“คู่มือศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้ายถูกเขียนขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ เมื่อใดที่เจ้าสามารถรวมโลกแห่งการขับไล่วิญญาณร้ายให้เป็นหนึ่งเดียวได้ คนที่จะตัดสินใจว่าอาคมใดเป็นอาคมต้องห้ามก็คือตัวเจ้า”
น้ำเสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง และหนีเปียวไม่สามารถหนีจากมันได้ ราวกับว่าเสียงนั้นออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของเขา
มันพูดถูก เพราะประวัติศาสตร์มักเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ผู้ชนะย่อมได้เป็นราชา
ตราบใดที่เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามที่เขาต้องการ
หนีเปียวยื่นมือออกไปอีกครั้ง แล้วแตะเข้าที่แก่นชีวิตนั้น มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มขมขื่น ”เจ้าพูดถูกแล้ว บุตรสาวข้า”
เมื่อความมืดกลืนกินหัวใจเขาเข้าไปทั้งดวง ในที่สุดหนีเปียวก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
หลังจากเขากินแก่นชีวิตนั้นลงไป สีแดงเข้มอันเป็นสัญลักษณ์ของปราณหยินก็เรืองแสงวาบขึ้นในดวงตาของเขา ตามมาด้วยเสียงหัวเราะน่าขนลุกที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ได้เวลากลับไปที่กลุ่มแล้ว” หนีเปียวแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เขาดูเหมือนกับอสรพิษที่กำลังส่งเสียงขู่ฟ่ออยู่ก็ไม่ปาน
ส่วนคนที่กำลังจะมาถึง พวกเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเดินเข้าสู่กับดักตั้งแต่ตอนที่เริ่มออกเดินทาง แต่ในที่สุดกับดักนั้นก็เริ่มเผยโฉมออกมาแล้ว…
ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยเดิน นางก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด แต่นางก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอันใด
บางทีอาจเป็นเพราะนางคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลังวิญญาณในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย
หรืออาจเป็นเพราะลูกในท้องของนาง นางรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่านางกำลังมองข้ามเรื่องบางอย่างไป…
ความรู้สึกนี้ยิ่งได้รับการยืนยันเมื่อนางและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมารวมกลุ่มกับคนอื่นๆ
จูเก่ออวิ๋นโชคดี ที่ที่เขาร่วงลงไปเป็นทางที่เขาเคยเดินผ่านมาแล้ว แม้จะพบใยแมงมุมเข้าอีกครั้ง แต่เขาก็สามารถผ่านมันมาได้โดยใช้วิธีการเดียวกับที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยใช้เพื่อทำลายใยแมงมุม ในไม่ช้าเขาก็ตามกลุ่มคนที่เหลือที่กำลังนั่งพักกันอยู่ทัน แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาเดินวนไปวนมาด้วยความเป็นห่วง และอยากเรียกคนอื่นไปช่วยพวกเขา
แม้จะมีเพียงไม่กี่คนที่พร้อมจะช่วยเหลือเขาในการตามหาคนทั้งสอง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยตกลงไปที่ไหน
ภูมิประเทศของสุสานมีความสลับซับซ้อน ดังนั้นคำแนะนำของผู้เฒ่าหลี่จึงเป็นการบอกให้พวกเขารอ ทุกอย่างจะเป็นปกติหากพวกเขากลับมาภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม แต่ถ้าไม่ เช่นนั้นคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว
จูเก่ออวิ๋นกำลังทึ้งผมตัวเองด้วยความเสียใจในการกระทำของตน แต่ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่แบกเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่บนหลังเดินเข้ามา
เขาดีใจมาก แม้เขาจะรู้สึกว่าท่าทางของทั้งสองคนดูค่อนข้างรักใคร่กันอย่างมากก็ตาม
แต่ในเวลานี้จูเก่ออวิ๋นไม่สนใจอีกแล้วว่าพวกเขาจะเป็นพวกต้วนซิ่วหรือไม่ ความจริงที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด!
หลังจากได้ฟังคำพูดของจูเก่ออวิ๋น ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ร่วงลงไปในกับดับ
มันเชื่อมโยงกับสิ่งที่นางคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ นางคิดว่ามีคนในให้ความร่วมมือกับแมงมุมพิษตัวนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองไปทางตระกูลหนีที่นั่งอยู่ไกลออกไป
เห็นได้ชัดว่าตระกูลหนีมีกลุ่มย่อยมากกว่ากลุ่มอื่น
ตระกูลอื่นเหลือกันแค่คนละกลุ่มเท่านั้น
ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญจริงๆ!
สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เรียนนิติศาตร์มา ความบังเอิญย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นง่ายดายถึงเพียงนี้
หากเทียบกับสถานการณ์อันยากลำบากที่กลุ่มอื่นๆ ต้องพบ กลับไม่มีคนจากตระกูลหนีตกลงไปในกับดักนั้นเลยแม้แต่คนเดียว
เรื่องนี้ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคนทรยศอยู่ในกลุ่มของตระกูลหนี!
ส่วนคนที่ว่าจะเป็นใครนั้น…
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุบตาลง นางนึกขึ้นมาได้ว่าคนที่เดินนำหน้าตระกูลหนีอยู่ก็คือหนีเปียว
ในตอนนั้นนางไม่ทันได้สังเกตเพราะนางมัวแต่เพ่งสมาธิอยู่กับการก้าวเท้าออกไปข้างหน้า
ตอนนี้นางจึงเพิ่งนึกออกว่าหนีเปียวมักจะใช้วิธีการให้ลูกศิษย์ของตัวเองเดินนำหน้าเพื่อดูว่ามีอันตรายอันใดรออยู่หรือไม่
แต่ครั้งนี้ เขากลับเป็นคนเดินนำหน้าเองอย่างผิดปกติ!
เขาไม่ได้พยายามที่จะนำทาง แต่พยายามที่จะทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีคนของตระกูลหนีตกลงไปข้างล่างตอนที่เปิดกลไกลนั่นต่างหาก!
สมองของเฮ่อเหลียนเวยเวยทำงานอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับว่าภาพความทรงจำกำลังถูกกรอซ้ำ
แมงมุมพิษตัวนั้นพูดว่า ”ในหมู่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายพวกนั้นมีใครบางคนแปดเปื้อนไปด้วยปราณแห่งความเคียดแค้น ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นสามารถถูกปีศาจควบคุมได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ สัตว์อสูรตัวอื่นที่อยู่ที่นี่อาจไม่ทันสังเกตเห็นเรื่องนั้น แต่ข้าอยู่ในสุสานหลวงแห่งนี้มากว่าหนึ่งพันปี ดังนั้นข้าจึงไวต่อมนุษย์ประเภทนี้เป็นพิเศษ อีกอย่างหนึ่ง หนึ่งในพวกเจ้าก็ไม่ใช่คนที่มีลมหายใจอยู่แล้ว อย่างไรสุดท้ายพวกเจ้าก็ต้องตาย เช่นนั้นยอมให้ข้ากินเสียยังดีกว่า”
หมายความว่าร่างหนีเปียวแปดเปื้อนปราณแห่งความเคียดแค้นก่อนที่จะเข้ามาในสุสานแห่งนี้เสียอีก ไม่อย่างนั้นแมงมุมพิษคงไม่สามารถควบคุมเขาได้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีฝีมือย่อมไม่มีทางถูกหลอกได้ด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยค
เช่นนั้น ประโยคสุดท้ายนั่นหมายความว่าอย่างไร
หนึ่งในพวกเจ้าไม่ใช่คนที่มีลมหายใจอยู่อีกแล้วอย่างนั้นหรือ
ตอนนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักถึงเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว นางคิดว่าแมงมุมพิษพูดถึงคนคนเดียว แต่ตอนนี้เมื่อนางลองคิดดูให้ดี นางจึงพบว่ามีเบาะแสอยู่ถึงสองเบาะแสด้วยกัน
แน่นอนว่าคนที่ถูกปีศาจควบคุมอยู่คือหนีเปียว
แต่อีกคนที่ไม่ใช่คนเป็นย่อมไม่มีทางเป็นหนีเปียวไปได้
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นางยังหาไม่พบว่าอันตรายร้ายแรงที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนพวกนี้คือสิ่งใด!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับตา แล้วนางก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ นางดึงจูเก่ออวิ๋นเข้ามา แล้วกระซิบถามว่า ”เจ้าบอกว่าเจ้าเคยเห็นศพในจวนตระกูลหนีหรือ”
“ใช่ขอรับ” จูเก่ออวิ๋นขมวดคิ้วเหมือนกำลังนึกถึงอดีตอันเลวร้าย ”ใช่แล้วขอรับ ที่นั่นมีศพกองทับถมกันอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พวกเขากลับดูไม่เหมือนคนตาย ผิวของพวกเขายังสมบูรณ์แบบเหมือนกับคนเป็นไม่มีผิดทั้งๆ ที่ตายมาเป็นเวลานานแล้ว ข้าหวาดกลัวอย่างมากจึงรีบปิดปากแล้ววิ่งไปที่โถงหน้าบ้านทันที ข้าได้พบกับลุงหนีที่นั่น ตอนนั้นเขาดูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก เขาบอกว่าในนั้นมีปีศาจที่ไม่ควรถูกปล่อยออกมาอาละวาดอยู่ แต่เขาก็พูดเสริมว่าเขาใกล้จะจัดการมันได้แล้ว เขาบอกข้าว่าอย่ากลับไปที่หลังบ้าน และอย่าบอกใครเรื่องนี้ เขาถึงกับลงกลอนประตูหลังเอาไว้เลยนะขอรับ แต่หลังจากที่เขาเห็นท่านพ่อของข้า เขาก็กลับมาทำตัวตามปกติ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเยาะขึ้นว่า ”เขาโกหก ถ้าในนั้นมีปีศาจอยู่จริง ทำไมเขาถึงไม่เรียกให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมารวมกันล่ะ เขาเลือกที่จะปิดบังความจริงแทนที่จะทำเช่นนั้น กองซากศพที่ตายมานานแล้ว แต่กลับยังมีสภาพเช่นเดิมหรือ พวกมันเป็นผีดิบหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ขอรับ” จูเก่ออวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ”ที่ข้ากลัวก็เพราะพวกมันไม่ใช่ผีดิบ ผีดิบสามารถปราบได้ด้วยการใช้ยันต์ แต่เหมือนกับว่ามีใครบางคนพยายามเก็บรักษาศพเป็นๆ น่าขนลุกพวกนั้นเอาไว้มากกว่าขอรับ”
จูเก่ออวิ๋นไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกใช้คำว่าเป็นๆ แต่น่าแปลกที่มันเป็นคำคำเดียวที่เขานึกออก
ศพเป็น
ไม่มีใครเชื่อเขาเรื่องนี้แน่
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายย่อมไม่มีทางนำศพมากองรวมกันในบ้าน เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้บ้านของพวกเขาเกิดความวุ่นวาย
นอกเสียจากพวกเขาจะมีเหตุผลให้ต้องทำเช่นนั้น
“จริงสิ ยังมีอีกอย่างขอรับ” จูเก่ออวิ๋นขมวดคิ้ว ”ศพพวกนั้นอยู่ข้างห้องของหนีเฟิ่งพอดี ลุงหนีไม่กังวลเรื่องนั้นเลยหรืออย่างไรกัน”
หนีเฟิ่งหรือ
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย ”สมัยเด็กๆ ร่างกายของหนีเฟิ่งอ่อนแอมากใช่หรือเปล่า”