ในห้องส่งเงียบลงเรื่อยๆ
ด้านหลังเวที
นักร้องมีสีหน้าเคร่งขรึม
มีคนกัดริมฝีปากเบาๆ
นักประพันธ์เพลงมีแววตานิ่งสงบ
พวกเขาทั้งหมดอยู่ในเพลงนี้
ท่อนคอรัสยังไม่ทันได้เริ่มต้น ความรู้สึกอบอุ่นระคนกับความขมขื่นบางเบายังคงอยู่ในก้นบึ้งในจิตในของทุกคน
ทันใดนั้น
เฟ่ยหยางเพิ่มระดับเสียงขึ้น
อารมณ์เพลงดังขึ้น อารมณ์อันเข้มข้นปะทุขึ้นเป็นครั้งแรก
โอ้เวลาช่วยช้าลงหน่อย”
ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ไปมากกว่านี้เลย
ขอให้ทุกสิ่งของฉันแลกกับวันเวลาของคุณ
พ่อที่ยืนหยัดเข้มแข็ง
ฉันทำอะไรเพื่อคุณได้บ้าง
โปรดรับการดูแลที่ไม่มีวันตอบแทนได้หมด…
เสียงเพลงดังกระหึ่ม
วงดนตรีเล่นอย่างทุ่มเท
ภาพพ่อของบนเตียงในโรงพยาบาลราวกับจะปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของเฟยหยาง
ในวันนั้น
เขาปอกแอปเปิ้ลให้พ่อ
เมื่อพ่อเคี้ยวอย่างยากลำบาก เขาถึงได้ตระหนักว่า ฟันของพ่อนั้นไม่แข็งแรงเสียแล้ว
แอปเปิ้ลแข็งเช่นนี้
พ่อกินไม่ไหวแล้ว
เขาจึงปอกส้มให้พ่อ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพ่อใส่กลีบส้มเข้าปากและกินอย่างมีความสุข
พ่อบอกว่า “หวานกว่าที่ปลูกไว้ที่บ้าน”
ตอนนั้น ในใจของเฟ่ยหยางรู้สึกขมขื่น
ขมเสียยิ่งกว่าผลส้มซึ่งยังไม่สุกเต็มที่
ในเวลานั้น เขาจ้องมองไปยังพ่อของเขา
เขาเห็นเส้นผมสีขาวที่จอนหูของพ่อ
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า
พ่อผู้ซึ่งเคยสูงใหญ่แข็งแรงเหมือนเขาจะ…
ชราแล้ว
ขอบตาของเขาแดงก่ำ
……
ไม่เพียงเฟ่ยหยาง
นักร้องด้านหลังก็ลอบปาดน้ำตาเช่นเดียวกัน
ทุกคนต่างส่งกระดาษทิชชู่ให้กัน
มีคนแสร้งทำเป็นเช็ดน้ำมูก ทว่าแท้จริงแล้วกำลังเช็ดน้ำตา
ต่อให้เป็นนักประพันธ์เพลงซึ่งมีท่าทีเคร่งขรึมมาโดยตลอด ขณะนี้ยังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างอดไม่ได้
ในห้องห้องหนึ่ง
อิ่นตงเงยหน้าขึ้น ราวกับหวนนึกถึงความทรงจำบางอย่าง
เขายังคงมีใบหน้าซึ่งเป็นอัมพาต แต่ในแววตาของเขาปรากฏความขุ่นมัว
ห้องถัดไป
เยี่ยจือชิวถอนหายใจยาว ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา เพียงแต่หยิบโทรศัพท์ออกมา มองไปยังภาพซึ่งไม่มีความกล้าพอที่จะเปิดดูมาเป็นเวลานาน
พ่อของเขาจากไปเมื่อหลายปีก่อน
ในช่วงเวลาที่เขายังไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ทำไมเขาถึงขี้ขลาดจนไม่กล้าแม้แต่เขียนเพลงเกี่ยวกับพ่อด้วยซ้ำ
สมญานามว่าพ่อเพลง มีประโยชน์อย่างไร
ในห้องถัดไปอีก
หยางจงหมิงมีสีหน้านิ่งประหนึ่งเป็นเพียงรูปสลัก เพียงแต่แววตาของเขาสูญเสียสมาธิไป
บางทีผู้หญิงอาจอ่อนไหวมากกว่า
เจิ้งจิงซึ่งอยู่ในห้องรับรองเดียวกับหยางจงหมิง สองมือยกขึ้นปิดใบหน้า ทว่าน้ำตายังคงไหลออกมาจากช่องว่างระหว่างนิ้วของเขา
ความรู้สึกลึกซึ้งจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้
นักประพันธ์เพลงส่วนมากอายุไม่ใช่น้อย
พ่อของพวกเขาถ้าไม่จากโลกนี้ไปแล้ว ก็อยู่ในวัยโรยรา
วันเวลามักยุติธรรม แต่ก็โหดร้ายสำหรับมนุษย์เสมอ
เพลงนี้ทำให้ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับความเสียใจ
……
ด้านล่างเวที
เสียงสะอึกสะอึ้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
บนหน้าจอ
ในที่สุดคอมเมนต์ก็กลับมาอีกครั้ง ด้วยในรูปแบบที่กระหน่ำยิ่งกว่าเดิม!
‘ฉันคิดถึงพ่อขึ้นมาเลย’
‘ฟังจนร้องไห้’
‘จุกอกมาก’
‘ฉันยอมให้เซี่ยนอวี๋ทำอะไรแปลกๆ ต่อไป ดีกว่ามาทำให้ฉันร้องไห้ฉ่ำแบบนี้’
‘พ่อผมเป็นมะเร็ง ช่วงนี้เพิ่งหยุดงาน แล้วไปอยู่กับพ่อทุกวัน ที่ผ่านมาไม่เคยร้องไห้เลย ตอนนี้กลับทนไม่ไหวแล้ว’
‘เซี่ยนอวี๋ทำเกินไปจริงๆ ทำให้พวกเราหัวเราะมาสามเวที แต่เวทีนี้กลับทำให้ทุกคนร้องไห้’
‘ปีนี้ฉันจะต้องกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ ให้ตายเถอะหัวหน้า!’
‘พ่อ ผมรักพ่อ ประโยคนี้ ผมจะไปพูดต่อหน้า’
‘ใครกล้าพูดอีกว่าเฟ่ยหยางร้องเพลงไร้อารมณ์!’
‘ฉันเป็นแฟนคลับเก่าแก่ของเฟ่ยหยาง เวทีวันนี้น่าจะเป็นหนึ่งในเวทีที่ดีที่สุดของเฟ่ยหยางเลย ฉันไม่พูดถึงเทคนิค และไม่พูดถึงเสียงนะ’
‘เพลงนี้ใช้หัวใจร้องแล้ว’
‘…’
ทุกคนทนไม่ไหวแล้ว
บนเวที
เฟ่ยหยางก็ทนไม่ไหวแล้ว
หากจะเรียกว่าร้องเพลง ไม่สู้เรียกว่าถ่ายทอดความรู้สึกของตนเองออกมาดีกว่า
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง
สองมือประคับประคองครอบครัว
มอบให้ฉันเพียงสิ่งที่ดีที่สุด
ฉันทำให้คุณภูมิใจได้ไหม
ยังคอยเป็นห่วงฉันอยู่หรือไม่
…”
อารมณ์อันหนักหน่วงกำลังถูกระบาย!
เฟ่ยหยางแทบตะโกนออกมา!
เสียงของเขาสั่นเครือ ในเสียงสะอื้นระคนเสียงนาสิก น้ำตารินไหลออกมา!
ในฐานะราชาเพลง การที่ไม่สามารถควบคุมเสียงและอารมณ์ได้ เท่ากับไม่มีความเป็นมืออาชีพ
ราวกับเขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไม่เคยเป็นมืออาชีพ
แต่ขอให้เชื่อเถิด
ว่านี่คือความจริงใจที่สุดของผม
พ่อครับ
ได้ยินหรือเปล่า?
เพลงนี้ ผมร้องให้พ่อ!
พ่อบอกใช่ไหม
ว่าลูกของพ่อร้องเพลงเก่งที่สุด
……
เมื่อเผชิญกับความสะเทือนอารมณ์ในช่วงเวลานี้ ผู้ชมจึงเปราะบางราวกับกระดาษ
เพลงเสียงเพลงระลอกแล้วระลอกเล่าเจาะลึกลงสู่หัวใจ นำพาความทรงจำและความรู้สึกของผู้คนกลับมายิ่งขึ้น
ความขื่นขมและความจนใจซึ่งไม่อาจควบคุมได้รินไหลเข้ามาในในพร้อมเสียงเพลง
ท่ามกลางเสียงเพลง
ผู้คำนับไม่ถ้วนหลั่งน้ำตา จนกลายเป็นห้วงมหรรณพอันโศกเศร้า!
ทุกคนฟังออก
ว่าความสั่นเทาในน้ำเสียงของเฟ่ยหยาง คือความรู้สึกผิด
ความรู้สึกผิดที่ลูกหลายคนนั้นมีต่อพ่อ
……
ในบ้านสกุลหลิน
หลินเซวียนและหลินเหยาหันไปมองแม่
แม่ยิ้ม “เพลงนี้เพราะ”
ทว่าขณะที่กำลังฉีกยิ้ม ขอบตาของเธอแดงก่ำ
หลินเยวียนไม่มีพ่อตั้งแต่เล็ก
เพราะพ่อของเขาจากโลกนี้ไปเร็วเหลือเกิน
เพราะฉะนั้นแม่ของหลินเยวียน จึงเป็นทั้งพ่อ และเป็นทั้งแม่
เพลงนี้ ภายนอกพูดถึงพ่อ ทว่าแท้จริงแล้วร้องให้กับทุกครอบครัว
……
ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
หน้าจอโทรทัศน์
เฟ่ยหยางกำลังร้องเพลง
ชายชราอายุราวเจ็ดแปดสิบปีซึ่งหน้าตาคล้ายกับเฟ่ยหยางกำลังปาดน้ำตาเบาๆ
ภรรยาซึ่งอยู่ด้านข้างยื่นกลีบส้มให้
ชายชราเคี้ยวอยู่หลายคำ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่หวานเหมือนที่เสี่ยวหยางซื้อมา”
ภรรยาเอ่ย “นี่ก็ส้มที่ลูกชายสุดที่รักของคุณซื้อมา”
ชายชราชะงัก จากนั้นจึงลองชิมอีกหลายคำ “เปลี่ยนยี่ห้อหรือ?”
ภรรยาตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เปลี่ยนคนปอก”
……
เสียงเพลงเติมเต็มเวที
อันหงถอดอินเอียร์ออก
ทีมงานมองเขา
อันหงเอ่ยขึ้น “ผมจะไปโทรศัพท์”
ทีมงานพยักหน้าเงียบๆ
ไม่นาน
ก็ต่อสายติด
ปลายสายพูดด้วยความตกใจ “แกไม่ได้อยู่ในรายการหรือ?”
“พ่อก็ดู?”
“ดูอยู่แล้ว รายการลูกฉัน คนเป็นพ่อจะไม่ดูได้ยังไง…”
“พ่อครับ”
“มีอะไรก็รีบพูดมา พ่อกำลังดูรายการอยู่” เสียงจากปลายสายแสร้งทำเป็นรำคาญใจ
“ไม่มีอะไร แค่อยากเรียกเฉยๆ ครับ”
“พ่อได้ยินแล้ว วางแล้วนะ อีกประเดี๋ยวแกต้องขึ้นไปบนเวทีไม่ใช่หรือ ระวังผู้กำกับหักเงินไม่รู้ด้วยนะ!”
“ครับ”
อันหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ในขณะนั้นจากปลายสาย และจากบนเวที เสียงเพลงแทบดังขึ้นประสานกัน นั่นคือประโยคสุดท้ายของบทเพลง
“ขอบคุณที่คอยร่วมทาง!”
………………………………………………….