ตอนที่ 764 สัมภาษณ์เด็กชายผู้ป่วย
ตามเบาะแสที่ซูอวี้อิ๋งให้ไว้ ตำรวจได้เรียกตัวชาวบ้านหลายคนในเมืองหูลู่มาสอบปากคำ
แต่ไม่มีใครยอมรับว่ามีสารกำจัดศัตรูพืชในผักเรือนกระจกของพวกเขา
ตำรวจไม่ใช่คนไร้ปัญญา พวกเขาเก็บตัวอย่างผักเรือนกระจกทั้งหมดจากทุกครัวเรือนทันทีและนำกลับไปทดสอบ
ผู้ต้องสงสัยถูกระบุอย่างรวดเร็ว
ผู้คนทั้งหมดยี่สิบถึงสามสิบคนในหมู่บ้านต่างฉีดพ่นยาฆ่าแมลงบนผักในโรงเรือนของพวกเขา
เกษตรกรหลายสิบคนเหล่านี้ถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจ ซึ่งพวกเขาได้สารภาพถึงแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรม
เมื่อเกษตรกรหลายสิบคนเห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงขึ้น พวกเขาต่างเสียใจและร้องไห้อย่างขมขื่น
หลักฐานชี้แจงโดยละเอียดว่า พวกเขาจงใจฉีดพ่นยาฆ่าแมลงบนผักเรือนกระจก เพราะพวกเขาต้องการแก้แค้นความไร้ยางอายของซูอวี้อิ๋ง
พวกเขาต้องการสร้างปัญหาให้กับซูอวี้อิ๋ง เพราะหลังจากที่ลูกค้าได้รับพิษจากการรับประทานผักในเรือนกระจกที่มียาฆ่าแมลง หล่อนก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกต่อไป
หากซูอวี้อิ๋งไม่ส่งคนไปกระตุ้นให้พวกเขาครอบครองผักเรือนกระจกของหลินม่ายและขายให้หล่อนในราคาถูก ชีวิตของพวกเขาก็คงไม่ดำเนินมาจนถึงจุดนี้
สิ่งที่น่าเกลียดคือหลังจากที่ชื่อเสียงของซูอวี้อิ๋งเสื่อมเสียก็ไม่มีใครซื้อผักเรือนกระจกของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงถูกซูอวี้อิ๋งกดราคา
หากสภาพอากาศดีและซูอวี้อิ๋งทำเช่นนี้ พวกเขาก็คงจะยอมรับ
แต่ภายใต้หิมะที่ตกหนักเช่นนี้ ซูอวี้อิ๋งยังคงซื้อผักเรือนกระจกของพวกเขาในราคาที่ต่ำลงและต่ำลงในทุกวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจยอมรับได้อีกต่อไป
เกษตรกรไร้ยางอายหลายสิบคนมีฐานะปานกลาง และมีคนมากกว่าสามร้อยคนได้รับผลกระทบจากการกินผักเรือนกระจกของพวกเขา
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเป็นเด็กทั้งหมดหลายสิบราย และรายอื่น ๆ เป็นผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง
เด็กที่ป่วยหนักเกือบทั้งหมดหลายสิบคนได้รับพิษจากการกินไข่คนกับมะเขือเทศ
ไข่คนกับมะเขือเทศมีรสหวานอมเปรี้ยว เด็ก ๆ หลายคนจึงชอบกินมัน
หากให้เกษตรกรเหล่านั้นจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้ป่วยหลายสิบรายเหล่านี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจรับผิดชอบได้
สุดท้ายสื่อก็รายงานเหตุการณ์และเรียกร้องให้สังคมบริจาคเงินเพื่อเด็กหลายสิบคนนั้น
หลินม่ายอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน จึงเห็นข่าวนี้ด้วย
เธอชื่นชมเกษตรกรไร้ยางอายหลายสิบคนที่กล้าพ่นยาฆ่าแมลงใส่ผักในเรือนกระจกของตนเอง
พวกเขาโง่เขลาถึงกับไม่คิดถึงผลที่ตามมาของการกระทำนั้น พวกเขาคงไม่เคยคิดว่าหากทำให้ใครสักคนต้องเสียชีวิต พวกเขาเองก็จะต้องติดคุก
แต่ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของพวกเขาเอง ไม่ว่าหลินม่ายจะมีความเมตตามากเพียงใด ก็ไม่คิดเห็นใจพวกเขา
เธอจะเห็นใจเด็กที่นอนอยู่ในหอผู้ป่วยหนักเท่านั้น
เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นกับพวกเขาได้อย่างไร? พวกเขาเพียงกินไข่คนกับมะเขือเทศโดยไม่คาดคิดมาก่อนว่าชีวิตของตัวเองจะต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้
แม้ว่าเด็กเหล่านั้นจะได้รับพิษและทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน แต่ก็สามารถล้างพิษและฟื้นฟูสุขภาพได้ด้วยการฟอกเลือดและการล้างไต
แน่นอนว่ายิ่งรักษาได้รวดเร็วเท่าไร ความรุนแรงของอาการก็จะลดน้อยลงเท่านั้น
มิฉะนั้นจะเป็นเรื่องอันตรายได้หากกลายเป็นไตวายเรื้อรัง
หลินม่ายบริจาคเงินห้าพันหยวนให้กับเด็กที่ป่วยหนักแต่ละคนในนามของสำนักงานใหญ่โดยไม่ลังเล
แม้จะมีเด็กที่ป่วยหนักหลายสิบคน แต่ก็มีค่าใช้จ่ายห้าพันหยวนต่อคน ซึ่งรวมกันเป็นเงินหลายแสนหยวน
แม้สำหรับทรราชท้องถิ่น เงินจำนวนนี้จะเป็นเงินจำนวนมาก แต่สำหรับหลินม่าย เงินจำนวนนี้แทบไม่มีค่าเลย
เธอทำเงินได้มากมายในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อไม่นานมานี้ และเธอก็สามารถใช้เงินจำนวนเล็กน้อยเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ เหล่านี้โดยปราศจากแรงกดดัน
พ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นรู้สึกขอบคุณและอยากจะคุกเข่าลงเพื่อกราบกรานเธอ ทว่าพวกเขาก็ถูกเธอขัดขวางเอาไว้
เธอช่วยชีวิตเด็กเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง แต่เพราะความเมตตาของเธอ
หลินม่ายออกค่ารักษาพยาบาลให้เด็กวิกฤตทั้งหมดในคราวเดียว เป็นเหตุให้สื่อมากมายมารุมสัมภาษณ์เธอ
หลินม่ายไม่ต้องการให้สัมภาษณ์สื่อทุกสำนัก เธอไม่มีเวลามากพอที่จะเสียไปในการสัมภาษณ์ เธอต้องร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีอาหารเพียงพอสำหรับชาวปักกิ่ง
ดังนั้นจึงยอมให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CCTV เท่านั้น
เธอไม่ได้พูดเกินจริง การแสดงความเมตตาของเธอนั้นยิ่งใหญ่มาก
เธอถือคติที่ว่า หากเธอทำเงินจากสังคมได้ ก็ต้องให้อะไรกลับคืนสู่สังคมด้วย
คืนนั้นสถานีโทรทัศน์ CCTV ก็ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของหลินม่าย
การที่เธอพูดเรื่อง ‘การคืนกำไรสู่สังคม’ ทำให้นักเรียนหลายคนตกใจ พวกเขาจดคำนี้ลงในสมุดบันทึกขนาดเล็กอย่างเงียบงัน ราวกับจะจดจำไว้เป็นคติประจำใจ
ชื่อเสียงของหลินม่ายแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
แม้รัฐบาลจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในกรุงปักกิ่งจากภัยพิบัติหิมะ แต่อุปทานในเมืองหลวงก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากหิมะที่ตกหนักปิดกั้นถนน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำ
หากพวกเขามีระบบการจัดการที่ดีเช่นเดียวกับที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ทศวรรษครั้งหน้ ปรากฏการณ์ของอุปทานไม่เพียงพอในเมืองหลวงก็คงได้รับการแก้ไขไปนานแล้ว
กล่าวได้ว่า ระบบราชการในยุคนี้ยังคงไม่มีเสถียรภาพมากนัก
ดังนั้นหลินม่ายจึงไม่กล้าพักผ่อนและจัดคนจำนวนมากเพื่อขนส่งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่าง ๆ จากทั่วประเทศมายังเมืองหลวงอย่างต่อเนื่อง
ในวันที่สิบของเดือนจันทรคติที่หนึ่ง นมผงสิบตัน เนื้อวัวและเนื้อแกะที่ซื้อมาจากชายแดนซูโจวก็มาถึงนครฉือเจียจวง
สิ่งของเหล่านี้ถูกขนส่งจากฉือเจียจวงไปยังเมืองหลวงโดยรถบรรทุก ซึ่งในที่สุดก็ช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนนมผงในเมืองหลวงได้อย่างมาก
สองวันผ่านไปในพริบตา หิมะตกหนักไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
คนงานได้เสร็จสิ้นวันหยุดเทศกาลปีใหม่และกลับไปทำงานตามปกติ
สิ่งแรกที่พวกเขาทำเมื่อไปทำงานคือการกวาดหิมะบนถนนและในโรงงาน
หิมะโปรยปรายมากมายจนเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลไม่สามารถทำความสะอาดได้ ต้องอาศัยความช่วยเหลือของคนงานในโรงงานและประชาชน
แต่ถึงแม้ผู้คนเกือบทั้งหมดจะลงมือทำ แต่ก็ยังมีหิมะอยู่บนถนนจำนวนมาก
หิมะบางส่วนได้ก่อตัวเป็นชั้นน้ำแข็งบนถนน จนทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับผู้คนเดินถนนจำนวนมาก
เช้าที่ผ่านมา ชายชราและหญิงหลายคนถูกหามส่งโรงพยาบาลระหว่างทางไปตลาดฝูตัวตัว
ในหมู่พวกเขามีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งถือไม้ค้ำล้มลงและสลบไปในจุดนั้น
เขาถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลโหย่วเหอซึ่งใกล้ที่สุดโดยผู้คนที่เดินผ่านไปมา และหลังจากการตรวจร่างกายก็พบว่าเขามีเลือดออกในกะโหลกศีรษะ
หากไม่ได้รับการผ่าตัดในทันทีก็จะเสียชีวิตหรือพิการกลายเป็นผักได้
สถานการณ์รุนแรงและเร่งด่วนอย่างมาก เขาจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยทันที แต่การผ่าตัดกะโหลกต้องใช้ศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์
หัวหน้าโรงพยาบาลจึงแต่งตั้งให้ฟางจั๋วหรานเป็นผู้รับผิดชอบ
ฟางจั๋วหรานทำงานสำเร็จและดึงชายชราผู้นี้กลับมาจากประตูนรกได้
เหตุการณ์นี้แพร่หลายในหมู่คนทั่วไป และอีกสองวันต่อมา ก็มีคนมาแจ้งข่าวให้สื่อทราบ
ผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งและหนังสือพิมพ์หลายฉบับไปยังโรงพยาบาลเพื่อสัมภาษณ์
ระหว่างที่ฟางจั๋วหรานตรวจคนไข้ เขาเห็นยายแก่ของเด็กชายพิการนั่งร้องไห้อยู่หน้าเตียงในโรงพยาบาล
หลังจากซักถามก็ได้รู้ว่าเด็กชายพิการมาจากครอบครัวที่ยากจนและไม่สามารถจ่ายค่ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้
คุณยายร้องไห้อย่างขมขื่นเพราะกลัวโรงพยาบาลจะสั่งลดยาของหลาน
หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เขาก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับเด็กน้อยคนนี้
เขาจงใจกลับไปยังวอร์ดพร้อมบอกหญิงชราและเด็กชายพิการอย่างเงียบงันว่า พวกเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลอีกต่อไป เพราะเขาจ่ายแล้ว
ทั้งยายและหลานรู้สึกซาบซึ้งจนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร
เมื่อฟางจั๋วหรานกำลังจะจากไป กลุ่มนักข่าวรีบเข้ามา
นักข่าวสาวคนหนึ่งเข้ามาสัมภาษณ์เด็กชายพิการ
เธอถามเขาว่าทำไมเขาถึงเลือกไปยังตลาดฝูตัวตัวในวันที่หิมะตก ทั้งที่เขาขาพิการ
ฟางจั๋วหรานชำเลืองมองนักข่าวด้วยท่าทางสับสน นักข่าวสมัยนี้ไร้สมองหรืออย่างไรถึงได้ถามคำถามปัญญาอ่อนแบบนั้น?
เขาพูดไม่ออก
เด็กชายพิการยังรู้สึกว่าคำถามของนักข่าวดูราวกับคนไร้ปัญญา
แต่เขาก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมา “อาหารและผักสดที่บ้านของผมหมดแล้ว ผมต้องไปตลาดฝูตัวตัว เพื่อซื้อแป้งหนึ่งถุงและผักกาดขาวสองสามหัวครับ”
นักข่าวถามต่อ “ไม่มีร้านน้ำมันและผลผลิตทางการเกษตรหรือตลาดของรัฐใกล้บ้านหนูเลยเหรอ? หนูต้องเดินทางไกลขนาดนี้เพื่อมาซื้อธัญพืช น้ำมัน และผักกาดขาวปลีเหรอ? ตลาดและร้านค้าที่ดำเนินการโดยรัฐมีราคาที่วางแผนไว้ ไม่แพงกว่าธัญพืช น้ำมัน และผักกาดขาวที่ตลาดฝูตัวตัวนะ”
สมาชิกในครอบครัวหลายคนของผู้ป่วยในวอร์ดเดียวกันไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
“ต่อให้ธัญพืช น้ำมัน และผักกาดขาวในตลาดหรือร้านค้าของรัฐจะมีราคาเท่ากับตลาดฝูตัวตัว แต่เมล็ดข้าวและเมล็ดพืชของรัฐล้วนเน่าเสีย อีกทั้งผักกาดขาวในฟาร์มผักของรัฐก็เหี่ยวเฉา ธัญพืชและน้ำมันในตลาดฝูตัวตัวคือของสดใหม่ เช่นเดียวกับผักกาดขาว ในฐานะคนธรรมดา ทุกคนจะเลือกซื้อธัญพืช น้ำมัน และผักกาดขาวที่ตลาดฝูตัวตัว
นักข่าวสาวได้ยินว่าสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยคนอื่นต่างกล่าวหาว่าหล่อนไร้ปัญญาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
หล่อนกลอกตาและสัมภาษณ์เด็กชายพิการต่อไป “ละแวกบ้านหนูไม่มีตลาดฮุ่ยหมินเหรอ? แม้ว่าธัญพืชและน้ำมันที่ขายจะเก่า แต่ราคาก็ถูกกว่าร้านขายธัญพืชและน้ำมันของรัฐและตลาดฝูตัวตัว ฉันได้ยินมาว่าผักนั้นมาจากชานเมืองของเมืองหลวง สดและสะอาดมาก ราคาก็ถูกกว่าตลาดฝูตัวตัว ทำไมหนูไม่ไปซื้อธัญพืช น้ำมัน และผักกาดขาวที่ตลาดฮุ่ยหมินล่ะ?”
สมาชิกครอบครัวของผู้ป่วยในวอร์ดเดียวกันโห่ร้องทันทีที่ได้ยินคำถามของหล่อน
คนเหล่านั้นกลอกตาพลางดูถูกเหยียดหยาม “ตลาดฮุ่ยหมินลดราคาลงหลังจากเห็นการแทรกแซงของรัฐบาลเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา เมื่อก่อนรัฐบาลไม่ได้จริงจังในการตรวจสอบเช่นเดียวกับทุกวันนี้ พวกเขาก็ขายสินค้าในราคาสูง ราวกับกำลังต้องการรีดไถเรา ไม่ว่าตลาดฮุ่ยหมินจะราคาถูกแค่ไหน ฉันก็จะไม่ไปซื้อของที่นั่นอีกต่อไป ฉันไม่พึงพอใจกับตลาดแห่งนั้น!”
นักข่าวคนอื่น ๆ ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ของของพวกเขาแพงแค่ไหนคะ?”
นักข่าวเหล่านี้รู้เพียงว่าตลาดฮุ่ยหมินขายผักเรือนกระจกที่มียาฆ่าแมลงปนเปื้อน แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตลาดฮุ่ยหมินขายผักราคาสูงเกินกว่าที่ราคาตลาดกำหนด
สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยเหล่านั้นได้บอกราคาของธัญพืช น้ำมัน และสินค้าเกษตรมากมายในตลาดฮุ่ยหมินให้พวกเขาฟัง
บรรดานักข่าวต่างก็ตกตะลึง “ตลาดฮุ่ยหมินจะขายแพงขนาดนั้นได้อย่างไร และกล้าดียังไงถึงขายแพงขนาดนี้ นี่คือการโก่งราคา หากบอกผู้บังคับบัญชาให้รู้พวกเขาต้องติดคุกแน่ เรื่องนี้… ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง”
สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยกลอกตาพร้อมกัน “หากคุณไม่เชื่อก็ไปสืบด้วยตัวเอง แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่เราบอกนั้นจริงหรือเท็จ”
สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยคนหนึ่งพูดด้วยความเย้ยหยัน “ปลาและเนื้อสัตว์ที่กำลังจะหมดอายุก็ถูกนำมาขายในตลาดฮุ่ยหมิน ซึ่งคนกลุ่มใหญ่ก็ต่างต้องเจ็บป่วยและเข้าโรงพยาบาลเพราะกินมัน ต่อมาพวกเขาก็ขายผักเรือนกระจกที่มียาฆ่าแมลง และคนกลุ่มใหญ่ก็ป่วยจากการกินมัน ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำไม่ได้ ด้วยความใจดำแล้วไร้มนุษยธรรมของพวกเขา ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาขายของในราคาสูงแม้จะเกิดภัยพิบัติ”
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 การแพร่กระจายของข่าวสารมักจะไม่ทั่วถึงนัก
หากไม่มีผู้ใดร้องเรียนหรือรายงานไปยังสำนัก นักข่าวส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เรื่อง
ผู้สื่อข่าวเหล่านี้ไม่เคยรู้ถึงเรื่องอื้อฉาวที่สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยเหล่านี้กล่าวถึงมาก่อนเลย พวกเขาจึงไม่เคยรู้ว่าตลาดฮุ่ยหมินจะขายของบูดเน่าให้กับผู้บริโภค
เมื่อพวกเขาออกมาจากโรงพยาบาล นักข่าวเหล่านั้นก็ร่วมกันตรวจสอบว่าข่าวลือของตลาดฮุ่ยหมินว่าเป็นความจริงหรือไม่
นักข่าวสาวคนหนึ่งบอกว่าหล่อนรู้สึกไม่ค่อยสบายนักจึงขอหยุดการสืบสวนและกลับไปก่อน
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นักข่าวคนสุดท้ายแปลกๆ นะ สายของยัยอวี้อิ๋งเหรอ
ไหหม่า(海馬)