ชิงซานรู้สึกสิ้นหวัง เพราะยิ่งเขาตะเกียกตะกายอยู่ในใยแมงมุมมากเท่าใด มันก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั่วทั้งสุสาน
ร่างที่อาบไปด้วยเลือดของชิงซานและชิงสุ่ยถูกนำไปแขวนไว้ด้านบนเช่นเดียวกันกับศพอื่นๆ แต่สภาพของพวกเขากลับน่าสยดสยองยิ่งกว่า ริมฝีปากที่วาดเป็นเส้นโค้งอยู่บนใบหน้าของเขาไม่ใช่รอยยิ้ม แต่เป็นเพียงแค่ภาพมายาที่เกิดขึ้นจากพันธนาการของใยแมงมุมนั่นเอง
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหนุ่มหลายคนอาเจียนออกมาทันทีที่เห็นภาพนี้
แม้กระทั่งใบหน้าของผู้เฒ่าหลี่ก็ยังซีดเหมือนกระดาษ
หลังจากได้เห็นเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกต่อไป ดวงตาของพวกเขาสั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัวและความตกใจ
สุสานหลวงแห่งนี้มีปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมมากเกินไป
โบราณว่าไว้ว่า ยามเผชิญหน้ากับภูตผีปีศาจ จงอย่าได้ขลาดกลัว
แต่พวกเขากลับเหมือนคนไม่มีทางสู้เมื่ออยู่ในสุสานหลวงอันแสนชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัว ไม่มีใครเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“ทีนี้เราจะทำอย่างไรกันดี”
เห็นได้ชัดว่าเส้นทางข้างหน้าถูกปิดตายไปเสียแล้ว
หลังจากมองไปที่ร่างของชิงซานกับชิงสุ่ย ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจที่มาที่ไปของศพกองเท่าภูเขาที่อยู่ตรงนั้น
ศพที่เหลือใช่ว่าจะมาจากที่อื่นทั้งหมด
ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะถูกใยแมงมุมรัดและนำไปแขวนไปบนเพดานตอนที่พวกเขาเดินผ่านเส้นทางนี้ บนนั้นมีศพปรากฏให้เห็นมากกว่าสี่สิบศพ
พวกเขาคงประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันกับชิงซานและชิงสุ่ย ถูกใยแมงมุมของแมงมุมที่ซ่อนตัวอยู่สังหารระหว่างที่ผ่านเส้นทางนี้
นอกจากนี้ ทางเข้าสุสานถัดไปก็ยังอยู่ห่างจากพวกเขาไปตั้งหนึ่งห้อง พวกเขาต้องก้าวเท้ามากกว่าสิบก้าวกว่าจะไปถึงที่นั่นได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าในระหว่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายบางคนปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า ”ไม่มีประโยชน์ พวกเราไม่มีวันไปถึงสุสานหลักแน่ รีบหนีออกไปตอนที่ทุกคนยังมีชีวิตอยู่กันดีกว่า!”
“เจ้าพูดถูก!” ใครคนหนึ่งเห็นด้วย แล้วเอ่ยต่อ ”กติการะบุไว้ว่าผู้เข้าแข่งขันทุกคนมีสิทธิ์ที่จะขอถอนตัวจากการแข่งขัน ข้าก็อยากไปจากที่นี่เหมือนกัน!”
ในจำนวนผู้เข้าแข่งขันกว่าสามสิบคน มีเกือบสิบคนที่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าต้องการจะถอนตัว บางคนยังถึงขั้นก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของแล้วด้วยซ้ำ ในเมื่อพวกเขาหมดหนทางที่จะเอาชนะได้อยู่แล้ว เช่นนั้นสู้เอาตัวรอดเสียตั้งแต่ตอนนี้คงดีกว่า อย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่ข้างหน้าหากพวกเขาเลือกเดินทางต่อ
เพียงพริบตาเดียว ใยแมงมุมเพียงไม่กี่เส้นก็สังหารคนสองคนไปต่อหน้าต่อตา
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาก็ยังไม่เห็นเจ้าสิ่งที่อยู่ในสุสานหลวงแห่งนี้เลย
แค่คิดว่ามีแมงมุมยักษ์ซ่อนตัวอยู่ในสุสานหลวง และเฝ้ามองพวกเขาอยู่ในความมืด พวกเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
หนีเปียวไม่ได้ห้ามพวกเขา เพราะยิ่งมีคนถอนตัวมากเท่าใด เขาก็จะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าเขาจะเคยคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่การเดินทางกลับออกไปก็ใช่ว่าจะปลอดภัย
อีกด้านหนึ่ง เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมีท่าทางต่างออกไป นางเคลื่อนสายตาขึ้นมองพวกเขา แล้วเอ่ยขัดความคิดของทุกคนว่า ”คงกลับไม่ได้แล้วล่ะ”
“ทำไมหรือ” หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็เริ่มให้ความสำคัญกับคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองซากศพที่ห้อยลงมาจากเพดาน ก่อนจะถอนสายตากลับมา และเอ่ยเรียบๆ ว่า ”แมงมุมมีความเชี่ยวชาญในการดักจับเหยื่อของตัวเองอย่างมาก ดังนั้นมันย่อมไม่มีทางชักใยเอาไว้เพียงแค่ที่เดียว มันไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ที่ชอบกินเหยื่อสดๆ พวกมันชอบที่จะรอจนกว่าเหยื่อของตัวเองจะหมดเรี่ยวแรงขยับตัวก่อนถึงจะยอมปรากฏตัวออกมา ดังนั้นพวกมันจะต้องชักใยเอาไว้หลายๆ ที่เพื่อจับเหยื่ออย่างแน่นอน…”
…
“นึกไม่ถึงเลยว่ามนุษย์จะเข้าใจสิ่งที่ข้าทำดีถึงเพียงนี้” ร่างเงาสีดำขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดหรี่ตาลงอย่างชั่วร้ายใส่ภาพสะท้อนในกระจก จากนั้นมันก็เคลื่อนไปข้างหน้าด้วยขาจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นพร้อมกับเยาะว่า ”ดูเหมือนข้าคงต้องเตรียมการให้พร้อมกว่านี้เสียแล้ว ข้าถึงจะได้ลิ้มรสทารกที่อยู่ในครรภ์ของนาง… แค่คิดถึงอาหารแสนโอชะนั่น ข้าก็ชักรู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว!”
จ๋อม!
น้ำกระจายเป็นวงจากหนวดที่ส่ายไปมาขณะที่มันเคลื่อนไหว พร้อมกับประกายแสงสีเงินของใยแมงมุมที่มันทิ้งไว้เบื้องหลัง จากนั้นเงาร่างขนาดยักษ์ก็เร้นกายหายเข้าสู่ความมืดอีกครั้งระหว่างที่ขยับริมฝีปากอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีแดงอันน่าสะพรึงกลัวของมันเรืองแสงจางๆ อยู่ในความมืด
…
ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่ในสุสานหลวงต่างก็งงไปตามๆ กัน พวกเขาจึงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า ”ใช่ว่าพวกข้าจะไม่เคยได้ยินเรื่องธรรมชาติของแมงมุมมก่อน แต่มันเกี่ยวอะไรกับการที่เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักได้ว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเหล่านี้ไม่เข้าใจเพราะนางพูดจาอ้อมค้อมเกินไป ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะอธิบายออกมาอย่างชัดเจนว่า ”เจ้ามั่นใจหรือว่าจะไม่เจอใยแมงมุมในระหว่างทางขากลับ”
“ตอนที่เรามาก็ไม่เห็นจะมีมิใช่หรือ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก นางรู้สึกรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย ”เพียงเพราะว่าเราไม่เห็นพวกมันตอนขามา ก็ไม่ได้หมายความว่าขากลับจะไม่มี แมงมุมตัวนั้นจะต้องปิดตายทางเข้าสุสานเอาไว้ในระหว่างที่พวกเราอยู่กันที่นี่เพื่อตัดทางหนีของพวกเราแน่ นี่เป็นวิธีที่แมงมุมใช้เพื่อวางกับดักจับเหยื่อของตัวเอง”
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเริ่มส่งเสียงดัง แม้พวกเขาจะปฏิเสธ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาก็เชื่อในคำอธิบายของเฮ่อเหลียนเวยเวย เพราะถ้าพวกเขาไม่เชื่อ พวกเขาก็คงไม่วางย่ามของตัวเองลงอีกครั้ง
ถึงอย่างไร ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็เป็นมนุษย์เหมือนเราๆ ดังนั้นพวกเขาย่อมกลัวตายเป็นธรรมดา
“ถ้าที่พี่เว่ยพูดมาเป็นความจริง เช่นนั้นพวกเรา… ก็หมดหนทางรอดแล้วมิใช่หรือ”
พวกเขาได้เห็นพลังของใยแมงมุมที่ว่านั่นมาแล้ว อีกทั้งทางออกทุกทางก็น่าจะถูกแมงมุมที่ว่านั่นปิดตายไปแล้ว ต่อให้พวกเขาจะพยายามหนี ก็คงหนีไม่พ้น
“ทำไมมันถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย ทำไมไม่มาฆ่าเราไปเลยล่ะ!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายบางส่วนโมโหจนต่อยผนัง ถ้าเผชิญหน้ากันตรงๆ พวกเขาย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับแมงมุมแค่ตัวเดียวแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดกับตัวเองว่า ขนาดเจ้ายังคิดออก แล้วมีหรือที่แมงมุมตัวนั้นจะไม่คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
“ที่นี่เป็นสุสานหลวงโบราณ และแมงมุมที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็อาจจะวิวัฒนาการไปแล้วก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางด้านจิตใจหรือทางด้านร่างกายของมันก็ตาม จากที่พวกเราเห็น แมงมุมตัวที่ว่านี้คงไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถจัดการได้โดยง่ายแน่” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยต่ออย่างสบายๆ ว่า ”มันรู้ว่าถ้าทางออกทุกทางถูกปิด พวกเราจะหิวตายอยู่ที่นี่ภายในเจ็ดวัน ต่อให้พวกเรารอดไปได้ แต่กระบอกน้ำก็จะว่างเปล่า และพวกเราก็จะตายเพราะขาดน้ำอยู่ดี แล้วจากนั้นมันก็จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อลิ้มรสคนที่มันหมายตาเอาไว้”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตัวสั่นเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของนาง
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมีปฏิกิริยาต่างออกไป เขาหัวเราะออกมาเบาๆ น้ำเสียงนั้นยังคงไพเราะและสง่างาม จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะรังเกียจว่า ”มารยาทบนโต๊ะอาหารของมันช่างไร้ความงดงามสิ้นดี สิ่งที่จะทำตัวโง่เขลาเช่นนี้ได้เห็นทีคงมีแต่ปีศาจแมงมุมเท่านั้น น่ารังเกียจจริงๆ”
ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก…
เอ่อ นี่ใช่เวลามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมารยาทบนโต๊ะอาหารหรือ?!
ทำไมคนคนนี้ถึงดูจะคิดอะไรต่างออกไปจากพวกเขาล่ะ
เมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ที่ทุกคนมองไปยังองค์ชาย เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกระแอมขึ้น แล้วเปลี่ยนประเด็นด้วยการเอ่ยว่า ”สรุปก็คือตอนนี้พวกเราทำได้เพียงแค่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น ห้ามหันหลังกลับ และยิ่งไปกันได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น”
“แค่พูดน่ะมันง่าย” หนีหู่เหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วเยาะว่า ”ถ้าพวกเราจะออกเดินทางไปข้างหน้ากันต่อ เช่นนั้นเจ้าลองมานำทางดูไหม”