ตอนที่ 763 ซูอวี้อิ๋งถูกทุบตี
ในที่สุดเมื่อถึงเวลาเลิกงาน พนักงานทุกคนรวมถึงหลินม่ายต่างก็หมดแรง
วันนี้หลินม่ายทำงานหลายอย่างเช่นกัน ทั้งช่วยชั่งและช่วยจัดเตรียม
หลินม่ายขอบคุณพนักงานทุกคนสำหรับการทำงานหนัก เธอกระชับเสื้อคลุมให้แน่นและเดินออกจากตลาดสดฝูตัวตัว
เมื่อเห็นรถจี๊ปของฟางจั๋วหรานจอดอยู่ที่หน้าประตู เธอจึงรีบวิ่งไปหาอย่างมีความสุข
ฟางจั๋วหรานลงจากรถและพูดขึ้นทันที “อย่าวิ่งสิ เดี๋ยวก็หกล้มหรอก” ยังไม่ทันขาดคำ หลินม่ายก็สะดุดล้มลงพื้นอย่างสวยงาม
ฟางจั๋วหรานเดินไปหาอย่างยากลำบากและทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ ก่อนจะช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นและจับมือหญิงสาวพร้อมเดินไปที่รถด้วยกัน
หลังกลับถึงบ้าน ฟางจั๋วหรานนำถ้วยไข่ตุ๋นออกจากหม้อก่อนที่เขาจะมารับหลินม่ายพร้อมกับเกี๊ยวทอดจานเล็ก
ขณะที่หลินม่ายกำลังเพลิดเพลินกับอาหารมื้อค่ำอย่างมีความสุข ฟางจั๋วหรานก็ต้มน้ำสำหรับอาบให้เธอ
หลังจากที่หลินม่ายทานข้าวเย็นเสร็จ เธอจึงสามารถอาบน้ำได้ทันที
และหลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอตรงไปที่เตียงและผล็อยหลับไปแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน
วันนี้เธอเหนื่อยล้ามากจริงๆ
ในระหว่างการนอนหลับ เธอกลับรู้สึกว่าขาทั้งสองนั้นไม่ปวดและผ่อนคลายมาก
สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ ฟางจั๋วหรานช่วยบีบนวดขาของเธอในขณะที่เธอนอนหลับสนิท
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่หก และเป็นวันสุดท้ายของวันหยุดเทศกาลปีใหม่
วันนี้หิมะยังคงตกหนัก และเป็นวันที่ห้าของภัยพิบัติพายุหิมะ
ในที่สุดรัฐบาลก็มีแผนการตอบสนองต่อพายุหิมะ
ให้ร้านค้าธัญพืชและน้ำมันที่ดำเนินการโดยรัฐเปิดล่วงหน้า และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่ปล่อยให้ประชาชนหิวโดยในช่วงปีใหม่
ออกคำสั่งให้ฟาร์มผักที่ดำเนินการโดยรัฐจัดระเบียบกำลังคนและทรัพยากร ทำการจัดซื้อผลิตผลทางการเกษตรอย่างจริงจัง และรับประกันการแจกจ่ายปันส่วนแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง
หลินม่ายรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินข่าวทางวิทยุในตอนเช้า
ตลาดสดฝูตัวตัวของเธอสามารถดูแลพลเมืองของเขตนี้และบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น
ชาวปักกิ่งที่เหลือส่วนใหญ่ไม่สามารถมาตลาดสดของเธอเพื่อจับจ่ายใช้สอยได้ เนื่องจากหิมะตกหนักปกคลุมถนนจนรถสาธารณะต้องปิดการใช้งาน
แม้คนเหล่านั้นจะมาที่ตลาดสดของเธอเพื่อซื้อของ แต่ตลาดของเธอก็ไม่สามารถรองรับผู้คนจำนวนมากได้
การดูแลชาวปักกิ่งได้หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
นอกเหนือจากนั้นยังคงต้องพึ่งพารัฐบาลที่จะเข้ามาช่วยเหลือผู้คนในเมืองหลวงให้รอดพ้นจากภัยพิบัติพายุหิมะได้อย่างปลอดภัย
หลินม่ายมีความสุขที่ได้ยินข่าวว่ารัฐบาลเริ่มดำเนินการแล้ว แต่สีหน้าของซูอวี้อิ๋งกลับบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
เมื่อวานนี้ เดิมทีหล่อนและจี้เจี้ยนจวินวางแผนฉวยโอกาสจากสินค้าที่ขาดแคลนของตลาดสดฝูตัวตัว เพื่อสร้างโชคลาภให้แก่ตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงกว้านซื้อสินค้ามาจำนวนมาก
แต่ไม่คาดคิดว่าสินค้าของตลาดสดฝูตัวตัวจะมาถึงในช่วงบ่าย แล้วยังได้โฆษณาทางวิทยา ซึ่งดึงดูดลูกค้าได้ถึง 90% ในทันที
สินค้าของหลินม่ายนั้นคุณภาพดีและราคาถูก แล้วคนโง่ที่ไหนจะไม่ไปซื้อสินค้าที่ตลาดสดฝูตัวตัว
ยังเหลือลูกค้าอีก 10% ที่ไม่ได้ไปตลาดสดฝูตัวตัว อาจเป็นเพราะข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวหรือก็คือแก่ชรามากเกินกว่าที่จะออกมาข้างนอกได้
ดังนั้นจึงมีอาหารสดจากเมื่อวานที่เหลืออยู่มากมายในตลาดฮุ่ยหมินทั้งสองสาขา
โชคดีที่อุณหภูมิในช่วงภัยพิบัติพายุหิมะต่ำกว่าเมื่อก่อนมาก ผักและเนื้อสัตว์จึงไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อย่างนั้นมันคงกลายเป็นการสูญเสียอันหนักหนาสาหัส
หลังอาหารเช้า ซูอวี้อิ๋งไปที่ตลาดของหล่อนด้วยความหดหู่ใจ
หล่อนมาตลาดฮุ่ยหมินในเขตเจาหยางเป็นครั้งแรก และขอให้ผู้จัดการเฉียนลดราคาสินค้าทั้งหมดลงเหลือ 90% ก่อนขึ้นราคา
ผู้จัดการเฉียนไม่สามารถโต้แย้งเกี่ยวกับการตัดสินใจของหล่อนได้
แม้ว่าอาหารสดทั้งหมดในตลาดจะค้างคืน แต่ก็ไม่เลวร้าย และยังสามารถขายต่อไปได้
ตราบใดที่ไม่ได้ขายในราคาที่สูง ย่อยสามารถขายได้โดยไม่จำเป็นต้องลดราคาอย่างหนัก
สงสัยว่าสมองของเถ้าแก่เนี้ยคงจะมีปัญหาเสียแล้ว
หล่อนถูกขอร้องให้ทิ้งสินค้าที่เน่าเสียก่อนหน้า แต่หล่อนกลับปฏิเสธ ท้ายที่สุดจึงลงเอยด้วยการจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่ลูกค้าจำนวนมาก
ตอนนี้หล่อนยังต้องการลดราคาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า และเป็นการลดราคาโดยรวมของสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องไม่จำเป็นเลย
ผู้จัดการเฉียนลังเลที่จะพูด “ผมตรวจสอบของสดทั้งหมดในช่วงเช้า สินค้ายังไม่เน่าเสีย ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องลดราคามากเกินไป นอกจากนี้สินค้าบางชนิดยังคงขาดแคลน เช่น น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง และนมผง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลดราคาเนื่องจากยังอยู่ในอายุการเก็บรักษา”
ซูอวี้อิ๋งกลอกตาไปทางเขา “คุณจะไปรู้อะไร ตอนนี้รัฐบาลเริ่มออกมาเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อรัฐบาลเริ่มดำเนินการ ราคาสินค้าจะนิ่ง ถ้าขายราคาสูงกว่านี้ ใครจะยอมซื้อกัน?”
ผู้จัดการเฉียนอธิบาย “ผมไม่ได้บอกให้ขายในราคาสูง แต่เพียงคิดว่าการปรับราคาก่อนหน้าเป็นเรื่องปกติ และไม่จำเป็นต้องลดราคาให้ต่ำกว่าราคาก่อนหน้านี้”
แน่นอนว่ามีเหตุผลอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของซูอวี้อิ๋ง
เมื่อราคาขายสินค้าต่ำกว่าราคาของตลาดสดฝูตัวตัว มันจะช่วยดึงดูดลูกค้าบางส่วนให้กลับมา เพื่อไม่ให้ธุรกิจล่มจม
ในทางกลับกัน ทางรัฐบาลเมืองจะเล็งเห็นว่าตลาดฮุ่ยหมินตอบสนองต่อการเรียกร้องของรัฐบาลได้ดีเพียงใดในช่วงพายุหิมะ นอกจากไม่เพิ่มราคา แต่ยังลดราคาลงอีกด้วย สิ่งนี้จะสร้างความประทับใจอันดีแก่รัฐบาล และจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดฮุ่ยหมินในอนาคต
แต่ซูอวี้อิ๋งไม่ต้องการบอกผู้จัดการเฉียนถึงเรื่องยิบย่อยในใจเหล่านี้ ดังนั้นหล่อนจึงตอบอย่างเย็นชา “คุณไปเอาความคิดไร้สาระพวกนี้มาจากไหน แค่ทำในสิ่งที่ฉันพูดก็พอ”
ผู้จัดการเฉียนจึงหันหลังกลับเพื่อเปลี่ยนราคา
เขาครุ่นคิดกับตัวเอง ด้วยเถ้าแก่เนี้ยที่ป่วยทางจิต ตลาดฮุ่ยหมินอาจต้องปิดตัวลงในเร็ววัน และเขาต้องรีบเร่งหางานใหม่
ซูอวี้อิ๋งเฝ้าดูผู้จัดการเฉียนเปลี่ยนราคาสินค้าทั้งหมดในตลาดด้วยสายตาตัวเอง และวางแผนไปตลาดฮุ่ยหมินอีกสาขาเพื่อลดราคาสินค้าเช่นกัน
หลังจากราคาสินค้าของตลาดฮุ่ยหมินทั้งสองแห่งลดลงแล้ว หล่อนจะลงโฆษณาทางสถานีวิทยุของเมืองหลวงด้วย
ให้ประชาชนของเมืองหลวงได้รู้ว่าสินค้าทั้งหมดในตลาดฮุ่ยหมินนั้นราคาถูกกว่าตลาดสดฝูตัวตัว จากนั้นตลาดของหล่อนจะได้นับกระแสความนิยม
ในเวลานั้นเอง คนกลุ่มใหญ่ได้บุกเข้ามาในตลาด
คนกลุ่มนี้มีจำนวนอย่างน้อยสองถึงสามร้อยคน พวกเขาทั้งหมดล้วนมีท่าทางไม่เป็นมิตร และจะต้องไม่ใช่ลูกค้าอย่างแน่นอน
พนักงานหยุดกลุ่มคนไว้และถามว่า “พวกคุณกำลังจะทำอะไร?”
กลุ่มคนผลักพนักงานคนนั้นออกอย่างไม่ปรานี “หลบไปให้พ้น แล้วไปเรียกผู้จัดการมา!”
เมื่อเห็นแบบนั้น ผู้จัดการเฉียนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปถามว่า “คุณมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ?”
“ผักโรงเรือนที่ขายในตลาดของคุณมีส่วนประกอบของยาฆ่าแมลง ลูกชายของฉันถูกส่งไปรักษาในห้องผู้ป่วยหนัก! คุณจะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไง?”
ชายอายุราว 30 ปีคำรามด้วยความโกรธ ท่าทางน่าเกรงขามราวกับพร้อมจะก่อเรื่องทะเลาะวิวาททุกเมื่อ
ผู้จัดการเฉียนหน้าซีดด้วยความตกใจ
ถ้าชายคนนี้พูดความจริง ตลาดฮุ่ยหมินขายผักโรงเรือนไปมากมายตั้งแต่เมื่อวานซืนจนถึงเมื่อวานนี้ เช่นนั้นมีคนจำนวนมากได้รับยาฆ่าแมลงเข้าไป แล้วเขาจะทำอย่างไรดี?
ซูอวี้อิ๋งสวมรองเท้าบูตหนังก้าวเดินออกไปและกล่าวคำอย่างไร้ปรานี “ผักโรงเรือนไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง คุณกล่าวอ้างว่าถูกวางยาหลังกินผักโรงเรือนของเรา นั่นฟังดูไร้สาระชัดๆ หรือว่าคุณมาที่นี่เพียงเพื่อต้องการกล่าวหาเรากันแน่”
หล่อนคาดเดาอยู่ในใจว่าพวกเขาคงเป็นลูกค้าที่เคยร้องเรียนขอค่ารักษาอาการท้องร่วงคราวก่อน ด้วยความลำพองใจ ชายคนนี้จึงคิดมากล่าวหาหล่อนเพื่อเรียกร้องอีกครั้ง
กลุ่มคนที่มาด้วยกันล้วนได้ยินคำพูดของซูอวี้อิ๋ง พวกเขาโพล่งคำออกด้วยความโกรธ
“ใครกันแน่ที่พูดไร้สาระ ใครจะอยากมาที่นี่เพื่อกล่าวหาอย่างไม่มีหลักฐาน! เราส่งผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษไปยังโรงพยาบาล เมื่อแพทย์ทำการตรวจจึงพบว่า ในเลือดของเขามีปริมาณยาฆ่าแมลงสูง ดังนั้นจึงขอให้เราส่งผักที่บ้านมาเพื่อตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่าสารกำจัดศัตรูพืชในผักโรงเรือนของคุณเกินมาตรฐาน!”
ในตอนแรกพวกเขาก็ไม่เชื่อข้อมูลเหล่านี้
แต่เป็นเพราะครอบครัวไปส่งคนป่วยที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง และบังเอิญรู้ว่าในโรงพยาบาลรับคนไข้อาการเดียวกันนี้ไว้หลายรายแล้ว
ในตอนนั้นเองที่พวกเขาได้ถามไถ่และรู้ความจริง จากนั้นจึงรวมตัวกันมายังตลาดฮุ่ยหมินเพื่อร้องขอให้รับผิดชอบ
คุณแม่ยังสาวร้องไห้อย่างขมขื่น “ฉันซื้อมะเขือเทศจากตลาดของคุณ ทำไข่คนมะเขือเทศให้ลูกชายกิน ตอนนี้เขาต้องนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก หมอบอกว่าจำเป็นต้องฟอกเลือด แต่ครอบครัวเราไม่มีเงิน คุณจะต้องรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาพยาบาลลูกชายของฉัน ถ้าลูกชายของฉันเป็นอะไรไป ฉันจะฟ้องร้องคุณอย่างหนักแน่!”
ฐานะครอบครัวของแม่ยังสาวคนนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่เพราะเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่นี้ ลูกชายวัย 5 ขวบของหล่อนอยากกินไข่คนมะเขือเทศมาก
ดังนั้นหล่อนจึงไปตลาดฮุ่ยหมินเพื่อซื้อมะเขือเทศ แต่เพราะมะเขือเทศส่วนใหญ่ในตลาดฮุ่ยหมินมีราคาแพงเกินไป ด้วยราคา 8 เหมาต่อ 1 ชั่ง หล่อนจึงซื้อมาได้แค่ผลเดียว
จากนั้นหล่อนทำไข่คนใส่มะเขือเทศ 1 จาน ด้วยจำนวนที่ไม่มาก เหล่าผู้ใหญ่ในครอบครัวจึงลังเลที่จะกิน พวกเขาจึงปล่อยให้ลูกชายกินคนเดียว ต่อมาลูกชายกลับต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะได้รับยาฆ่าแมลง
ในเวลาเพียงหนึ่งวัน หล่อนหมดเงินไปกับค่ารักษาพยาบาลแล้วกว่าสองถึงสามพันหยวน
แต่ยังโชคดีที่สามีและสมาชิกในครอบครัวทำงานในหน่วยงานราชการและสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ครึ่งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหล่อนจะต้องจ่ายเงินมหาศาล
แต่ถึงกระนั้นค่ารักษาพยาบาลส่วนใหญ่ก็ต้องยืมมาจากญาติและเพื่อน
แพทย์บอกว่า การรักษาในภายหลังจะมีค่าใช้จ่าย 3,000 หยวน
ครอบครัวของหล่อนไม่สามารถหยิบยืมเงินจากคนอื่นได้อีกต่อไป และหล่อนไม่เหลืออะไรแล้ว
แต่เมื่อนึกถึงลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ชีวิตของเขายังคงแขวนอยู่บนเส้นด้ายเพราะไม่มีค่ารักษาพยาบาล นั่นยิ่งทำให้หล่อนใจสลาย
เมื่อคุณแม่ยังสาวร้องไห้คร่ำครวญ หัวใจของทุกคนต่างก็ปั่นป่วน
ทุกคนเร่งรีบกดดันให้ซูอวี้อิ๋งรับผิดชอบ
ยาฆ่าแมลงบนผักโรงเรือนไม่ใช่ฝีมือซูอวี้อิ๋ง แน่นอนว่าหล่อนไม่ยอมรับและบอกให้คนเหล่านั้นไปทวงถามความรับผิดชอบจากชาวบ้านในเมืองหูลู่แทน
ผักโรงเรือนในตลาดล้วนเป็นผักโรงเรือนที่ชาวบ้านนำมาขายให้ ดังนั้นยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในผักจะต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขา
แม้ว่าคำพูดของซูอวี้อิ๋งจะไม่มีสิ่งใดผิด แต่ด้วยทัศนคติค่อนข้างแย่ของหล่อน จึงทำให้ฝูงชนไม่พอใจ
กลุ่มคนไม่สนใจสิ่งใดอีก พวกเขาพุ่งตัวเข้าไปทุบตีหล่อนจนล้มลงกับพื้น
ผู้จัดการเฉียนและพนักงานพยายามเข้าช่วยเหลือ แต่ก็ถูกซ้อมจนใบหน้าบวมเป่ง
ท้ายที่สุดลูกค้าบางคนทนไม่ไหวจนไปแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึง คนกลุ่มนี้จึงยอมเลิกทุบตีซูอวี้อิ๋งและคนอื่นๆ
แต่ซูอวี้อิ๋งถูกฝูงชนทุบตีร่างกายบอบช้ำ จนแม้แต่พ่อแม่ก็จำหล่อนไม่ได้อีกแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ซวยแล้วไงล่ะ รับมาขายส่งๆ แบบไม่รับผิดชอบอะไรเลยแบบนี้ก็เจ๊งสิ เสียเงินไม่พอยังโดนทุบเสียโฉมด้วย
ไหหม่า(海馬)