ตอนที่ 766 พ่อลูกคุยกันกลางดึก
เมื่อมาถึงวอร์ดที่เด็กชายอยู่ หลินม่ายวางสิ่งของลงและถามเขาว่ามีค่ารักษาพยาบาลเพียงพอหรือไม่
คุณย่าของเด็กชายลดเสียงลงพลางตอบกลับ “มีคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เราแล้วค่ะ”
หลินม่ายครุ่นคิดกับตัวเอง โลกนี้ยังมีคนร่ำรวยและมีจิตใจเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ และไม่ใช่ว่าคนรวยทุกคนจะโหดเหี้ยมเสมอไป
เธอไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนจ่ายค่าพยาบาลของเด็กชาย ขณะเดียวกันนั้นฟางจั๋วหรานก็เดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มแพทย์ฝึกหัด
สามีภรรยาบังเอิญเจอกัน ฟางจั๋วหรานถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
หลินม่านชี้ไปที่เด็กชายบนเตียงของโรงพยาบาล “ฉันมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเขาค่ะ”
ฟางจั๋วหรานรู้ได้ทันทีว่าภรรยาตัวน้อยกำลังทำความดีอีกครั้ง เขาจึงไม่พูดอะไรมาก และเริ่มทำการตรวจร่างกายของผู้ป่วย
หลังจากตรวจเสร็จ เขาก็เดินออกไปพร้อมกับกลุ่มแพทย์ฝึกหัด
คุณย่าของเด็กชายถามหลินม่ายอย่างสงสัย “คุณรู้จักคุณหมอคนนั้นด้วยหรือคะ?”
หลินม่ายพยักหน้า “เขาเป็นสามีของฉันเองค่ะ”
หญิงชราตกตะลึงเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อม “คุณทั้งสองเป็นคนจิตใจประเสริฐนัก คนที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลของเราก็คือคนของคุณนั่นเอง”
หลินม่ายเห็นว่าชายหนุ่มและคุณย่าของเขากำลังลำบาก เธอจึงสั่งอาหารให้พวกเขาที่โรงพยาบาลก่อนจากไป
เด็กชายล้มลงขณะที่มาซื้อธัญพืช น้ำมัน และผักกาดขาวจากตลาดสดฝูตัวตัว
หลินม่ายกลัวว่าครอบครัวของเขาจะขาดแคลนอาหาร เธอจึงส่งคนให้นำแป้ง 100 ชั่ง ข้าว 100 ชั่ง น้ำมันพืช 10 ขวด หมูสามชั้น 3 ชั่ง และผักกาดขาว 10 หัวไปยังบ้านของพวกเขา
คุณปู่ น้องชาย และน้องสาวของเด็กชายถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง
หลินม่ายตกใจหลังได้รู้ข้อเท็จจริงว่า เด็กชายพิการผู้ยากไร้ได้รับบาดเจ็บสาหัสบนท้องถนน เพราะเขาต้องมาตลาดสดฝูตัวตัวเพื่อซื้อของด้วยตัวเอง
เมืองหลวงนั้นใหญ่โตมาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กชายพิการคนนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
นอกจากนี้ยังมีคนชราที่ยากไร้มากมาย แต่เนื่องจากความเจ็บป่วยและความสามารถในการเคลื่อนไหวยามเมื่อแก่ตัวลง พวกเขาจึงต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากมากกว่าคนทั่วไปในภัยพิบัติพายุหิมะครั้งนี้
กลุ่มพิเศษประเภทนี้อาจต้องการมาที่ตลาดสดฝูตัวตัวเพื่อซื้อของราคาถูกและคุณภาพดี
แต่พวกเขาไม่ได้แข็งแรงและมีความกล้าเท่ากับเด็กชายพิการที่สามารถเดินทางไกลได้
พวกเขาคือคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดในภัยพิบัติพายุหิมะครั้งนี้
แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันมีความสามารถจำกัด ถึงกระนั้นพวกเขาก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วในการดูแลประชาชนกว่า 90% ให้รอดพ้นจากพายุหิมะอย่างปลอดภัย
หากต้องดูแลกลุ่มคนเป็นพิเศษทีละกลุ่ม พูดกันตามตรงแล้ว สำหรับยุคสมัยนี้ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก
แต่ในทศวรรษต่อมา รัฐบาลไม่เคยทอดทิ้งกลุ่มพิเศษเหล่านี้ และให้ความสำคัญกับการปกป้องชีวิตของพวกเขามาโดยตลอด
ดังนั้นประเทศจึงต้องร่ำรวยและมีอำนาจมากพอที่จะดูแลประชาชนได้
ตอนนี้รัฐบาลไม่เข้มแข็งพอ คนธรรมดาๆ ที่มีความสามารถบางอย่างจึงต้องเข้าช่วยเหลือรัฐบาล
หลินม่ายป่าวประกาศในข่าวค่ำปักกิ่ง
คัดเลือกผู้พิการที่ยากจน ผู้สูงอายุที่ยากจน ผู้ป่วยหนักที่ยากจน ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจำนวน 3,000 ครัวเรือน
ครอบครัวเหล่านี้สามารถขอรับเงินอุดหนุนฟรีจากตลาดสดฝูตัวตัวสำหรับน้ำมันพืช 5 ขวด แป้ง 50 ชั่ง ผักกาดขาว 5 หัว หัวไชเท้า 5 หัว และเนื้อแกะ 2 ชั่ง
แม่ถ่าน่าจากมองโกเลียสั่งซื้อเนื้อแกะจำนวนมากให้หลินม่าย
ด้วยเนื้อแกะจำนวนมาก หลินม่ายจึงสามารถส่งเนื้อ 2 ชั่งให้แก่แต่ละครัวเรือนที่ยากจนเหล่านั้น
ตรงกันข้ามเธอไม่สามารถซื้อเนื้อหมูราคาถูกได้เพราะหายาก
นอกจากนี้ สำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุทุกคนที่อาศัยอยู่ตามลำพังในเมืองหลวง ตลาดสดฝูตัวตัวจะให้บริการจัดส่งถึงหน้าบ้านฟรีในช่วงที่มีพายุหิมะ
สำหรับผู้ให้บริการจัดส่งถึงบ้าน หลินม่ายไม่ได้ตั้งใจจะใช้เงินจ้างวาน แต่ประกาศหาอาสาสมัครโดยตรง
สิ่งที่ประเทศจีนไม่เคยขาดแคลนเลยคือเยาวชนเลือดร้อน หลินม่ายไม่เชื่อว่าตัวเองจะไม่สามารถหาอาสาสมัครกลุ่มหนึ่งได้
ในคืนนั้น สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งได้ออกอากาศเนื้อหาที่นักข่าวของสถานีที่สัมภาษณ์เด็กชายพิการในวอร์ดผู้ป่วย ตลอดจนเผยแพร่ภาพการเยี่ยมเยียนอย่างเปิดเผยและไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการตรวจสอบของเถื่อนในตลาดฮุ่ยหมิน
โทรทัศน์มีอิทธิพลมากกว่าหนังสือพิมพ์
เมื่อเนื้อหาของการสัมภาษณ์นี้ออกอากาศ โทรศัพท์ของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งก็ดังเกือบทั้งคืน
มันเป็นสายของประชาชนในเมืองหลวงที่เรียกร้องให้มีการลงโทษอย่างรุนแรงต่อตลาดฮุ่ยหมิน
ประชาชนบางคนรายงานว่าธัญพืช น้ำมัน และเนื้อหมูที่ขายในตลาดฮุ่ยหมินนั้นดูไม่เหมือนว่าซื้อมาเอง แต่มาจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
หลักฐานคือธัญพืชทั้งหมดที่ขายในตลาดเป็นข้าวและบะหมี่เก่า ซึ่งเหมือนกับของที่ขายในร้านค้าของรัฐ
หากเป็นเมล็ดข้าวที่ซื้อมาเอง พวกเขาจะรับซื้อข้าวเก่าได้อย่างไร?
นอกจากนี้ยังมีเนื้อหมู ซึ่งเป็นหมูแช่แข็งทั้งหมด และมันก็เหมือนกับเนื้อแช่แข็งที่ขายในตลาดสดของรัฐ
หมูมีชีวิตที่ตลาดหาซื้อมาเองควรวางขายเป็นเนื้อสด
(เพื่อความชัดเจน ก่อนปี 1990 ตลาดที่ดำเนินการโดยรัฐจัดหาเนื้อหมูแช่แข็งเท่านั้น ร้านค้าขายข้าวและน้ำมันของรัฐล้วนจัดหาข้าวเก่าเป็นหลัก ข้าวใหม่ก็มีอยู่บ้าง แต่น้อยมาก และราคาแพงกว่าข้าวเก่า ไม่มีทางที่รัฐจะซื้อ ซึ่งเป็นลักษณะการทำงานของยุคนั้น)
เหล่าพลเมืองที่กระตือรือร้นเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายของตลาดฮุ่ยหมินต่างรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หลินม่ายยังแสร้งทำเป็นพลเมืองคนหนึ่งรายงานการเผยแพร่ข่าวเท็จของซูอวี้อิ๋งเกี่ยวกับข้อบังคับในเขตชานเมืองของเมืองหลวงในช่วงภัยพิบัติแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับเรื่องที่ซูอวี้อิ๋งไม่อนุญาตให้โรงงานนมของรัฐขายนมผงแก่ตลาดสดฝูตัวตัว หลินม่ายตัดสินใจไม่รายงาน
แม้รายงานจะไม่ถูกนำมาเปิดเผย แต่มันเป็นเรื่องง่ายที่ผู้คนจะคาดเดาว่าตลาดสดฝูตัวตัวเป็นคนรายงาน
นอกจากตลาดสดฝูตัวตัวแล้ว ใครจะรู้เรื่องนี้และต้องการรายงานอีก?
แม้หลินม่ายต้องการส่งซูอวี้อิ๋งผู้ฝ่าฝืนกฎหมายและละเมิดวินัยเข้าคุก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องการเปิดเผยตัวตนให้คนอื่นรู้
สำหรับการรายงานเกี่ยวกับข้อบังคับเท็จที่ซูอวี้อิ๋งกุเรื่องขึ้นมา หลินม่ายไม่กลัวว่าคนอื่นจะคาดเดาว่าเป็นเธอทำ
บรรดาเกษตรกรที่ถูกหลอกและขายผลผลิตทางการเกษตรให้ซูอวี้อิ๋งในราคาต่ำล้วนต้องการรายงานเรื่องนี้
ในชั่วข้ามคืน ตลาดฮุ่ยหมินก็มีชื่อเสียงฉาวโฉ่
ยามดึกสงัด หลินม่ายนอนหลับสนิทในอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน
ในบางครั้งคล้ายกับเธอกำลังฝันจนพร่ำเพ้อออกมาเล็กน้อยไม่ต่างจากลูกแมวร้อง
ฟางจั๋วหรานเต็มไปด้วยความรักใคร่เมื่อได้ยินเสียงของเธอ และจูบหน้าผากของเธอขณะที่ยังคงหลับใหล
ในเวลาเดียวกัน ซูอวี้อิ๋งกลับกระวนกระวายเหมือนมดบนกระทะร้อน หล่อนโทรหาผู้เป็นพ่อ “คุณพ่อคะ เราควรทำยังไงดี? ลูกพี่ลูกน้องที่ทำงานในสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งบอกว่า มีประชาชนจำนวนมากรายงานฟ้องฉัน บางคนเริ่มสงสัยถึงแหล่งที่มาของข้าว น้ำมัน และเนื้อหมูของฉันแล้ว นอกจากนี้ยังมีเกษตรกรที่รายงานว่า ฉันป่าวประกาศคำสั่งเท็จของรัฐบาลเพื่อซื้อสินค้าเกษตรราคาต่ำในช่วงหิมะตกหนัก ฉันขอร้องล่ะ รีบหาทางจัดการคนพวกนี้ซะ ไม่งั้นฉันต้องติดคุกแน่!”
ทางปลายสายของโทรศัพท์ พ่อซูหยิบบุหรี่ขึ้นมาดูดอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกดบุหรี่ที่ยังดูดไม่เสร็จลงในจานเขี่ยบุหรี่
เขาตอบกลับอย่างไม่พอใจว่า “แล้วใครให้แกแอบอ้างว่าเป็นคำสั่งการจากรัฐบาลล่ะ? แกรนหาที่ตายเอง แล้วจะให้ฉันช่วยได้ยังไง! ฉันจะบอกให้ว่า ต่อให้คุณปู่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เรื่องใหญ่แบบนี้ตัวเขาก็จัดการไม่ได้หรอก!”
ตอนนี้เขาโกรธลูกสาวของตัวเองมาก หล่อนละเมิดกฎหมายเกินไป ขึ้นราคามากเกินไป แล้วยังแอบอ้างว่าเป็นคำสั่งจากรัฐบาล และยังปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้เขารู้!
ซูอวี้อิ๋งทำผิดกฎหมาย มันไม่ใช่สิ่งที่พ่อซูจะยอมรับได้
โดยอาศัยอิทธิพลของพ่อซู หล่อนกระทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อรังแกผู้อื่น
หล่อนไม่เคยได้รับบทเรียน ขณะเหล่าผู้ที่ถูกหล่อนรังแกทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ
ความลำพองใจของหล่อนมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทีละเล็กละน้อย
กระทั่งซูอวี้อิ๋งมาถึงจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และต้องเป็นเรื่องที่พ่อซูต้องรับผิดชอบ
น่าเสียดายที่พ่อซูมองไม่เห็นความผิดพลาดที่เขาทำ และเห็นเพียงความผิดพลาดของซูอวี้อิ๋งเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าซูอวี้อิ๋งตั้งใจปกปิดความจริงกับพ่อซูเรื่องคำสั่งเท็จ แต่เพราะหล่อนไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้และหลงลืมมันไปนานแล้ว
หล่อนพูดอย่างกระวนกระวายใจ “แล้วฉันจะทำยังไงดี? ถ้าฉันต้องติดคุกขึ้นมาล่ะจะทำยังไง?”
พ่อซูขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน “งั้นแกหาแพะรับบาปได้ไหม ถ้าหาแพะรับบาปได้ ให้แพะรับบาปรับความผิดของแกไป”
ซูอวี้อิ๋งลังเล “ฉันจะหาแพะรับบาปจากที่ไหน มีแค่หุ้นส่วนอยู่คนเดียว”
“ใครคือหุ้นส่วนคนนั้น?”
“เขาคือจี้เจี้ยนจวินจากครอบครัวลุงจี้ค่ะ”
พ่อซูนิ่งเงียบไป
พ่อของจี้เจี้ยนจวินรู้เกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายและระเบียบวินัยมากเกินไป
หากต้องผลักดันลูกชายสุดที่รักของเขาเพื่อเป็นแพะรับบาป พ่อจี้จะต้องเปิดโปงพวกเขาอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นานพ่อซูก็พูดว่า “บริจาคผลกำไรทั้งหมดจากตลาดฮุ่ยหมินของแกไปซะ”
“อะไรนะคะ?” ซูอวี้อิ๋งสงสัยว่าหล่อนได้ยินผิดไป
เหตุผลที่หล่อนต้องการเปิดตลาดฮุ่ยหมิน เป็นเพราะเห็นว่าตลาดสดฝูตัวตัวของหลินม่ายทำกำไรได้มาก
และหล่อนต้องการหาเงินจากส่วนนี้ เพื่อให้ฉางเจียเหว่ยสามีของหล่อนและพ่อแม่สามีนับถือในตัวหล่อน
เปลี่ยนความคิดของพวกเขาที่มองหล่อนเป็นขยะ ได้ร่ำเรียนต่อถึงต่างประเทศแต่กลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย หล่อนจึงต้องการแสดงไหวพริบในการทำธุรกิจและให้พวกเขาเห็นว่าหล่อนสร้างรายได้ด้วยตัวเอง
แต่ปัญหาก็คือ หล่อนทำเงินได้ไม่มากนักจากการเปิดตลาดฮุ่ยหมิน แล้วหล่อนจะนำเงินจากไหนไปบริจาค?
เมื่อเห็นว่าซูอวี้อิ๋งลังเลใจ พ่อซูคิดว่าหล่อนไม่เต็มใจนำเงินไปบริจาค จึงพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “ถ้าแกไม่อยากนำเงินไปบริจาค งั้นแกก็ควรติดคุก”
ซูอวี้อิ๋งยอมพูดอย่างจนใจ “ฉันไม่ได้ทำเงินได้มากมาย เพียงแค่หลักหมื่นเท่านั้น”
พ่อซูตกตะลึง
เขาตกลงที่จะให้ซูอวี้อิ๋งเปิดตลาดในตอนแรก เพราะเขาแอบสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับตลาดสดฝูตัวตัว
ตลาดสดฝูตัวตัวสามารถสร้างรายได้มากกว่า 100,000 หยวนต่อเดือน
ลูกสาวของเขาไม่ได้ลำบากในการเปิดตลาดและทำธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว แต่หล่อนกลับมีรายได้เพียงหลักหมื่นหยวนเท่านั้น
การทำเงินด้วยการเปิดตลาดสดนั้นเป็นเรื่องง่าย ตราบใดที่มีการติดราคาไว้ชัดเจนและเป็นสินค้าคุณภาพดี แล้วใครเล่าที่จะไม่ซื้อ
ท้ายที่สุดแล้วในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่มีเพียงตลาดฮุ่ยหมินและตลาดสดฝูตัวตัว ไม่จำเป็นต้องใช้ตั๋วเพื่อซื้อสินค้าเลย
แม้สินค้าจะมีราคาแพงกว่าร้านค้าและตลาดของรัฐ แต่ตราบใดที่คุณภาพสินค้าดี ประชาชนจำนวนมากที่พอมีฐานะย่อมยินดีที่จะไปจับจ่ายใช้สอย
ธุรกิจที่แสนง่ายและสะดวกสบายเช่นนี้ ลูกสาวของเขากลับไม่สามารถทำเงินได้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ได้ว่าลูกสาวของเขาไม่มีหัวคิดในการทำธุรกิจเลย
พ่อซูถอนหายใจ “บริจาคไปเท่าที่มี”
จนถึงตอนนี้ ซูอวี้อิ๋งทำได้เพียงเชื่อฟังคำแนะนำของผู้เป็นพ่อ
หล่อนพูดในสิ่งที่ตนเองคาดเดา “คุณพ่อ เป็นไปได้ไหมว่านังแพศยาหลินม่ายจะเป็นคนสั่งให้พนักงานรายงานเรื่องของฉัน?”
พ่อซูขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “อย่าไปเรียกขานคนอื่นด้วยถ้อยคำหยาบคาย หัดให้เกียรติคนอื่นบ้าง เข้าใจไหม? คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวง กำแพงมีหูประตูมีช่อง ถ้าสิ่งที่แกเพิ่งพูดไปถึงหูปู่ฟางและย่าฟาง จนทำให้พวกเขาเก็บกวาดตระกูลซูทั้งหมด มันจะเป็นยิ่งกว่าหายนะ แกโตมาตั้งขนาดนี้แล้วยังไม่หัดระวังคำพูดคำจาของตัวเองอีก! นอกจากนี้ ถ้าแกไม่ทำเรื่องแย่ๆ ใส่คนอื่นก่อน แล้วคนอื่นเขาจะทำแบบนี้กับแกได้ยังไง”
พ่อซูสั่งสอนบทเรียนให้กับซูอวี้อิ๋งและวางสายโทรศัพท์ไป
ซูอวี้อิ๋งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวางสายโทรศัพท์อย่างไม่พอใจ แต่ทันใดนั้นหล่อนก็พบว่าฉางเจียเหว่ยยืนอยู่ที่ประตูห้องขณะมองหล่อนด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ใบหน้าของซูอวี้อิ๋งซีดเผือด ฉางเจียเหว่ยจะต้องได้ยินบทสนทนาทุกอย่างที่หล่อนพูดกับพ่อซูก่อนหน้านี้
ซูอวี้อิ๋งกำลังคิดหาคำพูดแก้ตัวในใจ เพื่ออธิบายเรื่องราวและปกปิดพฤติกรรมที่ตนทำผิดกฎหมาย แต่ฉางเจียเหว่ยพูดขึ้นก่อนว่า “พรุ่งนี้เช้าเราไปที่สำนักงานเขตเพื่อดำเนินตามขั้นตอนการหย่าร้างเถอะ”
ซูอวี้อิ๋งตะลึงงัน หล่อนต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะฟื้นคืนกลับมาได้สติพลางขอร้องว่า “เจียเหว่ย ได้โปรดอย่าจดทะเบียนหย่ากับฉันเลย”
ฉางเจียเหว่ยเย้ยหยัน “คุณทำเรื่องผิดกฎหมายมากมาย ถ้าผมไม่หย่ากับคุณ คุณคงจะลากผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยใช่ไหม?”
ซูอวี้อิ๋งรีบพูดขึ้น “คุณพ่อของฉันบอกว่า ตราบใดที่ฉันบริจาคเงินทั้งหมดที่ได้รับจากการเปิดตลาด ทุกอย่างจะไม่เป็นไร ฉันจะไม่รบกวนคุณหรือดึงคุณเข้ามายุ่งเกี่ยว อย่าหย่าร้างกับฉันเลย ได้โปรด ฉันขอร้องล่ะ”
ฉางเจียเหว่ยไม่พูดอะไร เพียงมองหล่อนอย่างสงสัย
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ทำผิดไปกี่กระทงล่ะเนี่ย เงินบริจาคจะชดใช้กับความผิดที่เธอทำได้เหรอ
มาดูกันค่ะว่าซูอวี้อิ๋งจะรอดหรือจะร่วง
ไหหม่า(海馬)