“ระหว่างที่พวกเราคุยกันอยู่ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่นั่งอยู่หน้าสุดทางฝั่งด้านซ้ายก็กำลังคุยกันเรื่องการหายตัวไปของหนีเปียว พวกเขาบอกว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่เหมือนจะมีตัวอะไรบางอย่างใช้มนต์สะกดกับเขา แล้วทำให้เขาเดินแยกออกจากกลุ่มคนที่เหลือไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยข้อมูลที่นางเพิ่งบังเอิญได้ยินเมื่อครู่นี้ให้เขาฟังอย่างช้าๆ
จูเก่ออวิ๋นอ้าปากค้าง ”ท่านได้ยินสิ่งที่คนอื่นคุยกันทั้งๆ ที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ด้วยหรือขอรับ”
“การทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกันเป็นทักษะพื้นฐานที่นักสังเกตที่ดีควรมี” เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตาขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นจึงมองไปทางร่างที่ปรากฏตัวขึ้นตรงทางเข้าอุโมงค์ แล้วหรี่ตาลง ”ข้าจะสอนทักษะการสืบสวนและการสังเกตการณ์ให้เจ้าทีหลัง ตอนนี้พวกเราต้องคิดให้ออกว่าคนที่โดนมนต์สะกดนั่นกลับมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัยได้อย่างไร…”
จูเก่ออวิ๋นมองตามสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยไป แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันในทันใด!
ร่างที่เดินเข้ามาจากทางเข้าอุโมงค์ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหนีเปียวที่เพิ่งกลืนแก่นชีวิตลงไปเมื่อครู่นี้นี่เอง เขาถือขาแมงมุมที่ถูกตัดออกไว้ในมือ และดวงตาของเขาก็จ้องมองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า เขาดูดีกว่าตอนที่ถูกปีศาจสิงสู่เสียอีก
“ท่านพ่อ!” ดูเหมือนหนีหู่จะนึกไม่ถึงว่าท่านพ่อของตัวเองจะกลับมา เขาผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจทันที แล้วใบหน้าของเขาก็พลันเต็มไปด้วยความยินดี!
บรรดาลูกศิษย์ของตระกูลหนียินดีกับการปรากฏตัวของหนีเปียวเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าผู้เป็นอาจารย์อาจจะไม่ได้กลับมาเสียแล้ว แต่ใครเล่าคิดว่ามันจะมีเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้น!
แตกต่างจากบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้น ผู้เฒ่าหลี่กลับดูเป็นกังวลกับการกลับมาของหนีเปียว ”เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเดินเข้าไป มีบางอย่างดูไม่ชอบมาพากลตอนที่อาจารย์หนีเดินออกจากกลุ่มไป ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าตอนนี้เขายังมีสติดีอยู่หรือไม่”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ หนีเปียวก็เผยรอยยิ้มออกมา แล้วชูขาแมงมุมที่อยู่ในมือขึ้น และบอกว่า ”ผู้เฒ่าหลี่วางใจได้ เวลานี้สติของข้าแจ่มชัด และยังรู้ตัวดีอีกด้วย ความจริงแล้วข้าเพิ่งจะทำลายรังของปีศาจแมงมุมไปในระหว่างทางกลับมา ตอนนี้ปีศาจแมงมุมตัวนั้นที่เคยสร้างความทุกข์ให้กับพวกเราตายแล้ว ตอนนี้พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องกังวลหรือหวาดกลัวมันอีกต่อไป”
“จริงหรือ” เมื่อผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกาย แล้วรีบเข้าไปรุมล้อมรอบหนีเปียวทันที ทุกคนไม่สามารถข่มความตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ได้ ”มันเป็นขาของแมงมุมจริงๆ ทั้งยังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งจากขาของมันอีกด้วย! โอ้ สวรรค์ ท่านฆ่าแมงมุมพิษตัวนี้ด้วยตัวคนเดียวหรือ ดูขนาดขาของมันสิ ตัวของมันจะต้องมีขนาดอย่างน้อยก็เท่ากับคนถึงสี่คนเลยทีเดียว มิหนำซ้ำใยของมันก็ยังน่ากลัวอย่างมาก ถ้าเป็นข้า ข้าคงไม่ใช่คู่มือของมันแน่!”
“ต่อให้พวกเราสามหรือสี่คนร่วมมือกัน ก็อาจจะปราบสิ่งมีชีวิตอันแสนชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ! อาจารย์หนียังมีฝีมือเป็นเลิศเหมือนอย่างเคย ข้าคงไม่สามารถปราบเจ้าสิ่งนี้ได้แน่ๆ!”
หนีเปียวดื่มด่ำไปกับคำชื่นชมของผู้คนที่อยู่โดยรอบ แล้วจากนั้นมุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แน่นอนว่าการตัดสินใจของเขาย่อมเป็นสิ่งที่ถูก นอกจากการนำขาของแมงมุมกลับมาแล้ว การตัดสินใจที่ถือว่าถูกต้องยิ่งกว่านั้นก็คือการที่เขากลืนแก่นชีวิตของแมงมุมตัวนี้เข้าไป ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่สามารถหาตำแหน่งของคนทั้งกลุ่มได้ในเวลาอันสั้น
แก่นชีวิตของแมงมุมตัวนั้นมีระบบแกะรอยอันช่ำชอง มันจึงทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวในสุสานได้อย่างง่ายดาย ใยแมงมุมไม่มีผลต่อเขาอีกต่อไป และสามารถเข้าถึงได้ในทุกสถานที่
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังสามารถเรียกคะแนนนิยมจากบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกลับคืนมาได้อีกด้วย
ทันทีที่เขาได้พระสรีระมาอยู่ในมือ เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะต้องตกเป็นของตระกูลหนี!
แต่ยังไม่ทันที่ความฝันอันแสนหวานของหนีเปียวจะทันได้เป็นจริง น้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นจากในฝูงชน ”ท่านมั่นใจหรือว่าท่านเป็นคนที่ฆ่าแมงมุมพิษตัวนั้น”
หนีเปียวมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น ม่านตาของเขาขยายขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยยังมีชีวิตอยู่ เขาหรี่ตาลงอีกครั้ง ก่อนพูดว่า ”ข้านำหลักฐานมาด้วย เจ้าเห็นว่าอย่างไรหรือ”
“ข้าเห็นว่าอย่างไรน่ะหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วเดินเข้าไปด้วยดวงตาเป็นประกาย ”ข้าคิดว่าตอนที่ท่านเดินผ่านรังแมงมุม แมงมุมตัวนั้นก็ตายไปแล้วต่างหาก ท่านก็เพียงแค่โชคดี แล้วฉวยเอาขาข้างนั้นมาเป็นหลักฐานเพื่อเรียกความดีความชอบให้ตัวเอง”
เมื่อได้ยินดังนี้ เสียงเอะอะก็ดังไปทั่วสุสาน
ใบหน้าของหนีเปียวดำทะมึนในทันใด
หนีหู่เยาะขึ้นว่า ”พูดจาไร้สาระอะไรกัน พี่เว่ยอิจฉาท่านพ่อของข้าหรือ นอกจากท่านพ่อของข้าแล้ว คิดว่าจะมีใครในที่นี้ที่จะสามารถเอาชนะแมงมุมพิษตัวมหึมาเช่นนั้นได้หรือ”
“แน่นอนว่ามี” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยฟังดูเยือกเย็น ”ก่อนที่มันจะตาย แมงมุมพิษตัวนั้นตั้งใจที่จะกินข้า คนที่ช่วยข้าเอาไว้คือสหายของข้า และเขายังเป็นคนที่ตัดขาแมงมุมพวกนั้นออกอีกด้วย ตอนที่พวกเราออกจากที่นั่นมา มันก็เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายแล้ว”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หนีเปียวก็หัวเราะขึ้น ”โอ้ น้องเว่ย เจ้าช่างมีพรสวรรค์ในการแต่งเรื่องยิ่งนัก ถ้าเจ้าอยากได้ความดีความชอบเรื่องนี้ ข้าก็จะยอมยกให้ เจ้ามีความจำเป็นอันใดต้องใส่ร้ายข้าด้วยหรือ”
เมื่อเหล่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเห็นว่าหนีเปียวใจกว้างเพียงใด พวกเขาก็เริ่มขมวดคิ้วใส่เฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหลายคนจึงยังไม่ได้ปิดหูปิดตาด่วนสรุปเรื่องนี้อีกต่อไป
มีแค่ลูกศิษย์ของตระกูลหนีเท่านั้นที่ตะคอกขึ้นว่า ”อาจารย์ ทำไมท่านถึงต้องใส่ใจด้วยล่ะขอรับ ทุกคนต่างก็รู้กันว่านอกจากท่านแล้ว ย่อมไม่มีคนอื่นสามารถปราบแมงมุมพิษตัวนั้นได้ แม้เขาจะพูดอย่างไร แต่คนที่กลับมาพร้อมกับขาแมงมุมก็คือท่านขอรับ ไม่ใช่เขา!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจที่จะอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกคนได้ฟังทีละคน เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือการนำพระสรีระมาให้ได้ แต่การเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ย่อมไม่สามารถเปิดโปงตระกูลหนีได้ อีกทั้งยังทำให้ยากจะเอาชนะได้อีกด้วย…
“เขาไม่ได้เพียงแค่เอาขาแมงมุมมา แต่ยังกินแก่นชีวิตของแมงมุมตัวนั้นเข้าไปอีกด้วย” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังก้องขึ้นจากรอบๆ นั้น ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยการเสียดสีที่สง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ”หลังจากกินแก่นชีวิตเข้าไปแล้ว ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะยังนับว่าเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้อยู่อีกหรือ”
คำพูดประโยคเดียวของเขาเรียกสายตาจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาพูด แต่เป็นเพราะชายคนนี้ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียวตั้งแต่เขาเข้ามาในสุสานหลวง ไม่มีใครคาดคิดว่าประโยคแรกที่เขาพูดจะเป็นการเปิดเผยสิ่งที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้!
ถ้าไม่ใช่เพราะองค์ชาย เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คงนึกไม่ถึงว่าหนีเปียวจะกินแก่นชีวิตนั่นเข้าไป เพราะมีแต่ราชาปีศาจเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นแก่นชีวิตได้…
มาถึงจุดนี้ สีหน้าของบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็พลันเปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวด แม้กระทั่งดวงตาของพวกเขาก็ยังสั่นระริกด้วยความไม่เชื่อ
แก่นชีวิตหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไร
นั่นเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษห้ามเอาไว้มิใช่หรือ!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสามารถกินยาเสริมพลังวิญญาณได้ ทั้งยังสามารถจับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้
แต่การกินแก่นชีวิตถือเป็นสิ่งต้องห้ามที่พวกเขาไม่ควรแตะต้องเด็ดขาด!
เพราะพลังปีศาจจะกลืนกินพวกเขาทันทีที่แตะต้องมัน ต่อให้พวกเขาจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่พวกเขาจะกลายเป็นไม่ใช่ทั้งมนุษย์และวิญญาณร้าย!
“เจ้าโกหก!” หนีหู่มองสายตาของคนที่อยู่รอบตัว แล้วตะโกนใส่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ท่านพ่อของข้าจะกินแก่นชีวิตไปทำไม ด้วยชื่อเสียงและอำนาจที่เขามีอยู่ตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ของพรรค์นั้นเลยด้วยซ้ำ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”แล้วถ้าก่อนหน้านี้ร่างของเขาแปดเปื้อนไปด้วยปราณแห่งความเคียดแค้นอยู่แล้วล่ะ”
“เหอะ! ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นที่นี่ไม่ได้แปดเปื้อนสักคน แต่คนที่แปดเปื้อนปราณแห่งความเคียดแค้นที่ว่านั่นก็คือท่านพ่อของข้าหรือ” หนีหู่หัวเราะเยาะ แล้วกล่าวว่า ”นี่มันจะระรานกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!”