“เจ้าจ้องข้าทำไมหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามเสียงเบา ริมฝีปากของเขากลายเป็นสีซีดเล็กน้อยขณะที่พยายามถอนมือของตัวเองกลับ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบดึงมือเขาเข้ามาทันที จากนั้นนางก็ฉีกชายเสื้อออกมาพันแผลให้กับเขา ก่อนจะเอ่ยอู้อี้ว่า ”ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลท่านไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน”
ทารกน้อยทั้งสองที่อยู่ในท้องนางถึงกับพูดไม่ออก ปกติประโยคนี้มักจะออกมาจากปากของคนที่เป็นพระเอกมิใช่หรือ ท่านแม่สามารถพูดมันออกมาอย่างคล่องปากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างเยือกเย็นว่า ”ข้าเป็นคนเปราะบางอย่างมาก ในเมื่อเจ้าพูดออกมาแล้วก็ต้องรักษาสัญญา เข้าใจไหม”
แมงมุมพิษบังเอิญได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเข้าพอดี มันถึงกับตกตะลึง ฮ่าๆๆ ท่านน่ะหรือเปราะบาง ท่านจะเปราะบางได้อย่างไร
อีกด้านหนึ่ง เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบพร้อมกับพยักหน้าอย่างหนักแน่นเหมือนเห็นด้วยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ทารกที่ตัวโตกว่าเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาลว่า ”ท่านพ่อหน้าไม่อายยิ่งนัก เขาถึงขั้นแต่งเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้เชียวหรือ!”
“แต่คนที่ชนะในที่นี้ก็ไม่ใช่ท่านพ่อนี่ขอรับ หลังจากที่เขายอมศิโรราบต่อมนุษย์แล้ว หลังจากนี้เขาจะต้องเชื่อฟังท่านแม่ และต้องทำทุกอย่างที่ท่านแม่สั่งให้ทำ สุดท้ายท่านแม่ก็จะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับประโยชน์” ทารกที่ตัวเล็กกว่ายิ้มผ่านดวงตา ก่อนหน้านี้เขามักคิดอยู่เสมอว่าท่านพ่อของพวกเขาเป็นคนเลือดเย็น เพราะดูเหมือนท่านพ่อจะไม่ได้ตั้งตารอคอยการมาถึงของพวกเขาแต่อย่างใด มันอาจจะเป็นปกติสำหรับปีศาจ โดยเฉพาะกับปีศาจที่อยู่มานานอย่างท่านพ่อของพวกเขาที่จะไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับการเกิดของลูกตัวเอง แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าท่านพ่อไม่ได้เฉยชาไปเสียทั้งหมด เขาเพียงแค่ทุ่มความสนใจและความอ่อนโยนทั้งหมดให้กับท่านแม่แล้วนั่นเอง ปีศาจชั้นสูงย่อมไม่มีทางลดตัวลงมาเกี่ยวพันกับมนุษย์ แล้วนับประสาอะไรกับราชาของปีศาจทุกตน
เมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ชายของเขาก็คงไม่ต้องกังวลว่าท่านพ่อจะถูกจิ้งจอกสาวตนไหนล่อลวงได้อีก
เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ถูกผูกมัดจริงๆ ก็คือท่านพ่อของพวกเขานี่เอง
แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมรู้ผลลัพธ์นี้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจ เขามองไปที่บาดแผลบริเวณข้อเท้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนปกติว่า ”ขึ้นมาสิ ข้าแบกเจ้าไว้บนหลังน่าจะเร็วกว่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผยรอยยิ้มบางออกมาพลางกระโดดขึ้นเกาะหลังของเขา ก่อนจะถูแก้มเข้ากับแผ่นหลังนั้น นางดูสบายกับตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ทีเดียว จากนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นว่า ”ข้าสงสัยจังว่าเด็กอีกคนจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับขาของนางไว้แน่น ก่อนจะเตือนว่า ”จะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่เขาไม่ได้ออกมาในเวลาที่ไม่ควรเหมือนอย่างเจ้าหนูนั่นก็พอ”
“ท่านเข้มงวดกับลูกๆ ของเราไปหน่อยหรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าความคิดนี้น่าขำแต่ก็ชวนให้งุนงงทีเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างไม่แยแสว่า ”นี่ก็เพื่อพวกเขาเอง ข้าไม่อยากให้พวกเขาต้องมีจุดจบเหมือนอย่างเจ้าแมงมุมโง่เง่าตัวนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
นางเกือบลืมเรื่องแมงมุมตัวนั้นไปแล้วด้วยซ้ำ คำพูดขององค์ชายทำให้นางอดนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ นางจึงหันไปมองแมงมุมตัวนั้นโดยสัญชาตญาณ
แมงมุมตัวนั้นยังไม่ตาย แต่มันก็แทบจะไม่หายใจแล้ว ท้องของมันดูผิดรูปผิดร่างเพราะมีก้อนหินอัดแน่นอยู่ภายใน
ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยตามหาเศษชิ้นส่วนวิญญาณ นางไม่รู้เลยว่าองค์ชายมีนิสัยชอบป้อนพืชผักใบหญ้าให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองกิน
แต่คำพูดของกิเลนอัคคีได้รับการพิสูจน์แล้วเมื่อนางได้พบกับเจ้าแมงมุมตัวนี้ หลังจากเห็นสภาพของมัน นางก็ยอมรับว่ากิเลนอัคคีไม่ได้พูดเกินจริงไปเลยแม้แต่นิดเดียว!
เมื่อเทียบกับการตายจากการกินอาหารมากไป การให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กินพืชผักย่อมไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองขณะปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหูไป แม้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นผู้หญิงฉลาด นางจึงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
นางคงไม่ต้องกังวลอะไร ถ้านางมีลูกแค่คนเดียว
แต่ตอนนี้นางมีลูกถึงสองคน
คนหนึ่งเป็นปีศาจ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นมนุษย์
ตามปกติแล้ว ฝาแฝดในท้องเดียวกันจะสู้กันเพื่อแย่งสารอาหารจากทารกอีกคนหนึ่ง
สถานการณ์ในเวลานี้แย่กว่านั้นเสียอีก เพราะฝาแฝดคู่นี้คนหนึ่งเป็นปีศาจ และคนหนึ่งเป็นมนุษย์
ไม่มีเวลาแล้ว นางต้องหาสุสานหลักในเจอก่อนตระกูลหนี
คนทั้งสองเพียงมุ่งความสนใจไปที่การนำพระสรีระกลับมา ดังนั้นพวกเขาจึงนึกไม่ถึงว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้ ชายคนนั้นบังเอิญก้าวเท้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้พอดี
ชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหนีเปียว เดิมทีนั้นเขาคิดว่าเขาจะสามารถไปถึงสุสานหลวงได้อย่างราบรื่นถ้าเขาทำตามที่แมงมุมสั่ง
เขารู้สึกสับสนอย่างมากเพราะรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเรียกชื่อเขาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างที่เขาก้าวขาไปข้างหน้า แต่สุดท้ายพอเขารู้สึกตัว เขาก็ฆ่าเพื่อนร่วมทางทุกคนที่มาพร้อมกับเขาไปเสียแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้น สมาชิกกลุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็หายตัวไปจนหมด
เขาจึงตระหนักได้ในเวลานั้นเองว่าเขาหลงทางกับกลุ่มหลักแล้ว
หนีเปียวสนใจแต่เพียงเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว มันเหมือนกับมีใครบางคนกำลังกระซิบพูดคุยกับเขาอยู่ และสั่งให้เขาฆ่าคนอื่นๆ เสีย
น่าขันสิ้นดี! ข้าเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เก่งที่สุดบนแผ่นดินนี้ ไม่มีวิญญาณตนใดที่จะทำให้ข้าหวาดกลัวได้! เจ้าเป็นใครถึงกล้าออกคำสั่งกับข้าเช่นนี้
หนีเปียวเป็นคนมีทิฐิและเห็นแก่ตัว เขาลืมไปว่าตัวเองได้รับเบาะแสตำแหน่งของกับดักเมื่อครู่นี้มาจากสัตว์อสูร
ตอนที่หนีเปียวเข้าไปในรังแมงมุม เขาคิดว่าทุกอย่างจะเป็นปกติ แต่ความคิดนี้ก็เปลี่ยนไปทันทีที่เขาเห็นร่างขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า ขาของเขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง และทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่กับพื้นเท่านั้น
แมงมุมพิษจำหนีเปียวได้เช่นกัน มันกอบโกยอากาศเข้าปอด พร้อมกับหรี่ตาลง ก่อนจะถามว่า ”เจ้าเองหรือ?”
ในที่สุดหนีเปียวก็สามารถมองเห็นแมงมุมตัวนั้นได้อย่างชัดเจน มันไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะสามารถเรียกว่าดีได้ ความกลัวของเขาหายวับไปในทันใด เขาจ้องไปที่แมงมุมตัวนั้น แล้วพูดขึ้นว่า ”เจ้าสัตว์ร้าย ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว!”
อาคมของหนีเปียวยังใช้ได้ผลกับการฆ่าสัตว์อสูรใกล้ตายสักตัว แสงที่เปล่งออกมาจากกระบี่ไม้ท้อของเขาแยกออกเป็นลำแสงสามลำ ก่อนที่ลำแสงนั้นจะทะลวงร่างของแมงมุมพิษไป
จุดประสงค์ของหนีเปียวนั้นชัดเจนอย่างมาก ถ้าเขาสามารถนำขาข้างหนึ่งของแมงมุมกลับไปหากลุ่มของตัวเองได้ ตระกูลหนีจะไม่ได้เพียงแค่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาได้ แต่เขาจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน และยังจะได้คะแนนเพิ่มอีกด้วย ที่สำคัญ ชื่อเสียงของเขาในหมู่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็จะยิ่งขจรขจายออกไป
แมงมุมพิษคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะต้องมาตายด้วยน้ำมือของชายผู้น่ารังเกียจเช่นนี้ มันพยายามยื้อลมหายใจตัวเอง และสู้กลับ
แต่เห็นได้ชัดว่ามันถึงขีดจำกัดแล้ว ใยสีเงินที่มันพ่นออกมาจึงทำให้ผิวหนังของหนีเปียวได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นมันก็ทรุดตัวล้มลงอย่างแรง
ศีรษะของหนีเปียวปวดร้าวอย่างมากเมื่อถูกโจมตี ใยแมงมุมมีพิษ แม้แขนของเขาจะถูกมันทำให้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่เลือดที่ไหลออกมาจากบาดเผลก็ราวกับกำลังแผดเผาผิวเนื้อของเขาอยู่
เขาจ้องไปที่แมงมุมพร้อมส่งเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะยกกระบี่ในมือขึ้นแล้วตัดขาของมัน
ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นแก่นชีวิตที่ปรากฏขึ้นหลังจากแมงมุมตาย
มีเสียงดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง
เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูอย่างมาก แต่หนีเปียวนึกไม่ออกว่าเจ้าของเสียงนี้คือใคร
“กลืนแก่นชีวิตนั่นเข้าไปสิ แล้วเจ้าจะได้กลายเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ทรงพลังยิ่งขึ้น”
“ไม่!” หนีเปียวส่ายศีรษะก่อนผละมือออก ”ในคู่มือศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้ายมีระบุเอาไว้ว่า ห้ามไม่ให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกินแก่นชีวิตเด็ดขาด มันเป็นศาสตร์ต้องห้าม!”