ปริศนาอันน่าสะพรึงกลัวฝังรากลงไปในใจของทุกคน บรรดาลูกศิษย์ของตระกูลหนีที่เดิมทีเคยคิดอยากกระโจนเข้าใส่อัญมณีเหล่านั้น มาตอนนี้กลับหวาดกลัวเกินกว่าจะก้าวไปข้างหน้า
แต่การจะเข้าไปให้ถึงส่วนลึกของสุสานหลวง ย่อมหมายความว่าพวกเขาต้องผ่านสถานที่แห่งนี้ไปให้ได้!
สีหน้าของหนีเปียวดูไม่สู้ดีนัก เขาหันหน้าไปทางหนีเฟิ่งด้วยหวังว่านางจะสามารถแก้ปัญหาให้กับพวกเขาได้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็จ้องมองไปที่หนีเฟิ่งเช่นกัน นับตั้งแต่ตอนที่คุณหนูคนโตของตระกูลหนีสร้างความประทับใจให้กับพวกเขาในระหว่างการเลือกเส้นทางเมื่อครั้งก่อน พวกเขาก็เชื่อว่านางย่อมรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
พวกเขาไม่รู้เลยว่าหนีเฟิ่งแนะนำให้พวกเขาเดินเข้าประตูทางทิศใต้เพราะบังเอิญได้ยินสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด
คราวนี้เมื่อไม่มีใครให้ข้อมูลที่นางสามารถนำมาอ้างอิงได้ หนีเฟิ่งจึงไม่สามารถอนุมานคำตอบที่มีประโยชน์ให้กับพวกเขาได้
ยิ่งพวกเขาจ้องนางมากเท่าใด หนีเฟิ่งก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากเท่านั้น นางไม่เคยต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้มาก่อนในชีวิต นางรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังจะเอ่อท้นออกมาจากดวงตา แต่นางก็ฝืนกลั้นมันเอาไว้เงียบๆ และไม่พูดอะไร
เมื่อหนีหู่เห็นดังนี้ เขาก็รีบเดินออกมาปกป้องตระกูลของตัวเองอย่างรวดเร็ว ”อย่ามองพี่สาวของข้าเช่นนี้ นางจะรู้สึกอึดอัดจนคิดอะไรไม่ออกเอาได้ อีกอย่าง พี่สาวของข้าก็เป็นคนเสนอทางออกให้พวกเรามาตลอดทาง นางคงเหนื่อยอย่างแน่นอน” ระหว่างที่พูด หนีหู่ก็เหลือบมองไปทางหนีเฟิ่ง แล้วพูดกับนางว่า ”พี่หญิง ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายขึ้นมาอีก พวกเราพักกันก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
หนีเฟิ่งรู้ว่าสิ่งที่จะปกป้องนางได้ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือเรื่องที่นางมีร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นนางจึงยกนิ้วขึ้นวางแนบบนหน้าผากตัวเอง แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
หนีหู่สั่งให้คนหาที่นั่งให้หนีเฟิ่งทันทีโดยไม่ลังเล จากนั้นเขาจึงบอกกับบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายว่า ”ให้พี่หญิงของข้าได้พักผ่อนก่อนเถิด สถานการณ์นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก พี่หญิงของข้าจำเป็นต้องการเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อหาทางออก”
คำพูของหนีหู่ทำให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตระหนักถึงความทุ่มเทของหนีเฟิ่งตลอดการเดินทางที่ผ่านมาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า ”สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือสุขภาพของคุณหนูหนี ทุกอย่างย่อมรอได้เสมอ”
“ใช่แล้ว สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พวกเราพักกันที่นี่ก่อนก็แล้วกัน” บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายพูดพร้อมกับนั่งลง
จากนั้นพวกเขาก็เห็นร่างของคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงทางเข้าที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา
คนคนนั้นคือจูเก่ออวิ๋น!
เขายื่นแขนออกมาข้างหน้าเหมือนกำลังเดินท่ามกลางความมืด มิหนำซ้ำที่ดวงตาของเขายังมีผ้าปิดตาเอาไว้อีกด้วย!
แต่คนที่ทำตัวแปลกๆ ไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียว เพราะคนที่อยู่ข้างหลังเขาต่างก็ทำเช่นนั้นเหมือนกันหมด
“พี่อวิ๋น ท่านทำอะไรอยู่หรือ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตื่นตัวต่างจากตอนแรก พวกเขาระมัดระวังตัวมากขึ้นเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติ
ทันทีที่ได้ยินคนเรียก ’พี่อวิ๋น’ หนีเปียวก็สะดุ้งเหมือนคนถูกไฟฟ้าช็อต เขาหันกลับไปอย่างรวดเร็ว!
เขามองคนแปดคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเห็นผี
เป็นไปได้อย่างไร?!
คนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ยืนอยู่ไกลออกไปนึกไม่ถึงว่าเขาจะได้เห็นกลุ่มของเฮ่อเหลียนเวยเวยอีก!
ในใจเขาคิดว่าคนเหล่านี้น่าจะถูกขังอยู่ในทางเดินอันไร้จุดสิ้นสุด แต่เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะตามหลังเขามาติดๆ จนถึงชั้นสองได้เช่นนี้?!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?! เจ้าบอกว่าเจ้าเอายันต์ของพวกเขามาหมดแล้วมิใช่หรือ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ และมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?! หนีเปียวถามลูกน้องของตัวเองผ่านทางสายตา
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้ ทันใดนั้นภาพของหนีเปียวที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ก็พลันแล่นเข้ามาในสมองของเขาอีกครั้ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่าเหมือนคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง เพราะเขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เดินออกมาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!
ยันต์ของพวกเขายังอยู่ในย่ามของเขาอยู่เลยด้วยซ้ำ พวกเขาไม่น่าจะมาถึงที่นี่โดยไร้รอยขีดข่วนได้!
เขาถึงกับปลอมตัวให้ยากจะสังเกตเห็นเพื่อแฝงตัวเข้าไปในนั้น และอาศัยความสามารถของตัวเองค้นย่ามของพวกเขาตอนที่พวกเขาไม่ทันระวังตัว
นอกจากคนจากต่างเมืองสองคนนั้นที่ไม่ได้พกย่ามมาด้วยแล้ว เขาก็ค้นข้าวของของทุกคนจนครบ มิหนำซ้ำเขายังมั่นใจอีกด้วยว่าสองคนนั้นไม่ได้พกยันต์มาด้วย!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตื่นตระหนก เขาไม่สามารถส่ายหน้าให้หนีเปียวได้เพราะต้องทำตัวให้เป็นความลับ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาทำได้จึงมีแค่สื่อสารผ่านทางสายตาเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั้น จูเก่ออวิ๋นที่ได้ยินเสียงเรียกก็ดึงผ้าปิดตาออกทันที รอยยิ้มโล่งอกปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขา ”พวกเราทำได้แล้วขอรับ! พี่เว่ย พวกเราออกมาได้แล้ว!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่อีกด้านหนึ่งถอดผ้าปิดตาออกนานแล้ว นางถอดมันออกก่อนจูเก่ออวิ๋นเสียอีก แต่ไม่ใช่เพราะว่านางได้ยินเสียงก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะนางรู้สึกได้ถึงแสงสว่างรำไร และตระหนักได้ว่าพวกเขาอยู่ไม่ห่างจากทางออกเท่าใดนักนั่นเอง
มนุษย์มีความสามารถไม่จำกัด ตราบใดที่ใครสักคนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แม้จะไม่ลืมตา เขาก็สามารถรับรู้ถึงแหล่งกำเนิดแสงได้
หลังจากได้ยินสิ่งที่จูเก่ออวิ๋นพูด ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็รู้สึกสงสัย ”เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า ’พวกเจ้าออกมาได้แล้ว’ พี่อวิ๋น เสี่ยวหลิง ผ้าที่อยู่บนหน้าพวกเจ้านี้มีไว้เพื่อการใดหรือ”
ก่อนที่จูเก่ออวิ๋นจะทันได้อ้าปากพูด เสี่ยวหลิงก็กระโดดขึ้นตอบด้วยความตื่นเต้นว่า ”พี่เว่ยสั่งให้พวกเราสวมมันไว้ หลังจากเข้าไปในอุโมงค์พวกเราก็เดินหลงเป็นวงกลมกันอยู่หลายรอบ มิหนำซ้ำยันต์ของพวกเราก็ยังถูกใครบางคนขโมยไปด้วย ดังนั้น…”
“เจ้าว่าอะไรนะ ยันต์ถูกขโมยหรือ แล้วพวกเจ้าเอาตัวรอดออกมาได้อย่างไร!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายขัดขึ้นโดยไม่รอให้เสี่ยวหลิงได้พูดจบ
เสี่ยวหลิงชี้ไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ”พี่เว่ยคิดวิธีการพิเศษขึ้นมา เขาให้พวกเราใช้ผ้าผืนนี้ปิดตาเอาไว้ แล้วจึงค่อยเดินต่อ”
“ปิดตาแล้วเดินต่อหรือ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่เคยได้ยินวิธีการเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงเผยรอยยิ้มสงสัยออกมา
หนีหู่เยาะขึ้นและจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชา ”เจ้าเดินออกมาจากอุโมงค์ทั้งอย่างนั้นน่ะหรือ เจ้าพยายามหลอกใครอยู่กันแน่”
เสี่ยวหลิงยังเด็ก ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงหลังจากถูกพวกเขาล้อ แต่น้ำเสียงของเขากลับยังหนักแน่น ”ตอนที่พวกท่านเห็นพวกเราเดินออกมาจากอุโมงค์ ตาของพวกเราต่างก็มีผ้าปิดไว้นี่ นอกจากนั้นที่มือของพวกเราก็ยังมีเชือกแดงชุบเลือดสุนัขผูกไว้อีกด้วย เราใช้วิธีนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ปราณหยินเข้ามาในร่างได้ ทุกอย่างนี้ล้วนแต่เป็นความคิดของพี่เว่ย”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมา
เพราะนั่นเป็นความจริง พวกเขาเป็นพยานได้ว่าตัวเองเห็นคนพวกนี้เดินปิดตาออกมาจากที่นั่น ตอนแรกนั้นพวกเขายังคิดเลยด้วยซ้ำว่าคนพวกนี้กุเรื่องอะไรขึ้นมาหรือเปล่า
แต่ตอนนี้เมื่อลองคิดดูให้ดี พวกเขาก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความประหลาดใจ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นคนที่คิดวิธีนี้ขึ้นมาได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก!
ในสถานการณ์ปกตินั้น การจะเดินออกมาจากภาพมายาอันเกิดขึ้นจากการเดินหลงเป็นวงกลมโดยไม่ใช้ยันต์ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้
แต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนั้น คนแซ่เว่ยกลับสามารถทำลายอาคมลงได้อย่างไร้ที่ติ!
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายถึงกับตกตะลึง!
แต่เห็นได้ชัดว่าหนีหู่ไม่เชื่อเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยราวกับถากถางว่า ”เช่นนั้นเจ้าช่วยบอกข้าทีสิว่าการปิดตาช่วยแก้ปัญหาการเดินหลงเป็นวงกลมนี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีเรื่องพื้นฐานอันใดสามารถพิสูจน์เหตุผลที่เจ้าว่ามาได้”
ต่อให้เจ้าจะเอาตัวรอดออกมาได้ แต่ก็ไม่มีเรื่องพื้นฐานอันใดจะช่วยสนับสนุนทฤษฎีของเจ้าได้ พวกเจ้าออกมาได้ก็เพราะโชคช่วยต่างหาก เจ้ากล้าท้าทายความภาคภูมิใจของตระกูลหนีได้อย่างไร
เขาอยากเห็นนักว่าพวกเขาจะหาทางเอาตัวรอดจากคำถามนี้ไปได้อย่างไร