บทที่ 736 ข้าอุตส่าห์หนีออกมาด้วยความยากเข็ญ นี่ยังต้องกลับไปอีกหรือ?!
ถึงอย่างไรอาณาจักรผืนนี้ก็เคยเฟื่องฟูเมื่อครั้งอดีต มิใช่อาณาจักรระดับล่างธรรมดา พื้นที่ภายในอาณาจักรกว้างขวาง
เอ่ยอย่างไม่เกินจริงเลยว่า ลำพังระยะทางระหว่างดินแดนฝอและดินแดนหยิน ผู้ฝึกตนธรรมดาเดินทางทั้งชีวิตก็ไปไม่ถึงหากไม่ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย
ทว่าหนานฉงนั้นไม่ธรรมดา
ขอบเขตของเขาสูงส่งจนเหนือขอบเขตโกลาหลขึ้นไป ต่อให้อยู่ในแดนบรรพโกลาหลก็ยังกล้าแกร่งไร้เทียมทาน!
ระยะทางแค่นี้เป็นแค่เรื่องกระจิริดสำหรับเขา
เขาย่างเท้าเบา ๆ ก็ไปถึงในพริบตา พระเก้าประทีปพุทธเจ้าตกใจแทบบ้า เขาเป็นบุคคลระดับใดกันนี่
นี่เป็นเพียงการก้าวเท้าธรรมดาปราศจากคลื่นพลังใด ๆ สุดท้ายกลับทะลุห้วงมิติไปได้ น่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าเมื่อคราวเขาได้พบจ้าวแห่งเซียนนามเฟ่ยชงเสียอีก!
เมืองชิงซานอยู่เพียงเบื้องหน้า หนานฉงมิกล้าบุกเข้าไปตรง ๆ จึงพาพระเก้าประทีปพุทธเจ้าเดินเท้าไปยังเมืองชิงซาน
เป็นไปได้สูงว่าหลี่จิ่วเต้าผู้ประทับในเมืองชิงซานคือท่านผู้นั้น เขาไฉนเลยจะกล้าเหินเข้าไปตรง ๆ นั่นเป็นการรนหาที่ตาย เขาไม่มีทางโง่เง่าเช่นนั้น!
“จะใช่ท่านผู้นั้นจริงหรือไม่”
แต่หลังเขาก้าวเดินไปยังเมืองชิงซานก็ค่อย ๆ เคลือบแคลงขึ้นมา
มิใช่สาเหตุอื่นใด ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะที่นี่คือเมืองปุถุชน ปราศจากร่องรอยการฝึกตนใด ๆ จึงเหนือความคาดหมายเขาไปนิดหน่อย
บุคคลระดับนั้นพำนักในเมืองปุถุชนเช่นนี้ได้จริงหรือ
เขาคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ จึงสงสัยอย่างมาก
ถึงอย่างไร บุคคลยิ่งใหญ่ระดับนั้นคงเห็นมาแล้วทุกอย่าง เหตุไฉนถึงยังจำเป็นต้องพำนักร่วมกับปุถุชน
ทำเช่นนี้ไปหาได้มีความหมายไม่!
“คิดเช่นนั้นมิได้ หากว่ามีความนัยที่ข้าไม่เข้าใจแฝงอยู่เล่า!”
เขาคิดในใจอีกครั้งด้วยความรอบคอบ มิได้ตัดสินเรื่องใดจากเพียงด้านเดียว ต้องพิสูจน์ให้แน่ใจอีกหลาย ๆ ด้าน
“เป็นอีกวันที่ข้าคิดถึงคุณชายหลี่!”
“ถ้าคุณชายหลี่ยังอยู่คงดีไม่น้อย คุณชายหลี่ขึ้นเขาคราเดียวก็พอให้เรามีกินไปอีกหลายวัน!”
“ไม่รู้ว่าคุณชายหลี่จะกลับมาเมื่อใด!”
ระหว่างทาง นายพรานสามสี่คนเดินทางไปพลาง สนทนาไปพลาง
สัตว์ในเขาชิงซานล่าได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ หนนี้พวกเขากลับมามือเปล่าอีกแล้ว ช่วยมิได้ เขาชิงซานมิใช่ภูเขาลูกใหญ่ สัตว์ที่ล่าง่ายก็โดนพวกเขาล่าไปพอประมาณแล้ว ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นสัตว์ป่าจับยากทั้งสิ้น
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาจักนึกถึงหลี่จิ่วเต้า
หลี่จิ่วเต้าเก่งกล้าสามารถด้านล่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าที่ล่ายากปานใด หลี่จิ่วเต้าล้วนล่ามาได้อย่างง่ายดาย และทุกครั้งที่หลี่จิ่วเต้าขึ้นเขา มักจะแบ่งเหยื่อที่ล่ามาได้ให้พวกเขาเป็นจำนวนมาก
“คุณชายหลี่?”
เมื่อหนานฉงได้ยินบทสนทนาระหว่างนายพราน ก็ถามออกไป “คุณชายหลี่ผู้นี้มีนามว่าหลี่จิ่วเต้าใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว!”
“ดูก็รู้ว่าสหายมาจากนอกเมืองใช่หรือไม่! คนในเมืองล้วนรู้จักคุณชายหลี่!”
นายพรานทั้งหลายเอ่ยยิ้ม ๆ
หนานฉงถือโอกาสนี้สอบถามถึงข้อมูลของหลี่จิ่วเต้า อยู่ที่นี่ เขามิกล้าใช้พลังอันใดด้วยกลัวว่าหลี่จิ่วเต้าคือท่านผู้นั้นแล้วจะสร้างความขุ่นข้องหมองใจ
มิฉะนั้น เขาไม่จำเป็นต้องถาม ตั้งจิตครั้งเดียวก็รับรู้เรื่องที่เขาอยากรู้ได้
นายพรานเหล่านี้มิได้ปิดบังอันใด เพราะไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง สิ่งที่พวกเขาเล่าไปเป็นที่รู้กันทั้งเมือง
“ขอบคุณทุกท่าน!”
หนานฉงบอกลาเหล่านายพรานก่อนจะชะงักฝีเท้า
ความกังขาที่เขามีต่อหลี่จิ่วเต้าพุ่งทะยานอีกครั้ง ตัวตนสูงส่งอย่างหามิได้เช่นนั้นจะดีกับปุถุชนธรรมดาเพียงนี้เลยหรือ
ซ้ำยังทำได้อย่างแนบเนียน!
ทว่าไหน ๆ เขาก็มาแล้ว อย่างไรก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย
แม้ว่าหลี่จิ่วเต้าจะไม่อยู่ แต่เขาสามารถไปเยี่ยมที่พำนักของอีกฝ่ายได้ ดูว่าพอรู้อะไรจากมันได้บ้างหรือไม่
จากนั้น เขาพาพระเก้าประทีปพุทธเจ้ามุ่งหน้าต่อไปยังเมืองชิงซาน
เมื่อมาถึงริมลำธาร จู่ ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว ลอบรำพึงว่าแย่แล้ว ก่อนจะรีบแหวกมิติหมายจะหนี!
เขานั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ ต่อให้รู้แล้วว่าหลี่จิ่วเต้าไม่อยู่ในเมือง ก็มิได้ชะล่าใจแต่อย่างใด เมื่อครั้งเพิ่งมาถึงริมลำธารก็พลันสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ปรากฏออกมาได้ พลังนั้นตั้งใจจะพาเขากับพระเก้าประทีปพุทธเจ้าเข้าไปในมิติแห่งหนึ่ง
พลังที่ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือพวกเดียวกันเช่นนี้เขาไฉนเลยจะยอมถูกลากเข้าไป
หากถูกลากเข้าไปจริง ๆ เขาไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น!
“เกิด…อะไรขึ้น?”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าฉงนสนเท่ห์ เดินทางกันดี ๆ จู่ ๆ ไยหนานฉงถึงหนีไป?!
“ไม่สิ! เขาหนีไปเพราะความกลัว!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าได้สติ ทำท่าจะแหวกมิติหนีเช่นกันโดยไม่ลังเล
แต่เขาถูกหยุดไว้ก่อนจะหนีไปได้ และโดนกักขังไว้ในมิติแห่งหนึ่ง!
“แย่แล้ว!”
สีหน้าของเขาซีดเผือด หนานฉงทรงพลังปานนั้นยังต้องตื่นตกใจ พลังแค่นี้ของเขาย่อมไม่พอให้ต่อกร!
อีกด้าน หนานฉงแหวกมิติรัวเพื่อหนีจนไกลห่างจากที่นั่นได้อย่างสิ้นเชิง
“หลี่จิ่วเต้าผู้นี้มีความพิลึกอยู่บ้างจริง ๆ!”
เขาเอ่ยเสียงจริงจัง ความคิดที่ว่าหลี่จิ่วเต้าอาจเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาก่อนหน้านี้มลายสิ้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังที่ปรากฏออกมาก่อนหน้านี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้าแน่นอน มิฉะนั้น ในเมืองปุถุชนแบบนั้นไฉนเลยจะมีพลังระดับนั้นปรากฏออกมาได้!
พลังนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่งยวด แม้แต่สิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลยังใช่ว่าจะต่อกรด้วยไหว!
ต่อให้แกร่งกล้าดุจเขายังเพิ่งจับสัมผัสได้ยามพลังนั้นเข้าใกล้ นั่นก็สะท้อนให้เห็นถึงความเก่งกล้าของพลังนั้นแล้ว!
เสียงดังฟึ่บ เวลานั้นเอง จู่ ๆ ก็มีประกายสว่างวาบอยู่ในห้วงมิติ ก้านหลิวก้านหนึ่งคืบคลานออกมา
หนานฉงใจเย็นอย่างมาก มิได้รีบหนีอุตลุดแต่อย่างใด
เขารู้ที่มาของก้านหลิวก้านนี้ คงเป็นพลังมวลนั้นที่ไล่ตามมาแน่
“สหาย ไม่ต้องกังวลไป ข้ามิได้มีเจตนาร้าย!”
เขาปริปากบอก
พลังก่อนหน้านี้หมายใจจะพาเขาเข้าไปในห้วงมิติบางแห่ง เขาอยากหนีตามสัญชาตญาณ ช่วยไม่ได้ เขาไม่อยากถูกกักขังในห้วงมิติใดอีกแล้ว!
เขาถูกจองจำในซากปริภูมิเวลามานานเกินไป จนกลายเป็นฝันร้ายและปมในใจเขาไปแล้ว!
หลังมาอยู่ที่นี่เขาถึงใจเย็นลง เห็นได้ชัดว่าพลังมวลนี้เกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า และตัวเขาก็กำลังจะไปเยี่ยมเยียนหลี่จิ่วเต้าผู้นี้มิใช่หรือไร
ก่อนนี้เขาไม่ควรหนี นี่เป็นโอกาสให้เขาได้ข้องแวะกับหลี่จิ่วเต้า
“ไม่มีเจตนาร้ายอย่างนั้นหรือ”
เสียงของต้นหลิวดังขึ้น ก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าต้องการข้อมูลของคุณชายไปทำอันใด”
หนนี้ มันฟื้นพลังกลับมาเต็มที่
หากมิใช่ว่ามันทิ้งจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งไว้ที่นั่น หนานฉงไม่มีทางหนีไปไหนได้
และทันทีที่ฟื้นพลังกลับมาเต็มที่ มันก็เล็งพิกัดหนานฉงและไล่ตามมา
“ข้ามาครั้งนี้ ก็เพื่อมาเยี่ยมเยียนคุณชาย!”
หนานฉงกล่าว “ข้าอยากพบคุณชายสักครั้ง”
“เช่นนั้นก็กลับไปสนทนากันหน่อย สหายของเจ้ายังรอเจ้าอยู่ที่นั่น” ต้นหลิวบอก
“ไม่สนทนาในห้วงมิติปิดผนึกเช่นนั้นได้หรือไม่ ข้า…ไม่อยากอยู่ในห้วงมิติปิดผนึก!” หนานฉงเอ่ย
“ไม่ได้!” ต้นหลิวเอ่ยปากเบา ๆ
พลังมวลหนึ่งซัดสาดออกไปเพื่อพาตัวหนานฉงไปด้วย
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด ไว้ข้าค่อยไปเยี่ยมเยียนคุณชายทีหลังแล้วกัน!”
หนานฉงตอบกลับ ไม่อยากอยู่ในห้วงมิติปิดผนึกแล้วจริง ๆ เขาพอกันทีกับสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมอะไรได้!
เขาปะทุพลังทั้งหมดเพื่อไปจากที่นี่
ทว่าเรื่องเหนือความคาดหมายของเขาคือ เขากลับได้พบพระเก้าประทีปพุทธเจ้า!
เรื่องบ้าอะไรกัน?!
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก นี่เขาถูกพากลับมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยหรือ
ฝีมือระดับนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ต้นหลิวอยู่ในขอบเขตใดกันแน่!
ชั่วพริบตานั้น เขาไม่เหลือข้อข้องใจใดอีก หลี่จิ่วเต้าคือท่านผู้นั้นแน่!
“มาเถิด บอกตื้นลึกหนาบางของเจ้ามา ข้ารู้สึกว่าเจ้ามิใช่คนดีอะไร”
ต้นหลิวปรากฏกายในห้วงมิติแห่งนี้
หนานฉงทรมานใจเป็นหนักหนา รู้สึกแย่สุด ๆ เขาสูญเสียอำนาจควบคุมไปอีกแล้ว ถูกกักขังไว้ในห้วงมิติพิเศษบางแห่ง
ทว่าถึงอย่างไรเขาก็มิใช่คนธรรมดา ไม่นานนักก็สงบใจลงได้
บอกตามตรง เขาอยากขอสมัครเป็นพรรคพวกของท่านผู้นั้น
กองกำลังปริภูมิเวลานี้น่ากลัวเกินไป หากเขาไร้ที่พึ่ง ช้าเร็วก็ต้องถูกกองกำลังปริภูมิเวลาจับไปอยู่ดี
เพราะอย่างนั้น เขาถึงต้องการพิสูจน์ว่าหลี่จิ่วเต้าใช่ท่านผู้นั้นหรือไม่ เขาต้องการเป็นผู้ใต้บัญชาท่านผู้นั้น เช่นนี้แล้ว เขาจักปลอดภัยขึ้นมาก
แน่นอนว่าต้องให้ท่านผู้นั้นยอมรับเขาเข้าเป็นพวกก่อน
“ได้!”
หนานฉงกล่าว “ข้าไม่มีเจตนาร้ายจริง ๆ ข้ามาเยี่ยมเยียนท่านผู้นั้นด้วยจิตใจเลื่อมใส!”
เขาเล่าภูมิหลังและประวัติความเป็นมาของตัวเองโดยไม่ปิดบัง รวมถึงวิธีที่ใช้เข้าใกล้หยวนอีและพวกจักรพรรดินี เรื่องที่เขาเคยคิดจะวางอุบายหลอกล่อหยวนอีและพวกจักรพรรดินี
พลังของต้นหลิวสูงกว่าเขามากอย่างไม่ต้องสงสัย เขารู้ดีว่าต่อให้เขาอยากปิดบังก็ปิดบังมิได้
“ไม่ใช่คนดีจริงด้วย บังอาจวางอุบายหลอกล่อหยวนอีเชียวหรือ! ไม่รู้หรือไรว่าข้าชอบยายเด็กหยวนอีผู้นั้นมาก!?” ต้นหลิวเอ่ยเสียงโมโห
‘ข้าจะรู้ได้อย่างไร! ก่อนนี้ข้าไม่รู้ว่ามีท่านอยู่ด้วยซ้ำ!’
หนานฉงเอ่ยในใจด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
ครานั้น เขาไม่เคยรู้เลยว่าเบื้องหลังหยวนอีจะน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ หากเขารู้แต่แรก ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางคิดหลอกล่อพวกหยวนอี!
“ข้าขออภัยต่อการกระทำของข้าในอดีต ท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วย!” หนานฉงรีบบอกต้นหลิว
“ขอโทษคำเดียวแล้วจะพลิกประวัติหน้านี้เลยหรือ เรื่องนี้ไม่มีทางจบง่าย ๆ แน่!” ต้นหลิวหวดก้านใส่หนานฉง
มันชื่นชอบหยวนอีมาก ทุกครั้งที่หยวนอีมาจะรักษามารยาทอยู่เสมอ เป็นเด็กสาวที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“อ๊ากกกก!”
หนานฉงร้องลั่นด้วยความปวดร้าว ต้นหลิวเก่งกาจกว่าเขามากจริง ๆ เขาพยายามต้านทานสุดกำลังแล้วก็ต้านมิไหว ถูกหวดจนร้าวรานไปถึงทรวง
สุดท้าย ต้นหลิวหยุดมือ
“เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับต้าเต๋อ ข้าไม่สะดวกลงมือ ขอลบความทรงจำของเจ้าในครานี้ และปล่อยเจ้าไปตามยถากรรมแล้วกัน”
ต้นหลิวบอกกับพระเก้าประทีปพุทธเจ้า
มันตั้งจิตครั้งเดียวก็รับรู้ถึงเรื่องราวระหว่างพระเก้าประทีปพุทธเจ้าและต้าเต๋อ รู้สึกว่าเก็บพระเก้าประทีปพุทธเจ้าให้ต้าเต๋อจัดการดีกว่า
จากนั้น มันลบความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ของพระเก้าประทีปพุทธเจ้า และส่งพระเก้าประทีปพุทธเจ้าออกไป
“ข้าใคร่รู้ในซากปริภูมิเวลาที่เจ้าเล่ามามาก ไปกันเถิด ไปดูที่ซากปริภูมิเวลากันหน่อย”
ต้นหลิวกล่าวต่อหนานฉง
การมาของหนานฉงทำให้มันตระหนักได้ว่ากองกำลังเบื้องหลังปริภูมิเวลาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มันจึงอยากไปดูว่าจะได้พบคู่มือบ้างหรือไม่
หากได้พบคู่มือ ย่อมเป็นผลดีต่อการฝึกฝนของมัน ดีกว่าการที่มันต้องฝึกฝนอยู่ในห้วงมิติตามลำพังมาก!
“ไม่หรอกกระมัง?!” หนานฉงหน้าเขียว
เขาอุตส่าห์หนีออกจากซากปริภูมิเวลาออกมาด้วยความยากเข็ญ บัดนี้ยังต้องกลับไปอีกหรือ?
สวรรค์!
หากรู้อย่างนี้แต่แรก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่มีทางมาที่นี่!