บทที่ 754 หลี่จิ่วเต้า ‘เจ้าคิดดีหรือยังว่าอยากตายแบบไหน!?’
ว่าอะไรนะ?
ขอให้เป็น…บิดาบุญธรรมงั้นหรือ!?
ก้อนหินขนยาวหลากสีสงสัยว่ามันได้ยินผิดไปหรือไม่ งานอดิเรกอันใดกัน! ขอให้ผู้อื่นเป็นบิดาไปทั่วได้ด้วยหรือ!?
ต้องขาดแคลนความรักปานใดกัน!
แต่บิดาของเขาใช่ว่าจะเป็นได้ง่าย ๆ…
ไม่เห็นหรือว่าหลุมศพของบิดาคนก่อนของเขาตั้งอยู่ตรงนั้น!
“ไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร…”
เจ้าหลวงลุกขึ้นทำท่าจะไป
เขามิได้ใส่ใจว่าสิ่งที่ก้อนหินขนยาวหลากสีกล่าวมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ เขาคิดถึงท่านพ่อบุญธรรมของเขาเหลือเกิน เพียงต้องการที่พึ่งทางใจเท่านั้น
“เดี๋ยวสิ แค่เป็นบิดาให้มิใช่หรือ ข้าเป็นให้ก็ได้!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีร้องบอก อย่าให้เอ่ยเลยว่ารู้สึกพิลึกเพียงใด
มีผู้ที่อยากเป็นบุตรชายให้ผู้อื่นเช่นนี้ด้วยหรือ นี่เป็นครั้งแรกที่มันถูกบีบบังคับให้เป็นพ่อ
ช่างเถิด ๆ ไม่ว่าเรื่องใดต่างมีครั้งแรกเสมอ!
ก้อนหินขนยาวหลากสีจนใจ กระนั้นก็ไร้หนทาง มันจำต้องเป็นบิดาที่ว่าโดยไม่มีทางเลือก…
หากเจ้าหลวงไปง่าย ๆ เช่นนี้ มันคงอยู่รอสิ่งมีชีวิตตนต่อไปไม่ไหว พลังของมันสึกหรอร้ายแรงเกินไป ดับสูญได้ทุกเมื่อ
“อย่าทำท่าเหมือนไม่เต็มใจปานนั้น!”
เจ้าหลวงเอ่ยเสียงขึงขังจริงจัง
เวรเอ๊ย!
เรื่องบ้าอะไรกัน!
ตามหาบิดาได้จริงจังเช่นนี้เชียวหรือ!
ได้!
ในเมื่อจริงจังถึงเพียงนี้ ก็ให้เป็นไปอย่างจริงจังแล้วกัน
บุตรชายนั้นเป็นยาก บิดาสิเป็นง่าย
ก้อนหินขนยางหลากสีคิดในใจ
“มีบุตรชายที่ไหนใช้ถ้อยคำเช่นนี้กับผู้เป็นบิดา อยากถูกตีหรือไร!”
มันเอ่ยเสียงโหดเหี้ยม พยายามเด้งขึ้นจากพื้น หินก้อนหนึ่งกระแทกเข้าหน้าเจ้าหลวง!
“ท่านทำอะไร!”
เจ้าหลวงโมโห คว้าก้อนหินขนยาวหลากสีไว้หมับ “ข้ามิได้ตามหาบิดาที่ชอบตีบุตรชาย! ข้าตามหาบิดาที่รักและเอ็นดูบุตรชาย!”
บัดซบ!
ก้อนหินขนยาวหลากสีเดือดดาลนักหนา!
นึกในใจว่าเจ้าบอกให้จริงจังมิใช่หรือไร!
บิดาตีบุตรเป็นเรื่องชอบธรรมมิใช่รึ
จริงจังก็ไม่ได้!
“สารเลวจริง ๆ!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีพิโรธจนใจสั่น นี่แค่เพราะมันยังไม่ฟื้นพลังเท่านั้น มิฉะนั้น มันจะสั่งสอนเจ้า ‘ลูกเนรคุณ’ ผู้นี้ให้หนัก!
“ได้ พ่อเข้าใจแล้ว เจ้าคือบุตรชายแสนรักของพ่อ พ่อเอ็นดูเจ้าที่สุด!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“เช่นนี้ถึงจะถูก บิดาบุญธรรมคนก่อนของข้าก็รักใคร่เอ็นดูข้าเช่นนี้!”
สีหน้าเจ้าหลวงดีขึ้น พร้อมเอ่ยยิ้ม ๆ
“ท่านพ่อบุญธรรม ท่านคือบรรพจารย์เหยียนจริงหรือ”
บัดนี้แล้วมันเพิ่งมีแก่จิตแก่ใจสนใจเรื่องพวกนี้ จึงเอ่ยถามก้อนหินขนยาวหลากสีต่อ
“แน่นอน!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีตอบ “พ่อจะถ่ายทอดวิชาลับแห่งความพิศวงลางร้ายของเราให้เจ้าก่อนจำนวนหนึ่ง เจ้าในตอนนี้ยังมิใช่สมาชิกความพิศวงลางร้ายจริง ๆ มิได้ผสานเป็นหนึ่งกับพลังของความพิศวงลางร้าย ไม่อาจสำแดงความแกร่งกล้าของพิศวงลางร้ายได้จริง ๆ!”
จากนั้น มันเริ่มสอนวิชาลับจำนวนหนึ่งให้กับเจ้าหลวง ให้เจ้าหลวงสามารถผสานเป็นหนึ่งกับความพิศวงลางร้ายได้จริง ๆ
มันต้องการเจ้าหลวง
อย่างน้อยก็ต้องการเจ้าหลวงในช่วงเวลานี้
ก่อนมันยังไม่ฟื้นตัว ไม่มีพลังพอจะปกป้องตนเอง เจ้าหลวงคือเกราะป้องกันของมัน
เจ้าหลวงเค้นพลังตามวิชาลับที่ก้อนหินขนยาวหลากสีถ่ายทอดให้รอบหนึ่ง และรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ คล้ายกว่า ‘ชิดเชื้อ’ กับพลังพิศวงลางร้ายยิ่งขึ้น พลังที่แผ่ออกมารุนแรงยิ่งขึ้น!
นี่คือบรรพจารย์พิศวงตนหนึ่งจริงหรือ!?
เจ้าหลวงเริ่มเชื่อแล้ว!
เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ เดิมเขาเพียงต้องการที่พึ่งทางใจเท่านั้น หารู้ไม่ เขากลับได้บิดาบุญธรรมแสนดีถึงเพียงนี้!
“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรม!”
เขากล่าวขอบคุณระรัว
“ขอบคุณอะไร เจ้ากับข้าเป็นพ่อลูกกัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาขอบคุณเช่นนี้ รังแต่จะบั่นทอนความสัมพันธ์พ่อลูกของเรากันเปล่า ๆ!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีกล่าว
เจ้าหลวงรีบเอ่ย “ลูกผิดไปแล้ว!”
“อืม”
ก้อนหินขนยาวหลากสีเอ่ยขึ้น “ลูกเอ๋ย ยามนี้พ่อผลาญพลังมากเกินไป เจ้าจงฟังที่พ่อบอก พาพ่อไปหากองกำลังพิศวงลางร้ายที่อื่นก่อน ให้พ่อได้ดูดกลืนพลังเพื่อฟิ้นตัวบ้าง…”
“ได้! ลูกจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้!”
เจ้าหลวงพาก้อนหินขนยาวสีดำไปจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังนครพิศวงแห่งหนึ่ง เขาจะพาท่านพ่อบุญธรรมของเขาไปดูดกลืนพลังพิศวงลางร้ายที่นั่น
…
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งปีในชั่วอึดใจเดียว
พวกหลี่จิ่วเต้าเข้าไปถึงส่วนลึกของดินแดนฮวงแล้ว
สำหรับหลี่จิ่วเต้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มายังดินแดนฮวง ที่นี่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่ น่าเสียดายที่เขายังไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับซีเลยสักนิด
ไม่ว่าเดินทางไปที่ใด เขาจะทำการค้นหาจริงจัง ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่ที่เดียว
“คุณชาย ข้างหน้ามีเมืองใหญ่อยู่เมืองหนึ่ง พวกเราจะเข้าไปตรวจสอบดูหรือไม่” ลั่วสุ่ยถามคุณชาย
เบื้องหน้ามีเมืองใหญ่ตั้งอยู่กลางอากาศซึ่งยิ่งใหญ่เกรียงไกรเป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งเทือกเขายืดยาวไร้ที่สิ้นสุด ชวนให้ทึ่งเป็นหนักหนา แสดงให้เห็นถึงความองอาจอันไร้ขีดจำกัด
แม้ว่าพวกเขายังห่างจากเมืองใหญ่อีกไกล แต่ยังมองเห็นเมืองใหญ่ได้ก็เพราะเมืองนั้นมหึมามาก
“นั่นคือเมืองจักรพรรดิไป๋ หนึ่งในเมืองโบราณขึ้นชื่อแห่งดินแดนฮวง มีประวัติสืบสานมาอย่างยาวนานจนแทบหาต้นตอไม่พบแล้ว!”
เซี่ยเหยียนเอ่ยขึ้นข้าง ๆ รู้ประวัติความเป็นมาของเมืองใหญ่นี้ จึงอธิบายภูมิหลังให้ฟัง ว่ากันว่านี่คือเมืองโบราณอันมีอารยธรรมฝึกตนแห่งหนึ่ง
“ไปสิ!” หลี่จิ่วเต้าตอบกลับทันที
เมืองโบราณแห่งอารยธรรมฝึกตนหรือ เขาจะพลาดได้อย่างไร ไม่มีทางเลย!
ไม่ต้องเอ่ยว่ามีโอกาสที่ซีอยู่ในเมืองโบราณแห่งอารยธรรมฝึกตนนั้นหรือไม่ ลำพังตัวเขาเองก็สนอกสนใจในเมืองโบราณแห่งอารยธรรมฝึกตนเช่นนี้มาก
เขาชื่นชอบเรื่องราวเก่าแก่
จากนั้น อสูรทั้งเก้าลากรถเหินไปทางเมืองจักรพรรดิไป๋
หลี่จิ่วเต้ามิได้อยู่ในรถลาก เขาเดินทางโดยขี่กิเลนไฟอยู่ด้านนอก
พวกลั่วสุ่ยสนทนากับเขาโดยยืนอยู่ที่หัวรถลาก
ระหว่างทาง พวกหลี่จิ่วเต้าได้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดมากมาย
สัตว์อสูรจำนวนหนึ่งกำลังเดินทางโดยขี่มนุษย์!
ภาพนี้ช่างพิลึกเหลือเกิน!
แม้ว่าสัตว์อสูรกล้าแกร่งก็มีสัตว์ขี่เช่นกัน แต่สัตว์ขี่เหล่านั้นก็เป็นอสูรเผ่าอื่น ส่วนเผ่าที่ใช้มนุษย์เป็นสัตว์ขี่หาดูได้ยากจริง ๆ!
ทว่าที่นี่ กลับพบเห็นสัตว์อสูรที่ขี่มนุษย์เดินทางได้ทั่วไป!
ด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกล มีงูเหลือมหลากสีตัวหนึ่งรัดพันร่างท่อนบนของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง แล้วยังมีเม่นที่ขี่อยู่บนชายวัยกลางคนอีกผู้หนึ่ง กำลังร่วมเดินทางไปกับงูเหลือมพร้อมหัวร่อต่อกระซิก
“…”
หลี่จิ่วเต้าเห็นแล้วพูดไม่ออก ชายวัยกลางคนทั้งสองมาจากเผ่ามนุษย์จริงหรือ
เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าชายวัยกลางคนทั้งสองจำแลงกายจากเผ่าอสูรเล่า!
มีเผ่ามนุษย์ที่ไหนยอมไปเป็นสัตว์ขี่บ้าง…
“เผ่ามนุษย์เป็นสัตว์ขี่อย่างนั้นหรือ”
เซี่ยเหยียนขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องอันใดที่นี่กันแน่”
ผิดปกติ!
ผิดปกติอย่างแรง!
นอกจากยุคป่าเถื่อนที่เผ่ามนุษย์ยังไม่เฟื่องฟูเพราะอ่อนกำลัง ถึงได้มีสถานะต่ำต้อยท่ามกลางเผ่าต่าง ๆ เผ่ามนุษย์ในยุคนั้นลำบากยากเข็ญอย่างแท้จริง ต้องเป็นทาสรับใช้ให้กับเผ่าอื่น ถูกเผ่าอื่นข่มเหง
ถึงอย่างไร เผ่าอื่นต่างแข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์มาแต่กำเนิด
ทว่าเผ่ามนุษย์นั้นประเทืองปัญญากว่า กอปรกับหัวใจเข้มแข็งพอ เผ่ามนุษย์จึงรุ่งโรจน์ขึ้นช้า ๆ จนค่อย ๆ กลายเป็นเจ้านายปฐพีผืนนี้
เผ่าอื่นจึงไม่อาจจับมนุษย์ทำทาสได้ตามใจชอบอีก
ผ่านไปแล้วหลายยุคหลายสมัย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ สถานะของเผ่ามนุษย์ก็ยังไม่เปลี่ยนไป ยังคงเป็นเจ้านายของปฐพีผืนนี้
เผ่ามนุษย์ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วกว่าเผ่าอื่นมากนัก
นี่ก็เป็นประเด็นหลักที่เผ่ามนุษย์ได้เป็นเจ้านายของปฐพีนี้ในที่สุด
ทว่าที่นี่ เหมือนว่าสถานการณ์กลับตาลปัตร คล้ายว่าเผ่าอื่นได้ยึดครองดินแดนนี้ และเผ่ามนุษย์กลายเป็นทาสของเผ่าอื่น!
เมืองจักรพรรดิไป๋เป็นเมืองของเผ่ามนุษย์ กลับมีเผ่ามนุษย์เป็นทาสของสัตว์อสูรรวมถึงเผ่าพันธุ์อื่นให้เห็นอยู่ทั่วไป ต้องมีปัญหาอันใดแน่!
เพียะ เพียะ เพียะ!
เวลานั้นเอง เสียงหวดดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนของเด็กสาวดังขึ้นอีกหลายเสียง
พวกหลี่จิ่วเต้าพากันหันไปมอง
หลังพวกเขาเห็นภาพนั้น ต่างก็โกรธเกรี้ยวจนแทบทนไม่ไหว
ด้านหลังนั้น มีเด็กสาววัยแรกแย้มสิบแปดนางถูกมัดไว้ด้วยกัน และกำลังลากรถรบโบราณคันมโหฬารคันหนึ่ง และบนรถรบมโหฬารคันนั้น มีงูใหญ่สีม่วงตัวหนึ่งกำลังขดตัวอยู่
งูใหญ่สีม่วงตัวนี้มีเขาบนหัวถึงสี่ข้าง เกล็ดบนตัวเป็นสีม่วงทั้งหมด ทอประกายเยือกเย็นชวนผวา และกำลังหวดเด็กสาววัยแรกแย้มสิบแปดนางที่ถูกมัดไว้ด้วยกันด้วยหาง
“วิ่งเร็ว ๆ หน่อย!”
งูใหญ่สีม่วงตะโกนบอก
ส่วนด้านข้างของมันมีเด็กสาวโฉมสะคราญอยู่อีกมาก บ้างพัดให้มัน บ้างนวดร่างงูของมัน
“ฮ่า ๆ ข้าอยากกลับไปเมตตาพวกเจ้าจนแทบทนไม่ไหวแล้ว!”
งูใหญ่สีม่วงหัวเราะร่วนอย่างประสงค์ร้าย ทั้งยังแลบลิ้นสองแฉกออกมาแล้วเลียใบหน้าเด็กสาวผู้หนึ่ง จนใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นเปียกชื้นไปหมด
งูอะไรกัน?
เหตุใดถึงต่ำตมน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้!
หลี่จิ่วเต้าขี่อยู่บนหลังกิเลนไฟขมวดคิ้วน้อย ๆ โทสะในใจลุกโชน
เวลานั้น งูใหญ่สีม่วงมองมาเห็นพวกหลี่จิ่วเต้าแล้วเช่นกัน
“บังอาจนัก! ในดินแดนผืนนี้ มนุษย์คือทาสชั้นต่ำที่สุด เผ่าอื่น ๆ ต่างหากคือเผ่าสูงส่งอย่างหามิได้! พวกเจ้าริอ่านใช้เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ลากรถให้พวกเจ้า ทั้งยังเป็นสัตว์ขี่ ช่างบังอาจยิ่งนัก!”
มันตวาดลั่นขึ้นมาในบัดดล ดวงตางูคู่นั้นเปล่งประกายสยดสยอง น่าพรั่นพรึงเป็นที่สุด
ต่อมา มันได้เห็นพวกลั่วสุ่ย เซี่ยเหยียน และหลิงอิน สายตาของมันเปลี่ยนไปทันที
“เดิมที พวกเจ้านั้นต้องโทษประหารอย่างยากจะพ้นผิด ทว่าท่านงูผู้นี้จิตใจเมตตา มิต้องการเข่นฆ่าผู้ใดง่าย ๆ ท่านงูผู้นี้จึงตัดสินใจให้โอกาสพวกเจ้า ละเว้นโทษประหารของพวกเจ้า!”
งูใหญ่สีม่วงเปล่งเสียงต่ำช้านักหนาขณะจ้องมองพวกลั่วสุ่ย ลิ้นสองแฉกแลบออกมาไม่หยุดพร้อมกล่าวต่อ “มาเถิด มาหาท่านงูตรงนี้แล้วปรนนิบัติท่านงูให้ดี! สถานการณ์อย่างวันนี้พวกเจ้ามีสิทธิ์ปรนนิบัติท่านงูนับเป็นเกียรติยศสูงสุดของพวกเจ้าแล้ว! รีบมานี่สิ อย่าได้พลาดโอกาสอันดีเช่นนี้ไป”
“อะไร…กัน!”
หลี่จิ่วเต้าขี่กิเลนไฟขวางอยู่เบื้องหน้าพวกลั่วสุ่ย ขัดขวางมิให้ดวงตาของงูใหญ่สีม่วงได้มองต่อ
เขายังบอกกับพวกลั่วสุ่ยอีกว่า “พวกเจ้ากลับเข้าไปในรถลาก ถูกหนอนยาวน่าขยะแขยงเช่นนี้มองถือเป็นการทำให้พวกเจ้าแปดเปื้อน!”
งูใหญ่สีม่วงน่ารังเกียจเกินไป เขาไม่ต้องการให้พวกลั่วสุ่ยอยู่ข้างนอกต่อจริง ๆ
“เจ้าค่ะ!”
พวกลั่วสุ่ยตอบ พากันกลับเข้าไปในรถลาก
“เจ้าทำอะไร!”
ดวงตาของงูใหญ่สีม่วงถลึงมองหลี่จิ่วเต้าอย่างขุ่นเคือง จิตสังหารพลุ่งพล่าน บังอาจทำมันเสียเรื่องรึ มันบันดาลโทสะ เตรียมลงมือ!
“งูเป็นของดี ใช้สอยได้หลากหลายวิธี อย่างเช่นนำมาดองสุรา ปรุงเป็นแกงงู…”
หลี่จิ่วเต้าหันมองงูใหญ่สีม่วงพร้อมกล่าว “ข้าไม่ชอบความสิ้นเปลือง ทว่าเจ้าเป็นข้อยกเว้น นำเจ้ามาดองสุราหรือปรุงเป็นแกงงูก็กลัวแต่จะคลื่นเหียนจนดื่มไม่ลง กินไม่ลง…”
จากนั้น เขาขมวดคิ้วเบา ๆ
“เจ้าคิดดีหรือยังว่าอยากตายแบบไหน?” เขากล่าวต่อ