แต่ที่จริง สำหรับคู่ต่อสู้ของนางแล้ว เกมเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ยิ่งท่านพ่อและน้องชายของนางดูถูกจูเก่ออวิ๋นมากเท่าใด สุดท้ายพวกเขาก็จะยิ่งต้องอับอายขายหน้ามากเท่านั้น
คนแซ่เว่ยผู้นี้ตั้งใจที่จะถลกหนังของนางอย่างแท้จริง นางไม่คิดที่จะปล่อยให้นางและตระกูลหนีได้กอบกู้ศักดิ์ศรีเลยด้วยซ้ำ
ช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายจริงๆ!
หนีเฟิ่งเป็นคนฉลาด นางจึงสามารถเข้าใจคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ไม่ยาก
หนีเปียวละเอียดรอบคอบ ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปาก เขาก็รู้ว่าครั้งนี้พวกเขาถูกจับได้อย่างคาหนังคาเขา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่เคยมีใครไล่ต้อนพวกเขาจนจนมุมเช่นนี้เลยสักครั้งเดียว
แม้กระทั่งบุตรสาวสุดที่รักของเขาก็ยังถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
หนีเปียวรู้สึกได้เพียงความเจ็บแสบบนใบหน้าของตัวเอง แต่เขาก็ไม่สามารถเอ่ยตอบโต้คำพูดตัดสินนั้นได้
“สรุปก็คือพวกเขาทำทุกอย่างเพียงเพื่อชื่อเสียงหรือ เรื่องนี้นี่มัน…” มีหลายคนส่ายหน้าด้วยความผิดหวังพร้อมกับพูดว่า ”เสียชื่อพระชายายิ่งนัก นางขโมยความคิดของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง แม้กระทั่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอย่างพวกเราก็ยังไม่เคยคิดที่จะทำเรื่องพรรค์นั้นเลยด้วยซ้ำ!”
แม้เสียงกระซิบกระซาบนั้นจะเบามาก แต่คำพูดทุกคำกลับยังชัดเจนพอให้ทุกคนได้ยิน
จูเก่ออวิ๋นหายใจเข้า ลึกลงไปในใจของเขา ความรู้สึกขมขื่นจากเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น
เขาเกือบล้มเลิกความคิดที่จะปกป้องตัวเองไปเสียแล้ว
เพราะเขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไร คำพูดของเขาก็ไม่อาจมีอำนาจไปกว่าอิทธิพลของตระกูลหนีได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่ขโมยความคิดเหล่านั้นไปคือคุณหนูคนโตของตระกูลหนี ที่มีชื่อเป็นถึงพระชายา
เขาเริ่มถอดใจไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่คนคนนั้นกลับสามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้
จูเก่ออวิ๋นหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความตื่นเต้น
เขาตัดสินใจแล้ว
พระชายาอยู่ไกลเกินกว่าเขาจะเอื้อมถึง
เขาอาจจะไม่มีวันได้พบกับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้น คนที่เขาเคารพบูชาอย่างที่สุด
แต่พี่เว่ยนั้นต่างออกไป นอกจากนั้นเขายังยืนอยู่ตรงหน้าของเขาอีกด้วย
จากนี้เป็นต้นไป เป้าหมายของเขาคือการเป็นให้ได้อย่างพี่เว่ย
จิตใจของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความชื่นชม
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความกดดันมหาศาลที่อยู่บนไหล่ได้
ที่จริงแล้ว ถ้าจูเก่ออวิ๋นไม่ได้เอ่ยความปรารถนาของเขาออกมา นางก็คงจะเพิกเฉยต่อเรื่องของหนีเฟิ่ง
จุดประสงค์ของนางในการเข้ามาในสุสานหลวงนั้นง่ายมาก นั่นก็คือการค้นหาพระสรีระ และกำจัดพลังปีศาจออกไปจากลูกของนาง
แต่คนบางคนก็โง่เขลาจนเกินไป
นางสามารถทนให้คนอื่นเลียนแบบและปลอมเป็นนางได้ แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำอยู่กลับไร้ยางอายเสียนี่กระไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเย้ยหยัน สายตาเย็นชาของนางมองไปยังบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ตระกูลหนีอยู่
ในฐานะคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากพระชายามาก่อน ผู้เฒ่าหลี่จึงไม่สามารถทนมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ได้อีกต่อไป เขายืนขึ้นพร้อมกับงอหลัง แล้วพูดว่า ”จะต้องมีการเข้าใจผิดบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน น้องเว่ย ข้ารู้จักพระชายาดี ถ้าตอนนั้นนางไม่ได้สื่อสารกับข้าผ่านทางความฝัน ป่านนี้คนทั้งหมู่บ้านของข้าคงได้ตายไปนานแล้ว คนที่ใจดีมีเมตตาถึงเพียงนั้นย่อมไม่มีวันขโมยความดีความชอบไปจากผลงานของคนอื่นหรอก…”
เมื่อเห็นผู้เฒ่าหลี่เข้าข้างพวกเขา หนีหู่ก็รีบกล่าวสมทบว่า ”ผู้เฒ่าหลี่พูดถูก จะต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่! พี่เว่ย ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เจ้าเอาแต่พยายามหาวิธีทำให้พี่สาวของข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง และยังวางกับดักให้นางมาติดกับอีกด้วย! แต่เจ้ากลับไม่บอกพวกเราเสียทีว่าสิ่งมีชีวิตตัวที่เจ้าพูดถึงอยู่นี้คือตัวอะไรกันแน่ ข้าคนหนึ่งล่ะที่ไม่เคยได้ยินว่าจะมีตัวอะไรสามารถลากคนออกไปได้โดยไม่มีใครเห็น! ข้าเดิมพันเลยว่าเจ้าเองก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นตัวอะไร และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าพยายามทำให้ทุกคนสนใจแต่เรื่องการเลือกประตูจนไม่สนใจเรื่องนี้ เจ้ากลัวล่ะสิว่าพวกเขาจะตั้งคำถามกับเจ้าถ้าพวกเขาเกิดสนใจมันขึ้นมา!”
หนีหู่คาดเดาว่าเป็นเช่นนั้นเพราะเขาได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยบอกว่าในเวลานั้นนางยังนึกคำตอบไม่ออก
ในเมื่อตอนนั้นนางยังนึกไม่ออก ตอนนี้ก็น่าจะยังเป็นเช่นเดิม เพราะอย่างไรเวลาก็เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
หนีหู่พูดต่อ ”โชคดีจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของผู้เฒ่าหลี่ พี่สาวข้าก็คงกลายเป็นแพะรับบาปของเจ้า สิ่งที่อยู่บนศพพวกนั้นก็เป็นเพียงแค่สิ่งไร้ค่า มันไม่ได้มีค่ามีราคาอะไรด้วยซ้ำ เจ้าบอกว่ามันแข็งแกร่งกว่าเชือกที่มนุษย์เราใช้กันหรือ อย่าพูดเกินจริงไปหน่อยเลย เจ้าบอกว่ามันสามารถจับเหยื่อได้ในทันที และยังสามารถมัดพวกเขาได้อย่างแน่นหนาด้วยหรือ ไร้สาระสิ้นดี หึ มันมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้ามีจริง ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยเล่า”
หลังจากพูดจบ หนีหู่ก็หัวเราะเยาะเย้ย แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง
น้ำเสียงเยือกเย็นของเฮ่อเหลียนเวยเวยดังขึ้นขัดเสียงอันดังของเขา ”สติปัญญาอย่างเจ้า ถ้าเคยได้ยินสิแปลก”
“เจ้า!” เส้นเลือดของหนีหู่ปรากฏขึ้นบนหน้าผากพร้อมกับนิ้วที่กำแน่นเข้าหากันทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปหาหนีหู่ ดวงตาของนางเย็นชายิ่งกว่าครั้งใดในขณะที่กล่าวว่า ”ตระกูลหนีทำผิดต่อพวกเราก่อน พี่สาวของเจ้าขโมยความคิดของคนอื่นไปเป็นของตัวเองอย่างไร้ยางอายมันไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครจะเป็นแพะรับบาปของใครเลยด้วยซ้ำ และประการที่สอง เพียงเพราะว่าเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ก็ใช่ว่าทุกคนจะโง่เง่าเหมือนอย่างเจ้าไปเสียทั้งหมด!”
“เหอะ เอาแต่พูดจาไร้สาระอีกแล้ว อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถโจมตีตระกูลหนีเช่นนี้ได้…”
“ใยแมงมุม” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบทอย่างช้าๆ โดยไม่รอให้หนีหู่ได้พูดจบ ”ต่อให้เจ้าจะเป็นคนสมองทึบเพียงใด แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าก็น่าจะรู้ว่าใยแมงมุมมีคุณลักษณะเป็นเช่นใด มันเหนียวและมีความยืดหยุ่น ดังนั้นเวลาที่มีเหยื่อตกลงไป เหยื่อพวกนั้นก็จะติดอยู่ในนั้นทันที แม้จะไม่มีจุดที่มีใยติดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ศพของพวกเขาก็มีร่องรอยของใยแมงมุมอยู่ นายน้อยหนีไม่เห็นว่ามันสำคัญได้อย่างไร”
“ข้า…” หนีหู่เหมือนกับถูกต่อยเข้าที่กลางใบหน้า เขาไม่เคยคิดเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะระบุชนิดของใยที่ตรงกับคำอธิบายของตัวเองได้
ใยแมงมุมหรือ
เขาต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าทุกคนเพราะเรื่องธรรมดาสามัญเช่นนี้น่ะหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาราวกับเย้ยหยัน แล้วจึงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม ”ถ้าตัวการของเรื่องนี้เป็นแมงมุม มันย่อมสามารถซ่อนตัวอยู่หลังประตูทางทิศตะวันออกได้ สิ่งที่มันต้องทำก็คือการพ่นใยออกมามัดศพทั้งสอง แล้วรีบลากพวกเขาออกไปตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย หนีหู่ก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดกำลังถูกสูบหายไปจากร่าง
เขารู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนที่อยู่ตรงหน้าเขาฉลาดถึงเพียงนี้ได้อย่างไร แทบไม่มีอะไรสามารถรอดพ้นจากสายตาของคนคนนี้ไปได้เลย
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ไม่ใช่แค่หนีหู่ แต่แม้กระทั่งหนีเปียวก็ยังเริ่มสงสัยในการตัดสินของตัวเองที่มีต่อคนคนนี้เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่มีพลังวิญญาณ คนคนนี้ไม่ใช่คนนอก แต่ความจริงแล้วเขาเป็นยอดฝีมือ และยังเก่งกาจพอที่จะเป็นภัยคุกคามต่อตระกูลหนีได้อีกด้วย!
หนีเปียวหลุบตาลงราวกับมีอะไรบางอย่างสร้างความปั่นป่วนอยู่ในดวงตาของเขา ไม่มีใครสังเกตเห็นกลิ่นอายแห่งความมืดที่วิ่งพล่านอยู่ภายในนั้น
เงาสีดำขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในสุสานหลวงมองดูภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจก มันยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า ”นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนคิดออกว่านั่นเป็นฝีมือข้า! แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าคนพวกนี้ก็คงไม่รอดอยู่ดี! ตัวหัวหน้าพลาดท่าแล้วเช่นนี้ พวกมันย่อมจบไม่สวยอย่างแน่นอน รีบฆ่ากันได้แล้ว!”
แล้วจากนั้น มันก็จะได้มีโอกาสลิ้มรสชาติอันยากจะลืมเลือนของทารกในครรภ์ที่ทั้งสดใหม่และอ่อนนุ่มนั่นเสียที…