกลัวที่ตนไม่รู้จักทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ก่อตัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ก่อนจะลามไปทั่วสันหลัง ทั้งที่ในสุสานไม่มีลมพัด แต่พวกเขากลับรู้สึกเหมือนมีใครกำลังเดินตามพวกเขาอยู่
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ความเงียบนี้ก็อยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายนามว่าเสี่ยวหลิงจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเข้า
มันเป็นเสียงร้องไห้ เขาหันหน้ากลับไปถามด้วยความไม่มั่นใจว่า ”เจ้าร้องไห้ทำไม”
ร้องไห้หรือ? สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยจริงจังขึ้นมาทันที นางไม่ตอบแต่กลับม้วนแขนเสื้อยาวขึ้นเล็กน้อย แล้วกำมือรอบมีดสั้นขับไล่วิญญาณร้ายที่ส่องประกายอยู่ในมือ
นางไม่แน่ใจว่าเสี่ยวหลิงได้ยินเสียงคนร้องไห้จริงๆ หรือเปล่า
แต่ในเวลานี้การปิดปากเงียบย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับภูตผีวิญญาณมามาก มีเรื่องหนึ่งเขียนเอาไว้เช่นนี้
ชาวนาสามีภรรยากลับมาถึงบ้านตอนค่ำหลังจากทำนาเสร็จ
สามีแบกภรรยาที่เดินไม่ได้เอาไว้บนหลังระหว่างกลับบ้าน
การเดินเท้าในตอนกลางคืนค่อนข้างลำบาก และสามีก็เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก อีกทั้งจู่ๆ ภรรยาที่อยู่บนไหล่ของเขาก็ร้องไห้ออกมา
ชาวนาขมวดคิ้วแล้วถามว่า ”จู่ๆ เจ้าร้องไห้ทำไม”
ภรรยารู้สึกประหลาดใจ นางตอบว่า ”ข้าไม่ได้ร้อง”
สามีรู้ว่าภรรยาของเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงเรื่องน่าตกใจเรื่องหนึ่ง
ในเมื่อภรรยาของเขาบอกว่านางไม่ได้ร้องไห้ เช่นนั้นมันย่อมเป็นความจริง แต่เขาได้ยินเสียงใครกันล่ะ
ชาวนาไม่กล้าคิดต่อ ดังนั้นเขาจึงรีบเร่งฝีเท้าขึ้น
หลังจากพวกเขามาถึงบ้าน ภรรยาก็ถามเขาเรื่องเสียงร้องไห้เมื่อครู่ เขาจึงตอบว่า ”โชคดีที่ข้ารู้จักเจ้าดี อีกทั้งยังพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติอยู่บ้าง ถ้าพวกเราหันกลับไป พวกเราคงไม่ได้กลับมาถึงบ้านอย่างแน่นอน”
ชาวนาพูดถูก เพราะการหันหลังกลับไประหว่างเดินอยู่ในความมืดนั้นถือเป็นสิ่งต้องห้าม
ทุกคนมีโคมไฟปกปักรักษาร่างกายอยู่ด้วยกันสามดวง ดวงหนึ่งอยู่ทางซ้าย ดวงหนึ่งอยู่ทางขวา และอีกดวงหนึ่งอยู่ด้านหลัง
เห็นได้ชัดว่าโคมไฟดวงที่อยู่ด้านหลังเสี่ยวหลิงคงดับไปเสียแล้ว…
ยิ่งเสียงร้องไห้ที่ข้างหูของเขาดังขึ้นเพียงใด เสี่ยวหลิงก็สังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเงียบมากขึ้นเท่านั้น แต่นางทำหน้าราวกับตระหนักถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาไม่กล้าถามอะไรต่อขณะที่เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาจากหน้าผาก ใบหน้าของเขาซีดเผือด ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็มองเห็นเงาดำทะมึนเงาหนึ่ง รูม่านตาของเขาหดแคบเข้าหากันทันที ”อะไรน่ะ นั่นมันตัวอะไร?!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นทันทีพร้อมกับมองไปยังที่ที่เขามองอยู่ นางเห็นรูปปั้นมนุษย์ตั้งอยู่ที่หน้าทางเข้าถ้ำ
รูปปั้นนี้เป็นสิ่งที่พวกนางเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้เสี่ยวหลิงหวาดกลัวก็คือดวงตาอันน่าขนลุกของรูปปั้นที่ว่านี้ ตาคู่นั้นดูเหมือนจะขยับได้และกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
รอยยิ้มเย็นชาชวนขนหัวลุกทำให้เขาเสียวสันหลัง
“ไม่ได้การแล้ว พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่!” เสี่ยวหลิงก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนกราวกับเขากำลังเผชิญหน้ากับปีศาจ ไม่ว่าคนอื่นจะตะโกนบอกเขาว่าอย่างไร แต่เขาก็เอาแต่พร่ำพูดประโยคนี้ออกมา!
สำหรับคนอื่นนั้น รูปปั้นไม่ได้ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเสี่ยวหลิงแล้วขมวดคิ้ว จากนั้นนางจึงบอกจูเก่ออวิ๋นว่า ”ส่งกระบอกน้ำมาให้ข้า”
“ขอรับ!” จูเก่ออวิ๋นรีบหยิบกระบอกน้ำส่งให้นาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้ปากเปิดกระบอก แล้วราดน้ำเย็นๆ นั้นใส่หน้าของเสี่ยวหลิง
น้ำเย็นที่ราดลงมาปลุกเสี่ยวหลิงให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เขาจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยขณะที่หยดน้ำไหลลงมาตามใบหน้า และตระหนักได้ว่าเขาคงไม่สามารถหนีได้หากสมองของเขาไม่แจ่มชัดพอ เขาร้องไห้ออกมาทันที ”ขอบคุณ ฮือ ขอบคุณขอรับ”
“ไม่เป็นไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อยระหว่างตบบ่าเขา นางรู้ว่าเขายังเด็ก และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ นางวางมือของตัวเองลงบนไหล่ของเขา แล้วปลอบเขาว่า ”ใจเย็นๆ อย่าแตกตื่นไป ถ้าเจ้าได้ยินใครเรียกชื่อ อย่าได้ขานรับ”
เสี่ยวหลิงพยักหน้า ไม่รู้ว่าทำไม แต่ในใจเขาไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความเชื่อใจมอบให้กับคนผู้นี้
เขาเชื่อในตัวของคนที่อยู่ตรงหน้าเขามากกว่าที่เขาเชื่อในตระกูลเจี่ยงเสียอีก เขาเชื่อว่าชายคนนี้จะพาพวกเขาออกไปจากสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้อย่างปลอดภัย…
แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ กลับไม่ได้มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น พวกเขาทึ้งผมของตัวเองพร้อมกับบ่นว่า ”ถ้าไม่มียันต์แล้วพวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร”